การปฏิบัติธรรม
หลงทาง ขยันทำเรื่องโง่ เมื่อ 6 ปีก่อน
เหตุจากคุยกับเพื่อนเก่าอีกเหมือนกัน ก็คุยกันถึงเรื่องที่ตอนนี้เราศึกษากับใครอยู่ ก็หวนคิดถึงสมัยก่อน ตอนยังศึกษาธรรมะโลกีย์
ธรรมะทั่วไปนี่ ถ้าเขาปฏิบัติไม่ได้ผลจริง มันจะเป็นแค่ภาษา ไม่มีพลังที่จะเหนี่ยวนำให้คนพ้นทุกข์ได้ แม้ได้ฟังก็อาจจะยินดี แต่พอเจอโจทย์จริง ๆ จะเอาไม่อยู่
เมื่อ 6 ปีก่อน ผมก็ศึกษาจากที่เขาสอน ๆ กันให้เป็นโสดนั่นแหละ เขาก็สอนตามทฤษฎี ผ่านเวลามานาน ก็เห็นว่าลูกศิษย์เขาเริ่มไปมีคู่ ไปแต่งงาน เราก็เข้าใจนะว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น เพราะมันเป็นแค่ทฤษฏีไง เขาปฏฺิบัติไม่ถึงขั้นเห็นทุกข์จริง เขาก็ไม่เลิกมีคู่กันหรอก
มันจะไม่มีพลัง เหนี่ยวนำไปหาความโสด ไม่มีพลังเหนี่ยวรั้งไม่ให้คนไปมีคู่ จะมีแต่ความรู้ แต่ไม่มีปัญญาเห็นโทษภัยที่แท้จริง ไปหาดูเถอะในลัทธิไหน จะมีพลังดึงให้ลูกศิษย์อยู่เป็นโสดได้ ดีไม่ดีไปอวยพรตอนเขาแต่งงานกันอีก
แล้วสมัยนั้นผมก็ขยันเหลือเกิน ไปร่วมงาน ร่วมกิจกรรมกับเขา ไม่พ้นทุกข์หรอก ถ้าตามแนวคิดของพระพุทธเจ้า คือ ยิ่งทำยิ่งเสื่อม ยิ่งขยันบำรุง ขยันเข้าหาในกลุ่ม ลัทธิ ครูบาอาจารย์ ที่ไม่จริง จะเสื่อมไปเรื่อย ๆ ดูได้จากกิเลสที่โต
ก็มีคนที่ผมรู้จัก พอถึงเวลาที่เขาอยากมีคู่ เขาก็ไม่ปรึกษาเราหรอก เขาก็ไปเข้าหาพระที่เขาศรัทธา แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายจบที่ไปแต่งงาน
บางทีพระหรือนักบวชนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะพ้นความอยากมีคู่นะ วินัยมันคลุมไว้เฉย ๆ แต่ถ้าจิตอยากมีอยู่นะ มันจะไม่มีพลังในการชักนำไปสู่สิ่งที่ดี มันจะเอื้อต่อการเสพสมใจตามกิเลส คนที่เขารู้โทษชั่ว เขาจะไม่ชักนำคนไปมีคู่ หรือให้ยินดีในการมีคู่ เขาจะแสดงโทษของการมีคู่ให้ศึกษาเท่าที่ทำได้ สุดท้ายพูดแล้วเขาไม่ฟังก็ต้องวางไป
ภาษานี่มันหลอกกันได้ วกไปเวียนมา ดีไม่ดีใช้ภาษาว่าตนเองมีสภาวะธรรมหลอกซ้อนไปอีก เหมือนจะดี เหมือนจะได้ ต้องดูกันนาน ๆ พระพุทธเจ้าให้ดูกันนาน ๆ อย่าเพิ่งรีบปักใจเชื่อว่าคนนั้นคนนี้มีปัญญา
ถ้าผิด ถึงจะตั้งใจปฏิบัติตามไป เชื่อตามไป มันจะไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นโง่ ไม่พ้นชั่ว มันจะกลับหัวไปทางเสื่อม ศีล 5 ก็ไม่มี เสื่อมไปถึงขั้นอบายมุขก็ได้
ถ้าปฏิบัติแล้วเจริญ ศีลจะเป็นตัววัดที่รู้กันได้เป็นสากล ไม่ต้องโม้กันมากว่าบรรลุธรรมขั้นไหน ๆ เอาแค่ศีลที่เห็นได้ด้วยตาง่าย ๆ นี่แหละ ทำให้ได้ก่อน เป็นเบสิค ถ้าเจริญจริงจะถือศีลได้สบาย ๆ ไม่ทุกข์ เหมือนกับการอยู่เป็นโสดได้สบาย ๆ ไม่ทุกข์ มีคนมายั่วก็ไม่ไหลไปตามเขา ไม่หวั่นไหว ความสบายใจคือตัววัดภายใน เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ปัญญาคือตัวรู้รอบถ้วนในลีลากิเลสเรื่องนั้น ๆ คนปฏิบัติได้แล้วจริง ๆ จะมีศีลเป็นที่อาศัย เพราะเป็นจุดที่ดีที่สุดของชีวิตแล้ว อย่างที่เขาเรียกกันว่า มีศีลเป็นปกติ
เวลามีคนมาถามว่าปฏิบัติทางไหนดี ผมไม่กล้าแนะนำสายอื่นหรอก ผมก็ต้องแนะนำสายที่พ้นทุกข์สิ จะไปแนะนำสายที่ปฏิบัติแล้วไม่พ้นทุกข์ได้อย่างไร มันบาปนะ ถ้าจะถามว่าผมรู้ได้อย่างไร คุณลองไปปฏิบัติดูเอง ถ้าผิดมันจะไม่ลดทุกข์ ไม่ลดความหลง อะไรที่ติดอยู่มันจะติดอยู่แบบนั้นแหละหนักหนาพิศดารขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญ มันจะเบียดเบียนตนเองและสัตว์อื่นอีกต่างหาก
ปล.แนะนำ : หมอเขียว, สมณะโพธิรักษ์
ปลูกข้าว (update)
ปลูกข้าว (update)
หลังจากได้ข้าว “พอเพียง” มาแล้ว ผมก็ปลูกเลยครับ ปลูกครั้งแรกก็เจ๊งเลยครับ . . .
เนื่องจากรีบเอาไปลงกระถางมากไปหน่อย เมล็ดยังไม่ทันงอก แถมรดน้ำจนน้ำท่วม (กระถางก้นตัน) ก็เลยเสียไปตามระเบียบ
หลังจากนั้นได้คุยกับเพื่อนเรื่องวิธีเพาะนี่แหละ ก็เลยได้เริ่มใหม่อีกที คราวนี้แบบประคบประหงมเลย เพาะในถ้วยใส่กระดาษทิชชู่ ซึ่งมันก็งอกน่ะนะ ก็รดน้ำเลี้ยงไปเรื่อย ๆ จนมันโตระดับหนึ่งก็ย้ายไปปลูกในกระถางก้นตันแล้วหล่อน้ำเลี้ยงเหมือนเดิม
วิธีที่ทำตอนแรกนี่ก็ถือว่ารีบเกินไป ใส่ใจน้อยเกินไป มันก็เลยไม่ได้โต มันก็ไม่ดี ส่วนวิธีที่สองนี่ก็ประคบประหงมเกินไป ใส่ใจมากไป มันก็โตช้า ไม่พอดี
ก็เหมือนกับการทำความดีนั่นแหละ เราก็ต้องหัดเรียนรู้ไป ขาดบ้าง เกินบ้าง ก็เรียนรู้จากความผิดพลาดที่ทำลงไป มันจะพอดีเลยไม่มีหรอก ถึงจะทำแบบสูตรสำเร็จได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดี คือผลน่ะมันอาจจะดี แต่ถ้าไม่รู้ว่าเหตุต่าง ๆ เกิดเพราะอะไรมันก็ไม่ดี (สีลัพพตุปาทาน)
การทำความดีนั้นไม่มีสูตรสำเร็จว่าตรงไหนจะเป็นดีแท้ ดีของคนหนึ่งอาจจะไม่ใช่ดีที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้ นั่นเพราะคนเราเกิดมามีฐานะ(บารมีที่สั่งสมมา) ต่างกัน การเรียนรู้จึงต้องต่างกันไปตามฐาน จะให้เด็กอนุบาลไปเรียนอย่างมหาลัยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถามว่าความรู้ระดับมหาลัยมันดีไหม มันก็ดี และละเอียดลึกซึ้งกว่าด้วย แต่มันไม่เหมาะกับเด็กอนุบาลไง…
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ การเรียนหรือธรรมะมันก็คล้าย ๆ กัน คือลองผิดลองถูกไปตามลำดับโดยมีผู้ที่ทำสำเร็จเป็น role model (บุคคลต้นแบบ) เอาไว้ Benchmark (เปรียบเทียบวัดผล) และศึกษาเรียนรู้
คือจะไปทำตามเลยเนี่ยมันทำไม่ได้หรอก มันไม่มีทางลัด ไม่ใช่ว่าพูดได้เหมือนครูบาอาจารย์แล้วมันจะทำได้เหมือนกันนะ ดังที่มีคำเปรียบว่าแม้ลา จะเดินตามฝูงวัวแล้วร้อง มอมอ มันก็ไม่เป็นวัวขึ้นมาได้หรอก
คนที่ปลูกข้าวแบบสูตรสำเร็จได้ เขาก็ได้ข้าว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้ว่า กว่าจะมาเป็นสูตรสำเร็จได้นั้น ต้องผิดพลาดอะไรมาบ้าง คล้าย ๆ กับคนปฏิบัติธรรมที่อ้างว่ามีผล แต่มรรคไม่มีปรากฏเลย หรือถึงจะมีมรรคก็มิจฉามรรค แบบนี้ก็มีเหมือนกัน …
เอานะ… ก็ออกนอกเรื่องกันมาเสียตั้งไกล เอาเป็นว่า ถ้าอยากเก็บเมล็ดข้าวไว้ให้ได้นานที่สุด ก็ขยันปลูกก็แล้วกัน นอกจากไม่เสียแล้วยังเพิ่มจำนวน ไปแบ่งคนอื่นได้อีก ก็ศึกษาเรียนรู้ก็ไป ได้แค่นี้ก็เรียนรู้แค่นี้ เดี๋ยวต่อไปก็คงจะเจอปัญหาอีกมาก ก็ดูดูกันต่อไป
สนทนาธรรมในสวน
สนทนาธรรมในสวน
วันนี้ผมได้จัดกิจกรรมเล็กๆ ขึ้นมา เป็นการเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมวงสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ธรรมะกัน ซึ่งในงานนี้เราก็จัดกันในสวน
ผมเลือกสวนสาธารณะ เพราะมันมีความเป็นสาธารณะ ใครมาใช้ก็ได้ จะไม่มาก็ได้ นั่งตรงไหนก็ได้ แถมยังมีห้องน้ำ และร้านค้าไว้บริการอีก ที่สำคัญคือฟรี ผมเชื่อว่าเราควรศึกษาธรรมะด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้โดยไม่ทำให้ทุกข์จนเกินทน
ผมเลือกที่จะนั่งใต้โคนไม้ใหญ่ บนพื้นที่นั่งนั้นไม่มีหญ้า มีแต่เศษใบไม้ การนั่งของเรานั้นจึงไม่ได้สร้างความเสียหายให้ต้นหญ้า จนต้องลำบากคนดูแลอีกทีหนึ่ง แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่เราได้ตรวจใจว่า เราติดความนุ่ม ความสบายรึเปล่า หญ้านี่มันนุ่มนะ นั่งไปแล้วมันสบาย แต่เราพามานั่งในที่ที่มันไม่ได้สบายขนาดนั้น เป็นแค่พื้นดินที่มีเศษใบไม้อยู่ แต่ถ้าปูเสื่อก็พอนั่งได้ ถึงจะไม่ปูก็นั่งได้อยู่ดี เอาแค่มันไม่เลอะเทอะไม่ชื้นแฉะก็พอแล้ว
ผมเลือกเวลาค่อนข้างเช้าในการสนทนา เพราะเหมาะสมทั้งสภาพอากาศและการขัดเกลาจิตใจ ผมเห็นคนที่เขารักษาสุขภาพตื่นมาวิ่งกันตั้งแต่ก่อนตีห้าครึ่ง แล้วคนรักธรรมะ รักษาจิตใจอย่างเรา จะนอนตื่นสาย มาทำกิจกรรมกันสายๆ ก็คงจะไม่ใช่แนวทางที่เจริญแน่ๆ ผมจึงเลือกเวลาเช้าตรู่ในการนัด ซึ่งครั้งนี้นัดเวลา 7.00 น. แต่ครั้งหน้าก็อาจจะปรับเป็นเช้ากว่านี้ เพราะ 7 โมงนี่คนมาวิ่งเต็มสวนแล้ว ถ้าคนรักสุขภาพเขามาออกกำลังกายได้ คนรักธรรมะก็ควรจะมาสนทนาธรรมแต่เช้าได้เหมือนกัน (จริงๆ เราควรจะแกร่งกว่าเขานะ แต่จะให้เช้ามากในกรุงเทพฯ มันก็จะเดินทางลำบากสำหรับคนไม่มีรถส่วนตัว)
ในตอนแรกผมตั้งใจรับคนมากที่สุดไว้ที่ 15 คน แต่สมัครกันมาก็น้อยกว่านั้นเยอะ และมาจริงๆไม่กี่คน แต่เมื่อได้เริ่มกิจกรรม คุยธรรมะกัน ผมพบว่าคนเยอะก็ไม่ดีหรอก อย่างมาก 5 คน ก็พอแล้ว เพราะแต่ละคนก็มีเรื่องราวของตัวเอง ดังนั้นถ้าคนเยอะไปมันจะได้แต่น้ำ เนื้อไม่มีเวลาเจาะ เพราะผมเองก็คงจะไม่ได้บรรยายธรรมะเป็นหลัก แต่เป็นการถามตอบกันเป็นส่วนใหญ่ ถามมาเราก็ขยายธรรมะตามที่เราได้เรียนรู้มา แนะนำกันว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ สิ่งไหนเป็นโทษ โดยใช้ไตรสิกขาเป็นแกนในการสนทนากัน
ผมเชื่อเสมอว่าการสนทนาธรรมนั้นเป็นทางแห่งการหลุดพ้นจากกิเลส เพราะผมก็ได้ประโยชน์กับการสนทนาธรรมนี้มาโดยตลอด และที่สำคัญผมไม่ได้คิดเอาเอง แต่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการฟังธรรมการสนทนาธรรมกันนี่แหละ ที่จะทำให้หลุดพ้นจากกิเลส (เหตุแห่งวิมุตติ ๕) ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผลักดันให้ผมได้จัดกิจกรรมในครั้งนี้เพราะเชื่อว่า หากเราสร้างโอกาสในการสนทนาธรรมให้ผู้อื่น ก็จะเกิดกุศลทุกฝ่าย คนพูดก็ได้ประโยชน์ คนฟังก็ได้ประโยชน์ มีแต่คนได้ประโยชน์ ผมจึงคิดว่าผมก็คงจะทดลองจัดต่อไป และศึกษาปรับปรุงให้การสนทนาธรรมนี้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด
กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความผาสุกอย่างยั่งยืน เป็นไปเพื่อความดับกิเลสอย่างสิ้นเกลี้ยง เป็นไปเพื่อนิพพาน ดังนั้นก็จะขอเชิญชวนผู้ที่สนใจศึกษามุ่งหวังมรรคผลอย่างแท้จริง ได้เข้ามาร่วมศึกษา มาลองพิสูจน์กันว่าทางนี้สามารถพ้นทุกข์ได้จริงไหม ทางนี้นั้นไม่ใช่ทางอื่นใด ก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งประกอบด้วยการคิด พูด ทำอย่างถูกตรง โดยใช้ไตรสิกขา คืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ให้เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นไปเพื่อการพราก ไม่สะสม เพื่อการละหน่ายคลาย เพื่อความผาสุกอย่างยั่งยืน
– – – – – – – – – – – – – – –
1.5.2559
โง่-ขยัน (สุดยอดแห่งความฉิบหาย)
โง่-ขยัน (สุดยอดแห่งความฉิบหาย)
วันนี้ผมซึ้งเรื่องหนึ่งคือ ความขยันของคนโง่นี่แหละ เป็นอะไรที่แย่ที่สุดแล้ว
คือตนเองก็ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้ถูกผิด เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นถูกทั้งที่ผิด(โง่) แต่ก็มีความตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้นต่อไป เพราะเข้าใจว่าสิ่งนั้นถูก ความขยันที่มีจึงกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองลงไปในความโง่ที่ลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าคนโง่นั้นก็มักจะไม่โง่อยู่คนเดียว ซึ่งมักจะแจกจ่ายความโง่ของตัวเองไปให้กับคนอื่นด้วย ก็เลยกลายเป็นช่วยกันขุดให้ลึกลงไปอีก ทั้งหมดนั้นคือลักษณะของการเติบโตของมิจฉาทิฏฐิ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับสามสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย หนึ่งในนั้นคือมิจฉาทิฏฐิ ทีนี้ใครล่ะจะรู้ว่าตนเองมิจฉาทิฏฐิ ยิ่งโง่ยิ่งไม่เห็นมิจฉาทิฏฐิ จะไปเข้าใจว่าตนเองสัมมาทิฏฐิด้วยซ้ำ
คนมีปัญญายังพอเห็นมิจฉาทิฏฐิในตนบ้าง นั่นหมายถึงมีส่วนของสัมมาทิฏฐิที่มารู้ในส่วนมิจฉาในตนบ้างแล้ว
แต่คนที่มิจฉาทิฏฐิแล้วยังหลงว่าตนเป็นสัมมาทิฏฐิอีก เรียกว่าโง่ซ้ำโง่ซ้อน แล้วดันเป็นคนขยันอีก ทีนี้เป็นอย่างไร? เขาก็จะทำสิ่งที่เขาเห็นผิดนั่นแหละให้มันยิ่งขึ้นๆ ให้มันกระจายออกไปมากขึ้น เพราะเขาหลงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งดี
มีบทหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องที่จะเกิดในอนาคต ซึ่งเปรียบเทียบกับกลองศึกชื่ออานกะ คือในอดีตนั้นมีกลองชื่ออานกะ แต่ต่อมาก็ได้มีการซ่อมบำรุงปรับปรุงแก้ไขจนความเป็นกลองอานกะเดิมนั้นไม่มีเหลืออยู่ มีเพียงชื่อเท่านั้นที่ยังอยู่ ส่วนเนื้อในนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่ไปหมดแล้ว
ซึ่งท่านก็เปรียบกันตรงๆว่าพุทธในสมัยต่อมานั้นจะเหมือนกลองอานกะ คือมีแต่ชื่อ แต่เนื้อในไม่เหมือนเดิมแล้ว คนจะไปฟังธรรมะที่แต่งขึ้นใหม่โดยครูอาจารย์ แต่จะไม่ฟังธรรมะเก่าซึ่งเป็นเนื้อแท้ของศาสนา ซึ่งมีความลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก คำสอนที่แท้จึงค่อยๆ เลือนหายไปในที่สุด
ระวังไว้เถอะ พวกธรรมะง่ายๆ ปฏิบัติได้ง่ายๆ เข้าใจได้ง่ายๆ เข้าถึงได้ง่ายๆ ได้เป็นพระอริยะ พระอรหันต์กันง่ายๆ เหมือนกับได้รับตำแหน่ง supervisor เมื่อทำยอดขายถึงเป้าเท่านั้นเท่านี้
แม้แต่ภาษาสำเนียงท่าทางที่เหมือนพุทธแต่ก็อาจจะไม่ใช่พุทธ ดังกรณีของกลองอานกะ คือรูปนอกน่ะเหมือนทุกอย่าง คำสอนก็เหมือน การปฏิบัติก็เหมือน ดูคล้ายๆก็น่าจะเหมือน แต่เนื้อในไม่มีของเดิมแล้วก็มี
ขยายคำว่า ธรรมะง่ายๆ
คำว่า “ง่าย” ในที่นี้คือ “มักง่าย” คือเอาที่ตนสะดวกนั่นแหละ เพราะถ้าตามที่ผมศึกษานี่เรียกว่าไม่ง่าย หืดขึ้นคอกันเลยทีเดียว
ตัวตรวจวัดก็คือศีลที่ต้องปฏิบัติ ศีล ๕ ก็พอเข้าใจได้ง่ายหน่อย ศีล ๘ ๑๐ จนถึงนักบวชก็ต้องปฏฺิบัติจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในส่วนวินัย สองร้อยกว่าข้อนั้นก็ต้องปฏิบัติด้วย และทั้งหมดต้องอยู่ในแนวทางของมรรค 8 คือกาย วาจา ใจต้องมุ่งไปทางตรงข้ามกับกิเลส
ถ้าเอาศีลไปจับปุ๊ปจะ รู้เลยว่าอันไหนมักง่าย อันไหนทำตามที่พระพุทธเจ้าให้ศึกษา เพราะศีลและวินัยต่างๆ จะเป็นตัวบีบให้ทำในสิ่งที่จะพาไปพ้นทุกข์อยู่แล้ว ถ้าไม่ทำตามศีลมันก็นอกกรอบเท่านั้นเอง
และพวกมักง่าย ก็จะมีอุบายที่จะตีกิน ไม่ทำตามศีลด้วยวาทะเท่ๆ คือมีคำพูดให้ดูดีแม้ตนเองจะไม่ปฏิบัติตามศีล หรือเอาภาวะของพระอรหันต์มาตีกิน (พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เอาผิด) คือไปหลอกคนอื่นว่าตนเองเป็นอรหันต์แล้วจะทำอะไรก็ได้ บางทีหลอกก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลอกก็มี คือเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็มี ในสมัยพุทธกาลก็มีเยอะที่เข้าใจผิดไปเอง(หลงว่าบรรลุธรรม)