แบ่งปันประสบการณ์
แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว
แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว
เรื่องการท่องเที่ยวนี่ก็เป็นเหมือนเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคนเลยทีเดียว การได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆที่ไม่เคยไป การได้ไปผจญกับภัยในที่ที่ไม่เคยพบเห็น เป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่หลายคนอยากสัมผัสด้วยตัวเอง และแม้แต่การท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนสนองกิเลสก็ยังเป็นความฝันก็ใครหลายคนด้วยเหมือนกัน
ผมเองก็เป็นคนที่เคยรักการท่องเที่ยว แม้จะไม่ได้ไปบ่อยนักแต่จากประสบการณ์ก่อนนั้นก็ชอบที่จะเดินไปตามแนวภูเขา ทุ่งกว้าง ชอบขึ้นภูเขา หน้าผา ทะเลตามสมัยนิยม ก็ชอบเหมือนกันกับคนอื่นเขานี่แหละ มีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อปี ๒๕๕๔ ซึ่งมีน้ำท่วมถึงกรุงเทพ ผมก็เป็นอีกคนที่หนีน้ำท่วมออกจากบ้านไป(แต่น้ำไม่ท่วมนะ หนีก่อนปลอดภัยไว้ก่อน) และใช้โอกาสนั้นในการท่องเที่ยว ผมเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี เมืองพัทยา ประจวบคีรีขันธ์ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เขามีให้เที่ยวโดยใช้การพักแรมที่บ้านเพื่อนบ้าง บ้านญาติบ้างตามโรงแรมรีสอร์ทบ้าง
ด้วยความที่ตัวเราก็ชอบถ่ายรูปอยู่มากเหมือนกัน เรียกได้ว่าสนุกกับการถ่ายรูปเลยก็ว่าได้ ดังนั้นการไปเที่ยวและเก็บภาพบรรยากาศต่างๆจึงเป็นกิจกรรมที่ไปด้วยกันได้ ซึ่งผมเคยมีความสุขกับกิจกรรมเหล่านั้นมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง….
….วันหนึ่งผมได้มีนัดพบปะเพื่อนฝูง ในกลุ่มเพื่อนก็จะมีคนที่ชอบท่องเที่ยวเป็นประจำ เที่ยวไปในที่ต่างๆมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบกเป้ลุยเที่ยวก็เป็นเรื่องปกติของเขา ซึ่งเขาก็ได้เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวจีน ซึ่งการเดินทางในแถบนั้นดูจะลำบากและอันตราย เขาเล่าว่ามีครั้งหนึ่งตอนขึ้นรถที่ขับไปทางริมเขาก็เกือบจะตกเขาด้วยความที่เส้นทางนั้นลาดชันและไม่สมบูรณ์สักเท่าไรนัก
พอได้ฟังเขาเท่านั้นแหละ ความอยากท่องเที่ยวมันหายไปในพริบตา หลังจากที่ได้พิจารณาตามเขาซ้ำๆ ทำไมเราต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้น การได้เที่ยวมันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วต้องไปอีกกี่ที่ถึงจะพอใจ ได้เที่ยวไปทั่วโลกแล้วยังไง ได้เห็นทั้งโลกแล้วมันยังไง จะมีความสุขจริงหรือ แค่ฟังก็รู้สึกลำบากแล้ว ยิ่งถ้าไปเสียชีวิตจากการท่องเที่ยวแล้วจะมีใครยินดีกับเราบ้าง มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะแลกความสุขกับความเสี่ยงขนาดนั้น
….ความอยากมันตายลงบนโต๊ะนั่นแหละ กิเลสมันตายกลางวนสนทนา เป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายที่ผมรู้สึกลึกๆอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพื่อนๆยังคงสนุกกับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว ความฝันว่าอยากไปที่นั่นที่โน่น ผมก็ยังนั่งฟังและคุยตามปกติแต่ในใจเราไม่ได้คล้อยตามเขาไปอีกแล้วมันจบไปแล้ว
หลังจากนั้นก็มักจะมีคำชวนจากครอบครัวให้ไปเที่ยวด้วยกันต่างจังหวัด เช่นไปเกาะกูด ไปฟรีนะเขาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไป ชวนกี่ครั้งก็ไม่ไป เพราะมันไม่ได้อยากไปแล้ว ถ้าเป็นตัวเราแต่ก่อนนี่ก็คงจะตอบตกลงแน่นอน เพราะไปฟรี กินฟรี นอนฟรี จะมีอะไรดีกว่านี้อีก แล้วมันก็มีดีกว่าจริงๆนั่นคือไม่ไป…
สภาพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญและไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ความยินดีที่จะไม่เสพโดยที่ยังมีความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว คงต้องขอบคุณตัวผมเอง ขอบคุณกรรมของผมเอง ที่หัดพิจารณาเรื่องนี้สะสมมาหลายภพหลายชาติ ผมคงเคยเป็นคนที่เที่ยวมาทั่วโลกมาแล้วไม่ชาติในก็ชาติหนึ่ง เที่ยวจนเบื่อ เที่ยวจนทุกข์ เที่ยวจนเกิดโทษ มาถึงชาตินี้พอมีเหตุการณ์ให้พิจารณาเพียงนิดหน่อยก็หลุดจากกิเลสตัวนี้ได้ และหลุดอย่างถาวรไม่อยากเที่ยวอีกเลย เพราะรู้ชัดแจ้งแล้วว่าเที่ยวไปก็เหมือนเดิมมีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ พระอาทิตย์ขึ้นก็เหมือนเดิม ตกก็เหมือนเดิม หนาวก็หนาวแบบนั้น วิวสวยมันก็เป็นของมันแบบนั้น เราไม่ได้สุขจากการเสพสิ่งพวกนี้อีกแล้ว และยังเห็นโทษด้วยว่าไปก็เปลืองเงิน เปลืองเวลา เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แถมเวลาที่ไปเที่ยวถ้าเอามาทำประโยชน์ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นมากกว่า เช่นถ้าไปเกาะกูด 3 วัน 2 คืน คงได้บทความดีๆมาอย่างน้อย 1-2 บทความแล้ว อันนี้มันเห็นประโยชน์ของการไม่เที่ยวอย่างชัดเจน
ถ้ามองในเรื่องของประสบการณ์ซึ่งถ้ามันจำเป็นต้องเก็บประสบการณ์นั้นจริงๆมันก็ต้องไป แต่ถามว่าอยากไปไหมก็คงไม่อยาก ถ้าให้หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้ก็คงใช้ทางนั้นจะดีกว่า ไปให้มันลำบากกายลำบากใจไปทำไม คนที่มันไม่มีความอยากแล้วไปให้ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์นี่มันจะไม่อยากไปนะ มันจะเมื่อยๆ เฉื่อยๆ เบื่อๆ ไปอย่างนั้นเลย การที่เราไม่ได้เที่ยวนี้มันไม่ทุกข์นะ มันสุขแสนสุขเลย แม้ไม่ได้ไปเที่ยวก็สุขมันก็สุขตลอดเวลาเพราะไม่ได้มีความทุกข์จากความอยากไปเที่ยว
ผมเข้าใจว่าเวลาที่คนเราอิ่ม มันจะพอเอง พออิ่มจนเสพไม่ไหว รู้ว่าเสพต่อไปมันจะทรมานถ้ามีสติปัญญาพอ มันก็จะพอของมันเอง เหมือนกับการเที่ยวถ้าใครยังไม่อิ่ม ยังอยู่กับโลกไม่อิ่ม ยังชื่นชมโลกไม่พอ ยังเสพกิเลสไม่พอก็คงต้องกินให้อิ่มเสียก่อน อิ่มแล้วอยากกินต่อมันก็กินจนทรมาน ทรมานแล้วก็เห็นทุกข์ เห็นทุกข์ก็คงเห็นธรรมเองสักวัน
– – – – – – – – – – – – – – –
26.11.2557
แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟ เลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส
แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟเลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส
สมัยก่อนผมเป็นคนที่ติดกาแฟมาก เพราะรู้สึกว่ามันช่วยให้กระชุ่มกระชวยเวลาทำงาน ซื้อกาแฟมาเป็นกระปุก วางไว้ข้างโต๊ะทำงานพร้อมกับกระติกต้มน้ำร้อน พร้อมเสมอเมื่อผมต้องการกาแฟ
ตอนนั้นผมกินกาแฟผสมกับโกโก้ ชอบมากๆ เพราะได้ความหอมหวานขมผสมปนเปกันไปในตัว กินทุกวัน วันละ 3 แก้ว แก้วหนึ่งจะใส่กาแฟสอง น้ำตาลสอง โกโก้หนึ่ง น้ำร้อนเทใส่แล้วชงกินกันไป เช้าหลังตื่น กลางวันหลังอาหาร และกลางคืนช่วงหัวค่ำ และทำงานไปจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงรับงานอิสระ
ถ้าเรากินกาแฟแล้วมีความสุขอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไปก็คงจะดีใช่ไหม? เราคงจะไม่มีวันเลิกเสพมันใช่ไหม?
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบกับอาการปวดตามข้อ ซึ่งรู้ได้ด้วยตัวเองทันทีว่าน่าจะเกิดจากกาแฟ หลังจากพยายามหาเหตุอยู่นานก็มั่นใจว่าเป็นกาแฟแน่ๆ เพราะมีเพื่อนบอกว่าเคยเป็นอาการเดียวกัน จึงค่อยๆลดปริมาณของกาแฟ และเพิ่มปริมาณโกโก้เข้าไปแทน
แต่อาการนั้นก็ยังไม่หมดไป เหมือนกับกาแฟมันสะสมจนเป็นภัยแล้ว แม้จะเติมเข้าไปเพียงน้อยนิดก็ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเหล่านั้นได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะเลิกกาแฟอย่างเด็ดขาดโดยพยายามเลิกโกโก้ไปด้วย
ซึ่งวิธีที่ใช้นั้นคือเลิกกาแฟแต่ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการดื่ม จึงหันมาดื่มชา ในช่วงแรกก็มีอาการคิดถึงกาแฟอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็สามารถเลิกกาแฟได้ หันมาติดชาแทน แสวงหาซื้อชาแบบต่างๆมาลอง โดยให้ชาที่ดื่มนั้นมีราคาไม่แพง หาได้ง่าย เพราะผมดื่มชาต่อวันเยอะมาก ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นคนดื่มน้ำบ่อย ก็ดื่มชากันทั้งวันนั่นแหละ
และมีอยู่วันหนึ่งซึ่งชาหมด และตอนนั้นผมกำลังติดงาน จะขับรถออกไปซื้อมันก็รู้สึกเสียเวลา ผมจึงได้พบกับทุกข์ของอาการติดชา พิจารณาต่อไปว่าถ้าเราไม่เสพติดชาขนาดนี้เราก็คงไม่ต้องทุกข์เพราะความอยากเวลาที่มันขาด มันพรากจากเราไป เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเลิกชา
วิธีเลิกชาของผมก็เหมือนกับตอนเลิกกาแฟ คือหาอะไรมาทดแทนชาและคงพฤติกรรมการดื่มน้ำให้มากไว้เหมือนเดิม จึงใช้วิธีตัดใบเตยที่บ้านมาต้มกิน เพราะเคยมีประสบการณ์ที่เคยกินน้ำใบเตยสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำได้ว่ามันหอม และหวานเพราะน้ำตาล ในกรณีของผมจะไม่ใส่น้ำตาล เอาแต่กลิ่นให้ได้ความรู้สึกคล้ายๆชา
เมื่อได้ต้มน้ำใบเตยแทนชาแล้วรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก สุดท้ายก็เลิกเสพติดชาได้ หันมาติดน้ำใบเตยแทน ก็พบกับความยากลำบากที่ต้องเดินไปตัดใบเตยมาต้มกิน ซึ่งจริงๆมันไม่ได้ยากเลย เพียงแค่เดินออกจากบ้าน เดินวนไปไม่ถึงสิบเมตร ก็สามารถนำใบเตยที่ปลูกไว้มาต้มกินได้
แต่ตอนนั้นมันคิดได้เองนะว่า ถ้ากินน้ำใบเตยได้ก็กินน้ำเปล่าได้แล้ว สุดท้ายก็เลิกต้มน้ำใบเตยกิน หันมากินน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง ในห้องทำงานจะมีขวดน้ำ 6 ลิตรซึ่งจะเอาไว้เติมใส่แก้ว กินน้ำวันหนึ่งก็ตก 3-5 ลิตร บางวันร้อนๆก็กินทั้ง 6 ลิตร
สุดท้ายก็เลิกกาแฟได้ เลิกชาได้ เลิกน้ำใบเตยได้ เคยกลับไปลองกินกาแฟครั้งหนึ่งพบว่ามันไม่รู้สึกสุข ไม่รู้สึกยินดีที่ได้กินเหมือนแต่ก่อนแล้ว และเมื่อพอกินเข้าไปก็ได้พบโทษจากกาแฟ นั่นคือนอนไม่หลับทั้งคืน สมัยก่อนเรากินหลายแก้วต่อวันก็ยังหลับได้ปกตินะ ตอนนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนว่าร่างกายมันดูดซึมดีขึ้น มันเลยได้สารจากกาแฟไปเต็มๆ ก็ตาค้างกันไป
กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนจะได้เรียนรู้การปฏิบัติธรรม เป็นการลด ละ เลิกโดยการเห็นทุกข์โทษภัยตามธรรมชาติ เป็นลักษณะของธรรมะที่มีในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องรอทุกข์มากระตุ้นเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะใช้วิธีดังนี้ได้ แต่ก็ได้แบ่งปันไว้เผื่อว่าใครจะลองเอาไปประยุกต์ใช้ดู
ถ้าใครกินกาแฟอยู่แล้วคิดว่าตัวเองไม่ติดกาแฟ ก็ลองพรากจากมันดูสักระยะ ก็อาจจะเห็นความอยาก เห็นกิเลสที่หาเหตุผลต่างๆนาๆที่จะกลับไปเสพกาแฟ นั่นแหละคือเราเสพติด พอติดแล้วมันก็ต้องทุกข์ ส่วนจะเห็นทุกข์วันใดนั้นก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรม
– – – – – – – – – – – – – – –
14.10.2557
โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมกับการกินมังสวิรัติ
โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมกับการกินมังสวิรัติ
ตั้งแต่กินมังสวิรัติมาปีกว่าๆ ต้องยอมรับตรงๆว่าไม่เคยใช้โปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมมาทำอาหารเองเลย เหตุผลนั้นมีหลายส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็คือพยายามจะใช้ของที่หาซื้อได้ทั่วไปมาทำอาหาร และอีกส่วนหนึ่งคือผมเองก็ไม่ได้อยากกินเนื้อสัตว์แล้ว เลยไม่ต้องลำบากไปหาสิ่งเทียมเนื้อสัตว์มากินให้ยุ่งยาก และเหตุปัจจัยอื่นๆอีกยิบย่อยที่ทำให้ไม่สนใจวัตถุดิบเหล่านั้น
ผ่านช่วงเทศกาลเจครั้งแรกของปีนี้ ผมได้กินกะเพราเป็ดเจ ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์เทียม เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จึงคิดได้ว่าการใช้โปรตีนเกษตรแทนเนื้อสัตว์ก็สามารถที่จะทดแทนรสสัมผัสได้อย่างดีเยี่ยม จะว่าคล้ายก็คล้าย จะว่าเหมือนก็เหมือน
โปรตีนเกษตรที่หมายถึงนั้น คือวัตถุดิบที่เป็นชิ้น เป็นก้อน ไม่ได้มีรูปทรงที่ชัดเจนว่าเป็นอะไร ส่วนเนื้อสัตว์เทียมนั้น คือวัตถุดิบที่ถูกสร้างให้เป็นรูปร่างเสมือนเนื้อสัตว์ปกติเช่น ปลาเค็มเทียม หมูเทียม กุ้งเทียม สเต็กเทียม ซึ่งมีเจตนาเพื่อให้ระลึกถึงเนื้อสัตว์นั้นได้อย่างชัดเจน โดยรวมแล้วจะเรียกว่าโปรตีนเกษตรเหมือนกัน แต่ระดับในการสนองกิเลสนั้นจะต่างกัน
สำหรับคนที่ไม่ได้มีปรุงแต่งรสสัมผัสจนมันละเอียดล้ำลึก ก็จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบมากนัก ขอแค่มีหน้าตาและรสสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์ที่เคยกินก็พอ
ส่วนผู้ที่ติดในรสชาติหรือรสสัมผัสอันหลากหลายของเนื้อสัตว์ มักจะต้องพบกับความผิดหวังเมื่อได้กินเนื้อสัตว์เทียม เพราะรสชาติและรสสัมผัสนั้นไม่มีทางสู้เนื้อสัตว์จริงที่มีความหลากหลายในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสได้อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นการยากสำหรับผู้ที่หลงใหลในเนื้อสัตว์จะหันมากินมังสวิรัติ กินเจ โดยใช้โปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมได้
อนุโลม…
การใช้โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียม แม้จะดูตลกและทำให้เกิดความสงสัยในมุมมองของคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ว่าคนจะมาลดเนื้อกินผักแล้วทำไมยังต้องมากินเนื้อสัตว์เทียม?
เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า โดยปกติแล้วมนุษย์เรามีกิเลสหนา การจะหักดิบมากินพืชผักทันทีเลยนั้น เขาทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ จึงมีคนคิดสร้างแหล่งโปรตีนและเนื้อสัตว์เทียมเพื่อมารองรับผู้ที่ยังมีความอยากเสพรสชาติและรสสัมผัสที่เหมือนเนื้อสัตว์แต่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ ทำให้สามารถลดการเบียดเบียนสัตว์อื่นได้ดีเช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่คิดจะลดการเบียดเบียนผู้อื่นนั้นย่อมมีจิตใจที่ดี ส่วนผู้ที่ยังเบียดเบียนสัตว์อื่นอยู่แม้จะรู้ว่าการเบียดเบียนนั้นจะทำให้สัตว์นั้นทุกข์ทรมานและนำอกุศลกรรมมาสู่ตนเอง แต่ก็ยังไม่เห็นโทษภัยในการเบียดเบียน ยังไม่คิดจะเลิกเบียดเบียน ยังยินดีที่จะเบียดเบียนเพื่อให้ตนได้เสพสมใจในกิเลส เขาจึงควรมีจิตศรัทธาในผู้ที่พยายามทำดี อย่าได้เผลอไปเพ่งโทษคนที่พยายามลด ละ เลิก การเบียดเบียนเลย เพราะจิตอกุศลนั้นเองจะนำภัยมาสู่ตน
ในตอนนี้ผมกลับมองว่า จริงๆแล้ว โปรตีนเกษตรกับเนื้อสัตว์เทียมมันก็ดีในระดับหนึ่งนะ คิดไปแบบง่ายๆว่า ถ้าคนทั้งโลกหันมากินโปรตีนเกษตร หรือเนื้อสัตว์เทียมได้ ก็จะไม่มีการเลี้ยงสัตว์ เพาะพันธุ์สัตว์ ฆ่าสัตว์ และวันหนึ่งโปรตีนสังเคราะห์เหล่านั้นก็จะมาแทนที่เนื้อสัตว์ได้ ซึ่งทั้งหมดนี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ได้แค่ฝันเอา
ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเรากินโปรตีนเกษตรไปเรื่อยๆ เสพเนื้อสัตว์เทียมไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการล้างความอยากเสพเนื้อสัตว์ เมื่อกินเนื้อสัตว์เทียมและเริ่มติดใจในรสชาติ แล้วก็จะเกิดความอยากกินเนื้อสัตว์จริงๆขึ้นมาในวันใดวันหนึ่ง เพราะกิเลสนั้นจะโตขึ้นเรื่อยๆจนไม่สามารถกดข่มความอยากได้ไหว
เมื่อกลับไปกินเนื้อสัตว์จึงพบว่ามันสนองกิเลสได้มากกว่ากินเนื้อสัตว์เทียม คิดได้เช่นนั้นความเสื่อมก็เริ่มเข้ามา เพราะตอนที่กินมังสวิรัติ กินเจนั้น กินด้วยความกดข่ม กดกิเลสตัวเองไว้ เกิดทุกข์ ทรมาน จากการกดข่มนั้นๆ จนเมื่อตบะแตกไปเสพเนื้อสัตว์เข้าจริงๆ คราวนี้จะกลับมากินโปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมยากแล้ว เพราะกิเลสมันมากกว่าเดิม มันเริ่มคิดแล้วว่าเนื้อสัตว์จริงๆอร่อยกว่าโปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมมาก ว่าแล้วก็เสื่อมจากธรรมที่มี เสื่อมจากศีลที่ตั้งไว้
โดยสรุปแล้วผมเองก็ยังมองว่าโปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมก็ยังเป็นทางเลือกที่ผู้สนใจหันมากินมังสวิรัติสามารถกินได้ แต่จะให้ดีกว่านั้น ยั่งยืนกว่านั้น คือการล้างความอยากเสพเนื้อสัตว์นั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก เข้าใจได้ยาก ทำได้ยาก
ต่างจากการกดข่มความอยากซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้กันทุกคน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะสามารถกดข่มสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ดีไว้ แต่การกดข่มนั้นไม่ยั่งยืน ไม่สามารถทำลายความอยากได้ สุดท้ายพออยากเข้ามากๆก็จะกลับไปเสพ เสพแล้วก็เลิก เลิกแล้วก็เสพ ต้องมารอให้กิเลสเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปและเกิดขึ้นมาใหม่ วนไปวนมาแบบนี้ไม่รู้จบ
– – – – – – – – – – – – – – –
12.10.2557
เมื่อของสะสมกลายเป็นภาระ
เมื่อของสะสมกลายเป็นภาระ
เมื่อใช้ชีวิตกันมาจนถึงวันนี้ หลายคนก็คงจะมีของสะสมที่ตนเองรักและหลงใหลกันไม่มากก็น้อย เรามักจะใช้เวลาเสพสุขอยู่กับการสะสมรวบรวมสิ่งที่เราชอบ จนกระทั่ง….ความตายได้มาถึง
ความตายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเสียชีวิตไปเท่านั้น แต่หมายถึงสภาพที่พรากจากความรู้สึกนั้น พรากจากสิ่งนั้น หรือกิเลสนั้นได้ตายไปจากเราก็ได้
แต่ก่อนผมเองก็เป็นคนที่ชอบสะสมของอยู่มากเหมือนกัน ที่พอจะนำมายกตัวอย่างได้ก็คงจะเป็นกระบองเพชร หรือที่เรียกกันว่า แคคตัส ผมเองเคยชอบกระบองเพชรมาก ชอบทดลองใช้วิธีต่างๆในการเลี้ยง ดูแล ผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์ จนสร้างความรู้ใหม่ๆมากมายให้กับตัวเองและนำความรู้ไปพิมพ์บทความเผยแพร่ได้อีกด้วย
ผมเคยฝัน เคยหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะประกอบธุรกิจด้วยกระบองเพชร และไม้ประดับชนิดอื่นๆที่ได้ศึกษามา ใช้เวลากับการขายสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ สิ่งที่ตัวเองถนัด และสิ่งที่ตัวเองชอบ ดูไปแล้วก็เหมือนจะเป็นงานในอุดมคติ เป็นงานในฝัน เป็นงานที่ดูเหมือนจะไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต เพราะทำงานอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ และตลาดก็มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความรู้ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ขาดแต่ปัจจัยคือสถานที่ปลูก
ต่อมาไม่นานนัก ชีวิตผมก็มีโอกาสศึกษาธรรมะมากขึ้น ปฏิบัติธรรมมากขึ้น จนเข้าใจชีวิตมากขึ้น ความฝันในวันวานที่พึ่งผ่านมาไม่กี่ปี กลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปในทันที ความรู้สึกรักหรือสนใจ ในการทำธุรกิจไม้ประดับนั้นค่อยๆ จางคลาย ถอยห่างจากชีวิตผมไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งความรู้สึกยินดีในธุรกิจเหล่านั้นได้ตายลงอย่างสนิท ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะขายต้นไม้อีกเลยแม้ว่าในตอนนี้ผมจะได้รับพื้นที่ปลูกที่กว้างใหญ่ แต่ผมกลับเลือก…ที่จะไม่ทำสิ่งนั้นอีก
…แล้วต้นไม้ที่เพาะไว้มากมายทำอย่างไร…
เมื่อความอยากนั้นได้จางคลายและตายจากไป สิ่งที่เคยสะสมไว้กลับกลายเป็นภาระในที่สุด จากที่เคยเป็นของมีค่า แต่ตอนนี้กลับไร้ค่าในสายตาของผม ปริมาณของมันมากเหลือเกิน ผมปล่อยมันตายไปตามธรรมชาติบ้าง เอาไปขายแบบลดแลกแจกแถมบ้าง เอาไปทำปุ๋ยบ้าง เอาไปปลูกที่ต่างจังหวัดบ้าง หาวิธีให้มันกระจายออกจากบ้านที่กรุงเทพฯเพื่อที่จะให้ภาระนี้ได้หมดไป
การกำจัดภาระนี้กลายเป็นเรื่องยาก เพราะถ้าแจกแบบไม่ดูตาม้าตาเรือก็จะกลายเป็นการเพิ่มกิเลสให้คนอื่น จะขายก็ลำบากลำบน เพราะใจมันไม่เอาแล้ว ใจมันไม่ได้รักเหมือนก่อน ทำไปก็มีแต่ความรู้สึกทุกข์ที่เกิดจากการกำจัดภาระเหล่านี้ กว่าที่ผมจะคิดวิธีแจกจ่ายออกไปได้อย่างเหมาะสมก็ใช้เวลาหลายเดือน
ความรู้สึกมันเหมือนกับคนที่หมดรัก ให้ดีอย่างไร แม้จะเคยชอบ เคยหลงอย่างไรก็ไม่เอาแล้ว แต่ก่อนมันหลงด้วยกิเลส แต่ตอนนี้กิเลสมันจางหาย และตายลงไป พอเห็นความจริงตามความเป็นจริงก็เลยรักมันไม่ลง เพราะรู้แล้วว่ายิ่งทำ ยิ่งเก็บ ยิ่งสะสม ปล่อยไว้ต่อไปก็จะกลายเป็นภาระ เป็นโทษ เป็นภัยกับตัวเองมากขึ้น
กระบองเพชรได้เข้ามาสอนให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง หลายขั้นตอนเป็นงานที่ละเอียด เช่นการต่อกิ่ง ซึ่งทำให้ผมได้พัฒนาทั้งสมาธิ และวิธีการคิดว่าควรจะทำอย่างไร การรู้จักกับกระบองเพชรนั้นทำให้ผมเป็นคนละเอียด รอบคอบ และประณีตขึ้นมาก
แต่ในตอนสุดท้าย ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงแค่การเรียนรู้ครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้น หลังจากนี้เราก็จะได้เรียนรู้อีกสิ่งคือวิธีการปลดเปลื้องภาระนี้ออกไป เราเรียนรู้ที่จะสะสมจนกระทั่งเลิกที่จะสะสมและแจกจ่ายมันออกไป แต่ผมก็ยังมีความรู้ที่สามารถแจกจ่ายออกไปได้ถ้าใครสนใจ แต่ถ้าจะให้เลือก ผมก็อยากจะเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า เพราะความรู้เหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์เลย
การสะสมมีแต่จะสร้างภาระ สร้างทุกข์ให้กับชีวิต ไม่ว่าเราจะสะสมอะไรก็ตาม เราต้องลำบากหามันมา ลำบากบริหารมัน ลำบากในการรักษามันไว้ แถมยังต้องเอาเวลาในชีวิตไปเสียให้กับสิ่งนั้น ไม่ว่าเราจะสะสมเงิน หนังสือ ต้นไม้ ของเล่น ตุ๊กตา หุ้น ฯลฯ หรือแม้แต่ความรู้ที่ไม่ได้พาพ้นทุกข์ ที่ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งพาให้หลงมัวเมา ยิ่งพาให้สะสมกิเลส นอกจากจะเป็นภาระแล้วยังเป็นภัยอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการสะสมเชิงรูปธรรมหรือนามธรรมก็เป็นภาระให้กับชีวิตของเราได้
แต่ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นสิ่งนั้นเป็นภาระหรือไม่ เห็นมันเป็นทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียต่อชีวิตหรือไม่ ถ้าเรายังมอมเมาตัวเองไปด้วยความอยาก ยอมปิดตาเพื่อที่จะได้เสพสมใจกับสิ่งที่เราสะสม เราจะไม่มีวันเห็นมันเป็นภาระเลย
และถ้าหากวันใดที่เราได้ลองเรียนรู้เกี่ยวกับความอยากของตัวเอง ได้รู้จักกิเลสของตัวเอง ได้ขุดค้นไปถึงรากของกิเลสของตัวเองและเรียนรู้ที่จะลด ละ เลิกที่จะครอบครองกิเลสนั้น หรือฆ่ากิเลสเหล่านั้นเสีย เราก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นบางสิ่งตามความเป็นจริง เห็นและเข้าใจมันอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นถึงคุณค่าในการมีอยู่ของมันโดยที่ไม่ได้รักเหมือนก่อน แต่ก็ไม่ได้เกลียดหรือผลักไสสิ่งนั้น
สุดท้ายเราจะพิจารณาได้เองว่าการสะสมหรือครอบครองสิ่งเหล่านั้น เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นความสุขแท้หรือความสุขลวงๆ เป็นสิ่งที่โลกมอมเมาพาให้หลงหรือเป็นสาระแท้ในชีวิตที่ควรยึดอาศัย เราจะสามารถเลือกได้ตามความเป็นจริง ใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไม่มีอคติหรือลำเอียง ไม่ชอบไม่ชัง ไม่รักไม่เกลียด
เมื่อถึงภาวะนี้แล้วก็จะรู้เองว่าสิ่งใดคือ…ภาระ
– – – – – – – – – – – – – – –
3.10.2557