Tag: เพื่อน

คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง เป็นอย่างไร?

February 17, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 836 views 0

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง หรือแปลเป็นภาษาบ้าน ๆ ว่า คนพาลชอบเพ่งโทษ หรือ การเพ่งโทษคือพลังของคนพาล

ผมจะยกตัวอย่างให้อ่านกันกับเคสเพ่งโทษถือสา แบบมีอคติฝังใจ จะได้ศึกษาว่าถ้าแบบนี้ให้ห่างไว้

ก็เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมคุยกับกับเพื่อนอีก 2 คน คนหนึ่งเป็นเพื่อนใหม่ คุยกันก็หลายเรื่อง จนเราพูดทักเพื่อนใหม่ไป เขาก็รีบสรุปเลยว่า เราเพ่งโทษในเรื่องที่เขาพูด เพราะเราไปทักในเรื่องที่เขาศรัทธา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้มีเจตนาเพ่งโทษ แต่เรามีเจตนาจะช่วยเพื่อน เห็นเพื่อนจิตใจฟุ้งฟูล้นปลี่ไปกับโลกธรรม ก็เห็นว่าเป็นเพื่อนนักปฏิบัติธรรม แล้วเขาสนใจมาศึกษาร่วมกับเรา ก็เลยช่วย เราทักกิเลสเขา แต่เขาไปตีความว่าเราเพ่งโทษเรื่องเขา

แต่อันนั้นเขาคิดคนเดียวนะ อีกสองเสียงไม่ได้เห็นตามเขา คือผมก็เห็นอย่างผม เพื่อนอีกคนก็เห็นอย่างผม ได้ฟังก็เข้าใจว่าไม่ได้เพ่งโทษอะไร เพียงแค่บอกกัน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดประเด็นกัน แต่เพื่อนใหม่นี่พอเขาเข้าใจอย่างนั้น เหมือนจิตเขาหลุดเลย เขา”เดา“ไปว่าเราเพ่งโทษเขาอีก นี่มันเพ่งโทษซ้อนในเพ่งโทษ เป็นนรกตื้น ๆ ที่ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิด ก็ยังเกิดได้

ปกติถ้าไม่มีใครขอไว้ ผมจะไม่ไปติหรือไปทักใครเป็นส่วนตัว หรือถึงจะขอไว้ แต่ก็จะดูอินทรีย์พละด้วยว่าไหวหรือไม่ ซึ่งปกติผมคุยกับเพื่อนสนิทก็ทักกัน วิเคราะห์เรื่องกิเลสประจำอยู่แล้ว เรียกว่าชินล่ะนะ

ทีนี้เอามาตรฐานที่เราทำประจำมาใช้กับเพื่อนที่เข้ามาใหม่ แล้วความเห็นมันไม่ตรงกัน แล้วเขาปรับไม่ทัน เขาเพ่งโทษไปแล้ว เขาปิดประตูไปแล้ว ไม่ฟังเสียงคนอื่นแล้ว เขาถอนความเห็นผิดไม่ได้แล้ว อธิบายไปก็ไม่ช่วยอะไร

ผ่านไปไม่กี่วัน เพื่อนสนิทผมไปคุยปรับใจให้ เพราะเห็นว่าเขาเพ่งโทษแค่ผม ไม่ได้เพ่งโทษเพื่อน น่าจะพอฟังกันได้อย่างไม่มีอคติ แต่ที่ไหนได้ เพื่อนสนิทผมมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า พูดไม่เข้าเลย เหมือนมีอะไรกั้น เขาไม่ฟัง แถมจิตเขาฝังความเข้าใจผิดไปอย่างยึดมั่นถือมั่นแล้วด้วย

โอ้โห! ผมนี่ซึ้งเลย เวลาคนจะโง่ นี่เขาโง่ได้หนักแน่นจริง ๆ คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลังจริง ๆ เดาเอาเอง สรุปเอง ชิงชังเอง ยึดเอง แล้วพาลมาข่มผมซ้ำด้วยนะว่าผมไปเพ่งโทษ ภูมิผมไม่ถึง ไม่น่าเล่าให้ผมฟัง

ทั้งที่จริง ๆ มันตรงกันข้าม เหมือนมีเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่มา แล้วตื่นเต้น เอามาอวด ผมก็ทักไปว่าความตื่นเต้นมันไม่งาม เด็กก็โกรธ ไม่พอใจ แล้วสรุปว่าไม่น่าเอาของเล่นมาโชว์เราเลย อะไรประมาณนี้ …

ก็เอานะ แบบนี้ก็ห่าง ๆ กันไว้ จริง ๆ เขาก็ห่างจากเราไปเพราะเขาเพ่งโทษ ถือสา ดูถูก เขาก็ไม่ศรัทธาเราอยู่แล้วนั่นแหละ

เจอแบบนี้ก็ได้เรียนรู้ว่า อย่าไปรีบปักใจเชื่อว่าเขาจะรับเราไหวนะ บางคนเหมือนจะแกร่ง แต่ก็ได้แค่ท่าดี อินทรีย์พละเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่ท่าที ไม่ใช่บุคลิก ดูเผิน ๆ ดูไม่ออกหรอก ต้องคบคุ้นกันนาน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็ได้เรียนรู้อีกว่าไม่ต้องไปเอาภาระมาก บางทีบางเรื่องมันก็ต้องดูกันไปยาว ๆ ก่อนจะตัดสินใจช่วย ไม่ช่วยนี่ไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ต้องคิดอะไร แต่ถ้าจะช่วย ศรัทธาเขาต้องเต็มที่ เต็มใจ ไม่ใช่มาแบบลองของ อันนั้นเสียเวลาสุด ๆ

จะมีอะไรเสียเวลาชีวิตเท่ากับไปคบคนพาล สร้างกุศลก็ได้น้อย ส่วนบุญนี่ไม่มีเลย เพราะคนพาลไม่ใช่เนื้อนาบุญ ไม่ต้องไปลงทุน ไม่ต้องไปยุ่งมาก

ง้องอน สัญญาณแห่งคนคู่

January 30, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 625 views 0

การปฏิบัติตนเป็นโสด นี่ก็คือโสดในสภาพจิต มีจิตที่พึ่งตนเป็นหลัก ไม่หลงเสพหลงสุขกับการมีคนอื่นในชีวิต

คู่ชายหญิง ทั่วไปมันก็เห็นได้ชัด อยู่กันเป็นคู่ ๆ แม้จะไม่ได้เป็นคู่ คนเขาก็จะคิดไปได้ว่าเป็นคู่ แค่บางทีคุยกันนิดหน่อยคนเขาก็ยังคิดไปได้เลย อันนี้มันก็เข้าใจง่าย เป็นสามัญทั่วไป

แต่คู่แบบลึกลับคือ คู่เพศเดียวกัน ชาย ชาย หญิง หญิง มันจะเป็นได้ทั้งสองสภาพคือเจริญและเสื่อม

แบบเจริญก็อย่างเช่นคู่ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็เป็นเพื่อนกันมาหลายภพหลายชาติ พากันเจริญ เป็นเพื่อนกัน แต่ก็เป็นอิสระต่อกัน ไม่ผูกมัด ไม่ยึดติดกัน

อย่างเสื่อมก็มีเรื่องของคนคู่เข้ามาเกี่ยว คือมีเพื่อนเป็นเชิงชู้สาว เป็นความรัก ความห่วงใยแบบคนคู่ ไม่ใช่แบบเพื่อน มันจะมีมิติที่แตกต่างกัน บางคู่จะแนบเนียนจนคนเข้าใจผิด เหมือนจะเป็นเพื่อนที่พาเจริญ แต่จริง ๆ เป็นพวกที่แอบเสพกันอยู่

อาการง้องอนเป็นสิ่งหนึ่งที่จะเป็นหลักฐานว่าคนเหล่านั้นแม้เป็นเพื่อนก็ไม่พ้นความเป็นคนคู่ เพราะการง้องอนนั้นคือสภาพที่ยังต้องการคนพิเศษมาบำเรอตนอยู่ ถึงแม้จะเป็นคู่ชายชาย หญิงหญิงก็ยังไม่พ้นความเป็นคนคู่

ถ้าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ จะไม่ปรากฎอาการง้องอนใด ๆ ให้เห็นเลย มันจะไม่มีความสำคัญพิเศษในสถานะเพื่อน เพื่อนก็คือเพื่อน เหมือน ๆ กับเพื่อนทั่วไป อาจจะสนิทมากน้อยต่างกันไปตามจริต แต่จะไม่มีอาการง้องอนกัน

การงอน คือสภาพเอาแต่ใจ อยากให้คนอื่นมาบำเรอเอาใจ ใช้ความเอาแต่ใจเป็นอำนาจ หมายจะข่มอีกฝ่ายให้ยอมมาบำเรอตน เพราะสำคัญตนว่าสำคัญ ว่าตนเป็นคนพิเศษ จิตจึงสร้างอาการงอนขึ้น เพื่อล่อให้อีกฝ่ายมาสนอง เป็นลักษณะของฝั่งกามในอัตตา คือเอามาเสพให้สมอัตตา

การง้อ คือสภาพเอาชนะ คนที่จะสามารถง้อได้จะถูกกำหนดไว้แต่แรกโดยผู้งอน เหมือนสร้างเกมขึ้นให้ให้ผู้เล่นได้เอาชนะไปตามโจทย์ ผู้ง้อก็คือคนโง่ที่หลงวิ่งตามเกมของคนงอน เพื่อไปถึงเส้นชัยคือหายงอน ได้อัตตาเป็นรางวัล ว่าข้าทำได้ ข้าทำสำเร็จ ข้าปราบเธอได้ ข้าทำให้เธอหายงอนได้ ทั้ง ๆ ที่จริงก็เป็นแค่หมากที่เดินบนฝ่ามือของเขา ไม่มากไปกว่านั้น เขาก็ขีดเส้นทางให้เดินไปแบบนั้นแหละ

การง้องอนจึงเป็นสภาพเสพของคนคู่ ทั้งกามและอัตตา ถ้าเอาสภาพนี้ไปจับ ไปตรวจในใจก็จะเห็นสภาพจิตที่ยังหลงความเป็นคู่ ๆ อยู่ ยังอยากเอาใครมาเสพ มาบำเรอตน ยังอยากเอาชนะใจใครอยู่

การประพฤติตนเป็นโสด คือการที่ไม่ยินดีแล้วในการเอาใครมาบำเรอ ไม่เอาชนะใจใคร ไม่มีความเก่งหรือไม่เก่ง ไม่มีคนพิเศษหรือไม่พิเศษ มีแต่เพื่อน มิตร สหาย ญาติ ไปตามที่มันควรจะเป็น ณ เวลานั้น ๆ

ความง้องอนจึงเป็นหลักฐานหนึ่งที่ยังฟ้องให้เห็นถึงสภาพของคนคู่ที่จัดจ้าน รสจัด กิเลสเข้ม กามจัด อัตตาแรง จนมันออกอาการแบบโลกีย์ คำพูด สีหน้า ท่าทาง ล้วนไปทางอกุศลทั้งสิ้น ถ้ากำจัดความเป็นคนคู่ได้แล้ว จะไม่มีอาการง้องอน สะบัด ประชดประชัน หรือลีลาอาการแบบหญิง ๆ ต่าง ๆ

คู่รักไม่ยั่งยืน เป็นเพื่อนสิยาวนาน

July 27, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,617 views 0

คู่รักไม่ยั่งยืน เป็นเพื่อนสิยาวนาน

คู่รักไม่ยั่งยืน เป็นเพื่อนสิยาวนาน

….

แม้ว่าเราจะรู้ความจริงดังนี้กันแล้ว

แต่เราก็มักจะแสวงหาสิ่งที่ไม่ยั่งยืน

เมื่อเจอกับคนที่ถูกอกถูกใจเมื่อไหร่

ก็มักจะจับจ้องเอามาเป็นคู่ครองให้ได้

ไม่สนใจว่าจะยั่งยืนหรือไม่ยั่งยืน

ขอเพียงให้ตนได้เสพสิ่งที่ตนชอบใจก็พอ

….

เรามักจะแบ่งว่าอันนี้คู่รัก อันนี้เพื่อน

จัดสรรปันส่วนให้สองสถานะนี้ไม่มาปนกัน

กันขอบเขตพิเศษไว้สำหรับคู่รักเท่านั้น

ส่วนเพื่อนก็แค่เพียงคบหากันทั่วไป

เลือกเอาสิ่งที่ไม่ยั่งยืนมาเป็นหลัก

แต่กลับปล่อยสิ่งที่ยาวนานเป็นรอง

เพื่อที่จะได้รับความชอบธรรมในการมีคู่

คิดเอาเองว่าเรื่องดีๆในชีวิตทำได้เฉพาะกับคู่

ทั้งที่จริงแล้วความต่างก็คงมีแค่เรื่องสมสู่

กับการสร้างครอบครัวมีลูกมีเต้าเท่านั้น

เมื่ออยากเสพสิ่งเหล่านั้น จึงหาประโยชน์ในการมีคู่

ละทิ้งประโยชน์ของการเป็นเพื่อน หรือลดความสำคัญลง

….

ผู้ที่กำลังออกเดินทางและมีทิศทางสู่การพ้นทุกข์

ความเป็นเพื่อนกับคู่รักจะมีสภาพที่ไม่ต่างกันนัก

เพราะสามารถใช้เพื่อนแทนคู่รักได้ในหลายๆเรื่อง

โดยที่ไม่ต้องไปคิดเรื่องสมสู่ หรือการมีครอบครัว

แต่ถ้าจะให้เลือกก็จะเลือกรับมาเป็นเพื่อน

ซึ่งมีความยั่งยืน ยาวนานกว่าการเป็นคู่รัก

เพราะเพื่อนสามารถ พากันสร้างกุศลกันได้

โดยที่ไม่ต้องมีบาปใดๆมาปะปนให้เสียเวลา

ต่างจากคู่รัก ที่ต้องคอยบำเรอกิเลสกันและกัน

สร้างบาป สร้างอกุศลให้แก่กันและกัน

เป็นตัวขัดขวางการพ้นทุกข์ของกันและกัน

….

เมื่อเห็นจริงดังนั้นเราก็ควรพิจารณาตามความจริง

ให้เข้าถึงคุณประโยชน์ที่แท้จริงของเพื่อน

ให้รู้ถึงโทษภัยของการครองคู่เป็นครอบครัว

ให้ชัดเจนว่าสิ่งใดไม่ยั่งยืน สิ่งใดที่ยาวนานกว่า

ให้ปราศจากอคติ ลำเอียงใดๆในสถานะเหล่านั้น

ให้เว้นขาดจากสิ่งที่เป็นภัย เข้าถึงสิ่งที่มีประโยชน์

เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น ชั่วกาลนาน

– – – – – – – – – – – – – – –

25.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

คู่บารมี

July 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,246 views 0

คู่บารมี

คู่บารมี

คนที่จะมาเป็นคู่บุญคู่บารมีจริงๆแล้วสังเกตได้ไม่ยาก เพียงแค่ถือศีลตั้งตบะ ปฏิบัติธรรมให้แกร่งกล้า ถ้าเขาคนนั้นเป็นของจริง เขาก็จะตามมาได้เอง

ในกรณีตัวอย่างของพระนางยโสธรา ซึ่งละทิ้งการประดับแต่งตัว เปลี่ยนมานอนพื้นที่แข็ง กินมื้อเดียว เป็นต้น ซึ่งเป็นบารมีเก่าที่ท่านสะสมมามาก

ส่วนใหญ่คนเรามักจะไม่อยากจะถือศีลปฏิบัติธรรมกัน มักจะพากันให้เสื่อมจากศีล พากันไปชั่ว จึงไม่สามารถวัดได้จริงว่าคนที่หมายปองนั้นเป็นคู่บุญคู่บารมีหรือไม่ เพราะโดยมากก็ลากกันลงนรก พากันมัวเมาในกิเลสทั้งหลาย เป็นคู่เวรคู่กรรมกันเสียมากกว่า

ถ้าอยากลองทดสอบกันจริงๆ ก็ให้ถือศีลให้มั่น ตั้งตบะให้สูงเท่าที่จะทำได้ เลิกกินเนื้อสัตว์ กินมื้อเดียว เว้นจากการสมสู่ ไม่รับบุตรและภรรยา(สามี) คือไม่คบหาเป็นแฟนหรือแต่งงานเลยก็ยิ่งดี เป็นศีลระดับสูงที่จะมาคัดว่าคนนั้นของจริงหรือไม่ ถ้าเป็นพวกคู่บาปคู่เวรนี่เจอศีลนิดหน่อยก็หนีแล้ว แต่ถ้าเป็นของจริงเราตั้งใจปฏิบัติธรรมขนาดไหนเขาจะไม่หนี เขาจะตาม เพราะเขาตามมาหลายชาติแล้ว ชาตินี้เขาก็เลยตามได้สบายๆ แถมเขาจะไม่ผูกมัดเราด้วยสิ่งต่างๆ ยอมปล่อยให้เราคงสถานะเช่นนั้น และยังเอื้อให้เราปฏิบัติได้สูงยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วย แต่คู่เวรคู่กรรมนั้นจะตามไม่ไหว เพราะพลังดีจะกั้นคนชั่วให้ออกจากชีวิตหรือไม่ก็จะกลายเป็นมารที่พยายามผูกมัดเราด้วยสถานะของคนคู่ ยั่วยวนเราให้หลงเสพหลงสุข ให้เสื่อมจากศีล เพื่อให้เขาได้เสพสุขจากเรา

จะเห็นได้ว่าคู่บารมีคือผู้ที่เข้ามาทำให้เรามิทิศทางที่เจริญเติบโตขึ้นในทางธรรม ทำให้พ้นจากวิธีของโลกียะ ไปสู่โลกุตระ ในทางกลับกันคู่เวรคู่กรรมจะเข้ามาฉุดไม่ให้เราโตในทางธรรม ทำให้เราหลงวนอยู่กับโลกียะ มัวเมาอยู่กับอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา ไม่ปล่อยให้เราพ้นจากความหลงเหล่านี้

คู่บารมีจะอยู่ในสภาพของเพื่อน แม้ต่างเพศก็จะเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น ถึงจะพลาดแต่งงานไปแล้วแต่สุดท้ายจะอยู่กันเหมือนเพื่อน เพราะเป็นสถานะที่ดีที่สุดที่จะพากันให้เจริญ

ในละครพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกตอนที่ ๔๑ ได้มีบทพูดว่า “ถ้าข้ายอมให้ความเศร้าของเจ้าสองแม่ลูก แล้วคนอีกไม่รู้เท่าไหร่ที่ทนทุกข์เล่า” หมายถึงการไม่เห็นแก่ประโยชน์เพียงเล็กน้อย ยอมไม่ครองคู่เพื่อให้ประโยชน์ที่มากกว่ากับผู้อื่น แทนที่จะให้เวลากับคนแค่สองคน ก็เอาเวลาไปใส่ใจกับคนอีกมากจะดีกว่า เมื่อเห็นเช่นนี้ ศิษย์พระพุทธเจ้าทุกคนย่อมสละประโยชน์เพียงเล็กน้อย เพื่อประโยชน์ที่มากกว่า

การไม่ครองคู่ และคงสถานะเป็นเพียงแค่เพื่อน เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน จึงเป็นความเจริญของผู้ที่ปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นชั่วกาลนาน

– – – – – – – – – – – – – – –

25.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)