Tag: เจ้ากรรมนายเวร

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 90,700 views 14

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

… ความจริงที่จะมาอธิบายเหตุผลมากมายร้อยแปดพันเก้าว่าทำไม…เขาถึงมาจีบฉัน

เราอาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นเดือนเป็นปีในการทำความเข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาจีบฉัน แต่ในบทความนี้จะย่อช่วงเวลาแห่งการหาคำตอบเหล่านั้นไว้ให้เหลือเพียงไม่กี่หน้า เพื่อให้ง่ายต่อการจับประเด็นและรู้เท่ากิเลสที่แอบซ่อนอยู่ภายในลึกๆ ก่อนที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับความรักลวงนั้นได้

ในบทความนี้เราจะพูดในมุมของผู้หญิงซึ่งเป็นมุมที่มักจะถูกจีบ ถูกดูแล ถูกเอาใจ เป็นมาตรฐานสากลของไทยที่ใครตั้งไว้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าพูดในมุมผู้หญิงก็จะอธิบายให้เห็นภาพได้ชัด ส่วนคุณผู้ชายก็อย่าน้อยใจกันไป ลองอ่านแล้วเปรียบเทียบกันดูได้ เพราะลีลาท่าทางต่างๆของคนที่มาจีบก็เหมือนๆกันนั่นแหละ

เราอาจจะสงสัยว่าทำไมเขาจึงมาจีบ มาทุ่มเท ดูแล เฝ้าเอาใจ ไม่ห่างไปไหน เขาช่างดีแสนดี หลายเดือนหลายปีก็ยังอยู่ เรามีอะไรดีนักหนา ผู้คนตั้งมากมายทำไมต้องเป็นเราหรือเขาคือเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาเพื่อเรา มาเป็นเนื้อคู่ของเรากันแน่นะ พลังมโน หรือการคิดไปเองนี่มันร้ายยิ่งกว่าร้าย มันปรุงแต่งสิ่งลวงให้เป็นของจริงได้ แต่ก่อนจะมโนกันไปมากกว่า เรามาเข้าเรื่องกันเลย

1). ทำไมเขาจึงมาจีบฉัน

เหตุผลในการมาจีบทางโลกนั้นมีอยู่มากมายยากจะชี้ให้เห็นทั้งหมด แต่ถ้าเราจับต้นสายปลายเหตุดีๆ ค้นไปให้ลึกให้เห็นถึงต้นเหตุที่ผลักดันให้เขามาจีบ เราก็จะสามารถเห็นได้ว่ามีกิเลสอยู่ 4 ระดับหลักที่ผลักดันให้เขามาติดมายึดเรา

1.1).อบายมุข … ความอยากในอบายมุขนี่ก็เช่น พวกกิจกรรมที่พาเสื่อมต่างๆ เป็นนักกินเหล้า นักพนัน ชอบดูละครน้ำเน่า ชอบเที่ยวกลางคืน เกียจคร้านการงาน ติดเล่นเสเพลไปเรื่อย เมื่อเขาเหล่านั้นเจอคนจริตเดียวกัน คือเราก็เป็นคนที่หลงในอบายมุขด้วย จึงชอบพอและมาจีบด้วยเหตุที่ว่าจะได้ใช้ชีวิตไปกับการเสพอบายมุขสนองกิเลสไปด้วยกัน คิดแบบกิเลสท่วมใจว่า แหม.. เราเสพคนเดียวยังสนุกขนาดนี้ ถ้าชวนเธอมาเสพสุขในเรื่องเหล่านี้มันจะสุขขนาดไหน

ในมุมคนเจ้าชู้ เขาเหล่านั้นจะลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในการได้เสพการยอมรับและการสมสู่ จึงตระเวนแจกขนมจีบไปทั่วโดยไม่หวังผล แม้จะเป็นการจีบไปทั่วแต่ก็มักจะเป็นการจีบที่มีผลให้หญิงผู้มีจิตใจอ่อนไหวต่อกิเลสได้พลาดท่าเสียทีมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังที่เป็นกรณีศึกษาที่ปรากฏทั่วไปในสังคม

และในมุมที่ตรงไปตรงมาที่สุดของการมาจีบในระดับอบายมุข คือจีบมาเพื่อเป็นที่สนองตัณหา สนองความใคร่ จีบเพื่อจะได้สมสู่ จนมีคำเรียกที่ว่า “รักนิรันดร์ ฟันแล้วทิ้ง”

1.2).กามคุณ … กามนี้เป็นกิเลสในฐานที่คนยึดถืออยากได้อยากมีจนจีบกันในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสวย หุ่นดี เสียงไพเราะ ตัวหอม ผิวนุ่ม ต่างเป็นที่น่าหลงใหลของชายทั่วไป หญิงที่พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ จึงเหมือนกับดอกไม้ที่มีหมู่ผึ้งมาคอยจ้องจะมาเอาน้ำหวาน เรียกง่ายๆว่าเขาหลงในความงามเขาจึงมาจีบ เพราะเขาอยากได้ความงามของเรามาเสพ มันก็ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนเท่าไหร่

1.3).โลกธรรม … ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแบบโลกๆ เพราะเรามีสิ่งเหล่านี้ เขาจึงมาจีบเพื่อหวังได้เสพสิ่งเหล่านี้จากเรา เราอาจจะรวย อาจจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี อาจจะมีชื่อเสียง อาจจะดูเหมือนบำเรอสุขให้เขาได้ เขาจึงมาจีบเรา แบบว่าอยู่กับคนนี้ก็สบายไปทั้งชีวิต

ในมุมผู้ชายมาจีบเพื่อโลกธรรมอาจจะเห็นได้ไม่มาก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปที่ผู้หญิงที่มาจีบหรือจะตกลงใจต่อผู้ชายจะเห็นภาพได้ง่าย เพราะในสังคมไทย ผู้หญิงมักจะต้องตั้งเงื่อนไขไว้ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เช่น “สมัยนี้ไม่มีใครเขากัดก้อนเกลือกินกันแล้ว” หรือไม่ก็ “รักคนดี ชอบคนหล่อ แต่งงานกับคนรวย” คนที่มาจีบเพราะโลกธรรมมันก็แบบนี้ เพราะเขาหวังว่าสุดท้ายแล้วจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกๆ มาสนองให้กับตนจึงพยายามจีบ หรือคอยให้ท่า

1.4). อัตตา … ในมุมของอัตตานี่ล้ำลึกที่สุด เพราะเหตุผลไม่ค่อยชัด ประมาณว่าฉันก็ชอบของฉันแบบนี้ ฉันจะต้องได้คนแบบนี้ ฉันคัดคนแบบนี้มา เธอคือสเปคของฉัน รักตั้งแต่แรกพบอะไรก็ว่ากันไป ในมุมอัตตานี่จะมีในระดับศีลธรรมต่ำก็ได้ จะสูงก็ได้ แต่เนื้อแท้คือต้องการแบบเธอคนนั้นมาสนองอัตตาของฉัน ซึ่งอัตตานี้เองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและลึกลับที่สุด ถ้าอยากรู้ต้องค่อยพิจารณาขุดค้นหากิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก

ต้องยอมรับกันจริงๆว่าบางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติ มันจะมีอาการดูดดึงกันแปลกๆ ความรู้สึกอยากเสพความสวยความงาม ความรวย ความมีชื่อเสียง หรือการสมสู่มันก็ไม่ได้อยากจะมีมากนักหรอก แต่มันอยากได้คนคนนี้ มันต้องเป็นคนนี้เท่านั้น อันนี้แหละเขาเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร เหตุผลทางโลกนี่จะใช้อธิบายไม่ได้เลย เพราะมันจะอยากได้อยากมีแบบดื้อๆ ไม่ค่อยมีเหตุผล

….สรุปแล้วการที่เขามาจีบนั้นก็มีเพียงภาพกว้างๆเท่านี้ เขาอาจจะอยากเสพหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ทั้งกามทั้งโลกธรรม หรืออาจจะเป็นเหลือแค่อัตตาก็ได้ เราก็ใช้ลักษณะของกิเลสเหล่านี้ไปสังเกตเขาแล้วก็ค่อยๆวิเคราะห์ไปตามเหตุปัจจัย

2). จริงๆฉันก็รู้และอยากให้เขามาจีบฉัน

ผู้หญิงหลายคนก็ฉลาดในเรื่องโลก ฉลาดในทางสะสมกิเลส ฉลาดเฉโก รู้อยู่เต็มอกนะ ว่าเขามาจีบเพราะอะไร นอกจากจะรู้แล้วยังไม่อยู่เฉย มักจะคอยกระตุ้นผู้ชายให้มาจีบมากขึ้นด้วยการเร่งกิเลสของเขา

2.1).อบายมุข … พอรู้ว่าผู้ชายติดอบายมุข ติดการสมสู่ก็เข้าไปเร่งกิเลสผู้ชาย แต่งตัวโป๊ ใส่กระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อผ้ารัดรูป เว้านิด เปิดหน่อย เสื้อบางๆ ถ่ายรูปโชว์หน้าอกนิดหนึ่ง ทำหน้าอ้อนๆนิดหน่อย หรือถ้าหลงมัวเมาหนักๆในการยั่วกิเลสก็โป๊ให้เห็นเลย หรือถ้าพูดกันตรงๆก็คือวางแผนให้ท่าอ่อยเหยื่อผู้ชาย สุดท้ายก็หลอกล่อให้เขามาสมสู่กับเรานั่นแหละ อันนี้มันระดับอบาย เป็นนรกแท้ๆ แม้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่อย่าไปลองเลย เพราะมันได้แค่สุขลวงแต่เป็นทุกข์แท้ๆ

2.2).กามคุณ …พอรู้ว่าผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ ก็จะดูแล บำรุงให้ตัวเองดูดี ในระดับกามนี้จะไม่ตกต่ำไปจนโป๊เปลือย แต่จะสวยอยู่ในระดับที่สังคมยอมรับได้ มีการแต่งหน้าทาปากเพื่อให้สวยตามสังคมทั่วไป แต่งตัวให้ดูดีแบบทั่วไป หัดพูดจาให้เสียงไพเราะ ทำตัวให้หอม ทำเนื้อตัวให้เนียนนุ่ม อันนี้ก็อยู่ในขีดของกาม ผู้หญิงจะรู้ตัวและแอบดูแลตัวเองอยู่เพราะลึกๆต้องการให้ใครสักคนมาจีบ

คนที่ติดในกามหลงในกามมากเข้าจะเริ่มต้องการมากขึ้น อยากเสพความงามมากขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าสวยขึ้นงามขึ้นก็จะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าไปศัลยกรรมตกแต่งร่างกาย ฉีดตรงนั้น ตัดตรงนี้ เพิ่มตรงนั้น ลดตรงนี้ ซึ่งในขีดนี้ก็เรียกได้ว่าเสื่อมถึงขนาดเข้าขีดของอบายมุขแล้ว

ในข้อนี้อาจจะมีความเห็นแย้ง ว่าปกติฉันก็แต่งอยู่แล้ว คนเรานั้นมีกิเลสลีลาหนึ่งที่เรียกว่า “แข่งดีเอาชนะ” ถ้าให้เทียบทั่วไปก็คือการแข่งกันสวยแข่งกันเด่น แต่แข่งกันไปเพื่ออะไรล่ะ? การแข่งนี้เป็นสัญชาติญาณของสัตว์ไม่ใช่ของผู้เจริญแต่อย่างใด สัตว์จะแข่งกันโชว์ความสวยงามเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจ แต่ถ้าเราคิดว่าเราแต่งไปเพราะความชอบล้วนๆนี่มันเป็นอัตตา มันหลงยึดหลงติดแบบไม่มีเหตุผล มันต่ำยิ่งกว่าสัตว์อีก

2.3).โลกธรรม …ในกิเลสมุมนี้จะขออธิบายในมุมผู้ชายเพื่อให้เห็นภาพชัดกว่า เมื่อเราเห็นว่าผู้หญิงติดโลกธรรม อยากได้อยากมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แน่นอนว่ามีผู้ชายบางจำพวกสามารถสนองกิเลสด้วยลาภได้อย่างไม่ยากไม่ลำบาก จึงเกิดการเลี้ยงดู บำเรอด้วยลาภ หรือที่เขาเรียกกันว่า “เด็กเสี่ย” อะไรประมาณนั้น เป็นการใช้เงินเข้ามาล่อผู้หญิงขี้โลภให้เข้ามาติดกับ จริงๆแล้วมันก็ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันละนะ ต่างคนก็เสพสมใจในมุมของตัวเอง ใช้คนอื่นสนองกิเลสตัวเองกันไป

2.4). อัตตา …กลับไปในมุมของผู้หญิงเหมือนเดิม แม้ว่าจะเป็นผู้ชายที่มีอัตตามาก มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นตัวของตัวเอง มีอุดมการณ์มาก แต่ก็มักจะต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ เพราะเธอเหล่านั้นวางค่ายกลที่จะสนองอัตตาไว้แล้ว เป็นมารยาที่มีมากกว่าร้อยเล่มเกวียน เป็นการสนองอัตตาจนผู้ชายคนนั้นยอมรับผู้หญิงที่มีมารยาผู้นั้นไว้เป็นหนึ่งในอัตตาของตัวเอง

เมื่อผู้ชายรับเอาผู้หญิงเป็นอัตตาแล้วยังไง? ก็เข้ามาจีบเท่านั้นเอง ผู้หญิงที่วางแผนไว้แต่แรกก็อาจจะเล่นตัวอีกสักเล็กน้อยให้พอดูมีศักดิ์ศรีบ้างเพื่อสนองอัตตาเขาไปอีกที สุดท้ายก็จะจับผู้ชายที่มีอัตตาจัดได้ไม่ยาก

3). ทำไมเขาจึงไม่มาจีบฉันบ้างล่ะ

ก็เพราะเขาคิดว่าผู้หญิงอย่างฉันนั้นไม่สามารถสนองกิเลสของเขาได้ หรือไม่ก็มีคนอื่นที่สนองกิเลสเขาได้มากกว่า เขาจึงไม่จีบฉันยังไงล่ะ หรือจะเรียกได้ว่าฉันไม่ใช่กรรมกิเลสของเขา (ก็ดีแล้ว) หรืออีกนัยหนึ่งคือเราไม่มีกรรมผูกกันมาขนาดนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาผูกกันอีกครั้ง (ก็ดีแล้ว)

4). จีบแล้วพาให้หลง

เมื่อเขามาจีบแล้วก็มักจะสนองกิเลสเราด้วยความลวง เราไม่สวยก็ว่าเราสวย เราไม่ดีก็ว่าเราดี ทำให้เราเริ่มหลงจนเริ่มมีนิสัยเสีย งอแง เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ เพราะไม่ว่าจะทำนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็ทนได้ เขาก็รับได้ ที่เขาทนได้เพราะเขายอมให้เราตายใจก่อนจะได้เสพสมใจเท่านั้นเอง แต่เวลาเราสร้างนิสัยเสียขึ้นนี่มันเสียแล้วเสียเลย เสียแล้วมันแก้ยาก กิเลสมันขึ้นแล้วมันลงยาก นี่แหละผลของการจีบแล้วทำให้หลงผิด

5). รักจริงหรือ…จึงมาจีบ

เรามักจะเห็นภาพความเพียรพยายาม ดูแลเอาใจใส่ ทำตัวดังพ่อบุญทุ่ม ยากแค่ไหนก็ยอมฝ่า เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมทน ดีแสนดีเหนือใคร ซื่อสัตย์ อดทน ให้อภัย เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของสามีในอนาคต ดังเทพบุตรที่ส่งมาจากฟ้า พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะรักและมั่นคงไปชั่วนิรันดร์

แค่นั้นยังไม่พอ ยังทุ่มเทและบำรุงเราด้วยอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา กระหน่ำเข้ามาไม่เว้นวัน วันละหลายครั้งสามเวลาหลังอาหาร คำว่ารัก รัก รักนี่ตกเกลื่อนพื้นเรี่ยราดมากมายจนเก็บไม่หมด เฝ้าฝันเฝ้ารอคอย ตามตื้อจนกว่าเธอจะรับรัก อดทนรอหลายเดือน หลายปี หลายสิบปี ทำความดีให้เห็นอย่างไม่ลดละ เธอชอบคนดีฉันก็เข้าวัดฟังธรรมสวดมนต์ เธอชอบเล่นหุ้นฉันก็ศึกษาหุ้นวิเคราะห์หุ้นให้ เธอชอบอะไรฉันก็จะสนองเธออย่างนั้นจนกว่าเธอจะยอม

เป็นเทพบุตรสุดที่รักที่น้ำเน่ายิ่งกว่าละคร เป็นนักแสดงค่าตัวแพงที่ยอมเล่นก่อน จ่ายทีหลังพร้อมกับดอกเบี้ยบานเบอะ ถ้าเจอแบบนี้ให้ลองสังเกตดูว่าเขาดูแลพ่อแม่ดีแบบนี้หรือไม่?

ถ้าผู้ชายที่ดีแสนดีจะดูแลใครสักคนให้ดี เขาจะต้องดูแลพ่อแม่ของเขาให้ดีก่อนเป็นแน่ เขาจะไม่มาเสียเวลาแจกขนมจีบให้เราหรอก เพราะเขาเอาเวลาไปดูแลครอบครัวของเขาดีกว่า เพราะพ่อแม่นั้นเป็นผู้มีพระคุณที่ควรจะกตัญญู ไม่เหมือนกับเราซึ่งเจอกันไม่นาน ถ้าเขาสามารถรักเราที่พึ่งเจอกันไม่นานมากกว่าพ่อแม่ได้ ก็ลองพิจารณากันดูเองว่าควรแล้วหรือ? รักนั้นจริงแล้วหรือ? คนที่มีรักจริงทำตัวเช่นนี้หรือ?

6). จีบไปทำไม

จริงๆแล้วเขาก็มาจีบเพื่อจะเสพเรานั่นแหละ และโดยรวมทั้งหมดตามธรรมชาติของมนุษย์เลยก็คือการได้สมสู่ ดังนั้นเป้าหมายก็จะเป็นการจีบเพื่อสมสู่ แม้ว่าภาพที่แสดงออกจะดูดีแค่ไหน สุภาพบุรุษแค่ไหน สุดท้ายก็สมสู่อยู่ดี ชีวิตมันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องสมสู่นี่แหละ จีบกันหมายจะมีคู่มันแค่เรื่องสมสู่นี่แหละ แล้วเราก็หลงไปว่าเรามีคุณค่ากับเขาอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วมันก็มีคุณค่าแค่ไว้สมสู่นี่แหละ

กล่าวกันแบบนี้อาจจะดูแรงไปสักนิด แต่ถ้าคนเรารักกันจริงมันไม่ต้องจีบกันให้เมื่อยหรอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสมสู่เลยเพราะหยาบเกินไป เอาแค่จีบกันนี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ การจะคอยสนองกิเลสใครนี่มันเหนื่อยและใช้พลังงานมาก มันไม่บริสุทธิ์เพราะมันมีกิเลส รักกันนี่ไม่จำเป็นต้องเสพกันก็ได้ เป็นเพื่อนกันก็รักกันได้ แต่ที่มันจะพยายามให้เกินเพื่อนเพราะมันอยากจะเสพบางอย่างที่มันเกินเพื่อนไปนั่นแหละ

ผู้ชายหลายคนอาจจะเริ่มซึ้งและเข้าใจกิเลสตัวเองมากขึ้นหลังจากได้เสพสมใจและเสพจนกระทั่งเบื่อหน่าย จนพบว่าสุดท้ายเมื่อตัดความใคร่ออก ก็จะเหลือแค่คำว่าเพื่อนชีวิตเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วเพื่อนนี่มันไม่ต้องจีบ ไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ แต่การจีบจนกระทั่งแต่งงานนี่มันจะได้สมสู่กันอย่างถูกต้องตามจารีตประเพณีที่คนเขายอมรับกัน

เมื่อเริ่มเบื่อหน่ายจากเมียที่เคยรักเคยหลง ก็จะเริ่มเห็นทุกข์แท้จริง เพราะไม่ว่ากามคุณที่เธอเคยมีนั้นก็จะเสื่อม แก่ เหี่ยว หย่อนยาน เสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ โลกธรรมที่เคยมีนั้นก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ อัตตาที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้ก็คลายลงเรื่อยๆ แต่ก็จะอยู่ในสภาวะที่ต้องจำยอมรับผิดชอบกับอีกชีวิตหนึ่งที่เอามาผูกกันไว้

สุดท้ายก็เป็นผู้ชายเองที่ติดกับผู้หญิง หลงจีบผู้หญิงเพราะอยากได้อยากมีเธอมาไว้สนองกิเลสตัวเอง จริงๆแล้วเธอก็อยู่ของเธอดีๆ เราก็ไปยุ่งกับเธอเอง ไปชอบเธอเอง ไปอยากได้เธอเอง แล้วก็ไปจีบเธอเอง สุดท้ายหลังจากกระตุ้นกิเลสเธอจนเธอยอมก็ได้เธอมาเป็นของตัว แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้นั่นก็ไม่เที่ยง เสพสุขไม่นานมันก็หมดรสสุข เสพไปก็ไม่สุขเหมือนเดิม ความสุขนั้นลวงเราตั้งแต่แรก เราสุขแป๊ปเดียวเท่านั้นแหละ จีบกันไม่กี่ปี แต่ต้องทุกข์อีกหลายสิบปี ทุกข์ไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หรือมีใครคนใดคนหนึ่งไม่ซื่อสัตย์แยกตัวออกไป

และสำหรับผู้ชายที่ไม่เคยพอ เมื่อไม่สุขเหมือนที่เคยเสพ ก็จะทิ้งผู้หญิงที่ตนเคยรัก เคยดูแล เคยเอาใจ เคยสาบานว่าจะรักไปจนชั่วนิรันดร์ไปหาเสพสิ่งที่ตัวคิดว่าสุขเอาดาบหน้า ไปมีกิ๊ก ไปมีชู้ ไปมีเมียน้อย ฯลฯ ทิ้งผู้หญิงซึ่งถูกเสพจนเสื่อมสภาพ และถูกเอาใจจนเสียนิสัยที่ดีไปหมด ไว้ให้เป็นเพียงแค่อดีตตอนหนึ่งของชายคนนั้นเท่านั้น

7). รักฉันอย่าจีบฉัน

ดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การจีบนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อมอย่างแน่แท้ ความรักที่แท้จริงไม่ได้หวือหวา น่ามหัศจรรย์ น่าหลงใหลขนาดนั้น แต่เป็นความสงบเย็น อ่อนละมุน บางเบา ไม่เร่าร้อน ไม่เรียกร้อง เมื่อเห็นเช่นนั้นพึงเข้าใจว่า “รักฉันอย่าจีบฉัน” อย่าทำให้ฉันหวัง อย่าบำเรอกิเลสฉันจนฉันหลงไป อย่าเอาใจฉันจนฉันนิสัยเสีย อย่าบิดเบือนความจริงด้วยความลวง อย่ามองฉันเป็นเพียงเป้าหมายที่ต้องพิชิต อย่าให้ฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในชีวิตของเธอ อย่าให้ฉันเป็นของเธอและอย่าให้เธอมาเป็นของฉัน

การที่คนเราจะรักกันนั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นของกันและกัน เราแค่เพียงมีกันและกันเดินร่วมกันไปดังเส้นขนาน แม้ว่าจะไม่ได้เสพสมสู่กันดังธรรมชาติของผู้คนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความสุข ความสุขจากการได้เสพสมใจตามกิเลสมันจะมีค่าอย่างไรในเมื่อมันเป็นแค่ความหลง

ดังนั้นหากว่ารักฉันจริง จงอย่าจีบฉัน อย่าทำร้ายฉันด้วยดอกไม้ คำหวาน และคำสัญญาใดๆอีกเลย เพราะฉันรู้ว่ามันไม่มีวันเป็นจริง

– – – – – – – – – – – – – – –

13.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ลูกเอ๋ยลูกรัก

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,053 views 1

ลูกเอ๋ยลูกรัก

ลูกเอ๋ยลูกรัก

…เจ้ากรรมนายเวรตัวน้อย กำเนิดจากกรรม เป็นวิบากกรรม

การมี “ลูก” เป็นเหมือนกับสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จของการมีครอบครัว เป็นความสมบูรณ์ในชีวิตคู่ เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่จะต้องสืบพันธุ์ ขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพบกับสุขและทุกข์หากเรายังวนเวียนอยู่ในวิถีทางแห่งธรรมชาติในโลกใบนี้

ในบทความนี้จะสรุปภาพรวมของความยากลำบากเกี่ยวกับลูกและเส้นทางแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้น ด้วยเนื้อหา 9 ข้อดังต่อไปนี้

1). กว่าจะมีลูก

ปัญหาเริ่มแรกก่อนจะมีลูกเลยก็คือ ต้องแสวงหาพ่อหรือแม่ของลูกเสียก่อน ต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องคู่เสียก่อน คนนั้นดีแต่ไม่เหมาะสม คนนี้เหมาะสมแต่กลับไม่ดี สุดท้ายหลังจากแสวงหามานานหรือจะพลั้งเผลอไปก็ตาม เราก็จะได้คู่มาหนึ่งคนซึ่งจะทำหน้าที่มาเป็นพ่อหรือแม่ของลูก

คนโดยทั่วไปแล้วมักมีลูกกันไม่ยากนัก และส่วนหนึ่งในการเกิดลูกนั้นไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่หากเป็นผลผลิตของความหมกมุ่นในกามอารมณ์จนประมาทในการป้องกันหรือในกรณีของการโดนยัดเยียดความเป็นแม่ให้โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจะไม่กล่าวกันในประเด็นเหล่านี้

กว่าจะมีลูกได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในบางคู่ถึงกับต้องพึ่งวิธีทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยให้ประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความจะเกิดผลดังใจหวัง 100% พวกเขายังต้องทุกข์ทรมานกับความหวังในการมีลูก ความคาดหวังว่าในสักวันหนึ่งครอบครัวจะสมบูรณ์สมดังใจหมาย

สรุปแล้วกว่าจะมีลูกได้นี้ก็ต้องผ่านทุกข์จากการหาคู่ ไหนจะต้องมาทุกข์กับความคาดหวังว่าจะได้ลูกอีก คนที่ได้สมใจอยากก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจ คนที่ไม่อยากได้แต่กลับได้มาก็เป็นเรื่องน่าเศร้า ส่วนคนที่อยากได้แต่ทำยังไงก็ไม่ได้นี่มันทุกข์สุดทุกข์จริงๆ

2). จนถึงวันที่ลืมตาดูโลก

ช่วงเวลากว่า 9 เดือนที่ต้องอุ้มท้องนั้นไม่ง่าย เป็นความยากลำบากทรมานร่างกายของคนเป็นแม่ที่ต้องแบกลูกไว้กับตัว ต้องคอยระแวงระวัง สารพัดความทุกข์ที่จะประดังเข้ามาทั้งเรื่องความกังวลของลูกที่อยู่ภายในท้อง อาหารการกินที่จะมีผลประทบต่อลูก และวิถีชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปเมื่อตั้งครรภ์

ในช่วงเวลาเหล่านี้ต้องยอมรับกันตรงๆว่าเป็นทุกข์ของหญิงจริงๆ สองในห้าข้อในข้อธรรมที่ว่าด้วยเรื่องทุกข์ของหญิง ๕ นั้นคือ หญิงย่อมมีครรภ์ และหญิงย่อมคลอดบุตร ความทุกข์เหล่านี้เป็นความทุกข์ที่ผู้เป็นแม่ต้องจำยอมแบกรับไว้ เป็นวิบากกรรมของผู้หญิงที่ผู้ชายไม่มีวันเข้าใจ

กว่าจะถึงวันที่คลอดบุตรนั้นต้องรับทั้งภาระทางร่างกายและจิตใจอย่างมาก ความหวัง ความเครียดจากสุขภาพและความกดดันทางจิตใจ แม้จะสามารถบรรเทาได้ด้วยการมองโลกในแง่ดี การคิดบวก แต่ทุกข์นั้นก็ยังเป็นทุกข์อยู่วันยังค่ำ

3). ใครมาเกิด?

มาถึงเนื้อหาหลักของบทความนี้กันเสียที มีคำกล่าวมากมายว่า “เด็กเหมือนดังผ้าขาว” ความเห็นความเข้าใจเหล่านี้เป็นความเข้าใจแบบโลกๆ เป็นความเข้าใจทั่วไป แต่ศาสนาพุทธไม่ได้มองแบบนั้น เรามองว่าทุกคนมีกรรมเป็นของของตน นั่นหมายถึงเด็กคนที่กำลังจะเกิดมานั้นก็มีกรรมของเขา มีความเห็นความเข้าใจของเขา มีกิเลสของเขา มีธรรมของเขา การมาเกิดของเขานั้น เขาหอบโภคทรัพย์ของเขามาเกิดด้วย

ทีนี้ใครล่ะที่มาเกิด? ในยุคกึ่งพุทธกาลเช่นนี้ เราคิดหวังจริงๆหรือว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิด อัตราส่วนระหว่างคนเลวกับคนดีในโลกเป็นเท่าไหร่ ไหนจะสัตว์เดรัจฉานที่เปลี่ยนภูมิกลับมาเป็นคนอีก การคาดหวังว่าจะเป็นผู้มีบุญมาเกิดนี่มันยากยิ่งกว่าถูกหวยอีก

กรรมของเด็กที่มาเกิดจะสังเคราะห์รวมกับกรรมของพ่อและแม่ รวมกับญาติพี่น้อง รวมกับสิ่งแวดล้อม จนเกิดสภาวะพอเหมาะที่จะแสดงผลของกรรม คนนั้นๆเขาจึงได้มาเกิดในท้องของแม่คนนั้นซึ่งเป็นภรรยาของพ่อคนนั้น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่ถูกคำนวณไว้อย่างพอเหมาะแล้วโดยกรรมของเราทุกคน

ปัญหาคือใครจะรู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ คนที่มาเกิดอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราก็ได้ เป็นศัตรู เป็นลูกน้อง เป็นอะไรต่อมิอะไรที่อาจจะส่งผลร้ายถึงร้ายมากต่อเราก็เป็นได้ เรามองเห็นเพียงแค่รูปธรรม คือเด็กตัวน้อยเกิดมาหน้าตาเหมือนเราผสมกับคู่ของเรา แต่เรามองไม่เห็นนามธรรมหรือกรรมที่ซ่อนอยู่ลึกๆของเขา

ชีวิตของเขาจะถูกผลักดันด้วยกรรมของเขา ถ้าเขาเคยเป็นเดรัจฉานมาก่อน เคยเป็นคนขี้โลภมาก่อน เคยเป็นฆาตกรมาก่อน เมื่อเขาตายและเกิดใหม่มาเป็นลูกของเรา กิเลสที่เขามีอยู่จะติดมากับเขาด้วย เพราะนั่นเป็นกรรมของเขา

ส่วนเราซึ่งเป็นพ่อแม่ก็มีกรรมของเรา เพราะเรามีกิเลสอยากมีลูก กรรมของเราก็คือต้องยินดีรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราไม่มีทางรู้ว่าใครจะมาเกิด ไม่รู้ว่าเกิดมาแล้วจะเป็นอย่างไร จะปกติไหม จะพิการไหม จะสุขภาพดีไหม หลากหลายปัญหาที่พาให้ทุกข์ตั้งแต่แรกคลอดนั้นมีมากมายตามกรรมที่เคยทำมา

4). เจ้านายและทาส

ไม่ว่าจะเป็นใครมาเกิดก็ตาม บทของเราคือทาสอย่างเดียวเท่านั้น เราไม่สามารถสั่งให้เด็กทารกไปทำอะไรตามใจเราได้ เราต้องป้อนนม ป้อนข้าว เช็ดอึ บริการเด็กคนนี้ทุกอย่าง

เมื่อเด็กร้องงอแงเราก็ต้องหาสิ่งบำเรอเด็กให้หายจากทุกข์ เรามักจะเรียกสิ่งนี้ว่าความรักความห่วงใย แต่มันมีกิเลสซ้อนอยู่คืออยากเอาใจให้เด็กรักเรา ให้เด็กหลงเรา เราจึงพยายามเอาใจเด็ก แท้จริงแล้วเรากำลังเสพความรักจากเด็กเพราะว่าเรากำลังหลงรักเด็กอยู่นั่นเอง

เด็กนั้นเป็นดังเจ้านายที่สามารถบงการให้พ่อและแม่เกิดทุกข์หรือสุขขึ้นได้ พ่อแม่จึงกลายเป็นทาสอารมณ์ของเด็กคนนั้น เมื่อเด็กยิ้มและหัวเราะ ทาสก็มีความสุขไปด้วย แต่เมื่อเด็กร้องไห้งอแงเอาแต่ใจ ทาสก็จะเป็นทุกข์ลำบากลำบนหาเครื่องบรรณาการมาให้เด็กได้เสพสมใจ ซึ่งเราก็ต้องทนเป็นทาสอารมณ์ของเด็กไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะหมดความหลงในตัวเด็กคนนั้นนั่นแหละ

5). นักลงทุนผู้คาดหวัง

มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่เป็นนักวางแผนและนักลงทุน เขามักจะมองปัจจัยที่มองเห็นได้ด้วยตาซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะในเรื่องนามธรรมมันมองไม่เห็นอยู่แล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าเด็กที่มาเกิดคนนั้นจะมีบุญบารมีด้านไหน จะเก่งหรือจะเจริญไปเช่นใด

แต่ด้วยอัตตาและความหวังดีที่ปนกิเลสของเรา จึงมักจะเห็นพ่อแม่ที่ขีดเส้นทางสวยๆไว้ให้ลูกเดิน แน่นอนว่าในสายตา เขาก็มักจะเดินให้เราเห็น ให้เราภูมิใจ แต่นอกสายตาเขาก็ไปกับเพื่อน ไปเสพกิเลสตามใจเขา ไปสูบบุหรี่ กินเหล้า เล่นพนัน สมสู่กัน นอกลู่นอกทางไม่ให้เราเห็นอยู่เสมอ เหล่านี้เองคือธรรมชาติหรือที่เรียกว่าเป็นไปตามกรรมของเขา

พ่อแม่ผู้หวังดีพยายามวางอนาคตให้ลูก เมื่อได้รู้ว่าลูกที่ตนรักและเอาใจใส่ได้ออกนอกลู่นอกทางก็อกหักอกพัง บ้างก็โทษเด็ก บ้างก็โทษตัวเองว่าเลี้ยงไม่ดี เป็นทุกข์เศร้าหมองหดหู่กันไป แต่จะโทษเด็กก็มีส่วนอยู่บ้างเพราะเขาก็มีกรรมของเขา กิเลสของเขาลากให้เขาไปทำบาป เราทำหน้าที่ป้องกันได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถึงจะพยายามเท่าไหร่แต่เราก็ไม่มีทางป้องกันวิบากกรรมอยู่

การทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหวังของเรามันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้แน่นอนในโลก ทุกอย่างต้องแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ และความผิดหวังที่เราได้รับก็คือผลกรรรมจากความคาดหวังของเรา เพราะเราอยากให้เกิดเราจึงตั้งความหวัง มีวันที่สมหวังก็ต้องมีวันที่ผิดหวัง แต่ความทุกข์นั้นจะเกิดหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ยังมีพ่อแม่นักลงทุกอีกมากที่วาดเส้นทางสวยงามไว้ให้ลูก ซึ่งแท้จริงได้ซ่อนภาระอันหนักหน่วงให้กับลูกปนไปกับความหวังดี เช่นมีลูกเพราะอยากให้ลูกมาสืบทอดกิจการของตนหรืออยากให้เขามาเลี้ยงตนเองตอนแก่ จึงแสดงความรักและดูแลเอาใจใส่เพื่อหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้มาทำงานสนองกิเลสให้ตนเอง ดูสิกิเลสคนเรามันสร้างคนอื่นขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองได้เสพสุข วางแผนกันได้เป็นสิบๆปี แล้วคิดดูสิว่าถ้าผิดหวังมันจะทุกข์ขนาดไหน

6). กรรมเป็นของของตน

ถ้าเรายังไม่ชัดเรื่องกรรม เราก็จะต้องมีทุกข์เพราะความผันแปรที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด แม้ว่าเราจะมองลูกเป็นสิ่งที่เกิดมาอย่างบริสุทธิ์ เราเลี้ยงดูมาด้วยวิธีตามตำรา ดูแลด้วยอาหารอย่างดี ให้คบคนดี ทำแต่สิ่งที่ดี แน่นอนว่ากรรมใหม่เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีที่พ่อแม่ควรกระทำ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะเผื่อใจไว้ด้วยว่า เราไม่สามารถขีดเขียนเส้นทางชีวิตของใครได้ทั้งหมด เพราะเราก็มีกรรมของเรา เขาก็มีกรรมของเขา มีให้เห็นมาแล้วว่าลูกเศรษฐีในประเทศหนึ่งยินดีละทิ้งสมบัติของตระกูลหันมาบวชเป็นพระในประเทศไทย หรือแม้แต่กรณีศึกษาคลาสสิกที่สุดในโลกคือเจ้าชายองค์หนึ่งยินดีสละทุกสิ่งมาออกบวชจนกระทั่งพบว่าตัวท่านเองคือพระพุทธเจ้า

ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่ว ทุกคนมีเส้นทางกรรมที่ถูกขีดไว้แล้ว ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าเขาทำดีมามากถึงเราจะไม่มีเวลาเลี้ยง ไม่ได้เอาใจใส่ สุดท้ายคนดีก็ยังเป็นคนดีอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าคนที่ทำชั่วมามาก ถึงเราจะเลี้ยงดูเอาใจใส่พาให้พบแต่สิ่งดี แต่สุดท้ายเขาก็จะวิ่งหาความชั่วความต่ำทรามอย่างที่เขาเคยเสพคุ้นมานานหลายภพหลายชาติ

ความดีความเลวในโลกล้วนแต่วนเวียนสลับกลับไปกลับมา คนดีกลายเป็นคนเลว คนเลวกลายเป็นคนดี หมุนเวียนอยู่ในโลกธรรม ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอยู่เช่นนี้ เพราะมีกิเลสเป็นแรงผลักดัน และกิเลสนั้นเองก็นำมาสู่กรรมที่จะถูกสร้างขึ้น ให้เราได้วนเวียนรับกรรมดีกรรมชั่วอย่างไม่จบไม่สิ้น

เมื่อเป็นคนดีก็จะทำแต่ความดีจนได้รับความสุข เมื่อได้รับสุขก็ติดสุขจนต้องแสวงหาจนยอมทำชั่วเพื่อให้ได้สุขมา พอทำชั่วมากๆก็กลายเป็นคนชั่ว พอชั่วมากๆก็ทุกข์มากจนเลิกทำชั่วกลับมาทำดี พอดีมากๆก็ได้รับความสุขมาก จนติดสุข….วนเวียนไปเช่นนี้

7). ยึดมั่นถือมั่นในอะไร?

เมื่อเราเริ่มเห็นแล้วว่าลูกหลานที่เราเห็นนั้น แท้จริงเขาก็ไม่ใช่ของเราหรอก เขาไม่ใช่ผลผลิตจากตัวเราทั้งหมด แน่นอนว่าเขาใช้ร่างกายและเชื้อของเรามาเกิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเหมือนเราเสมอไป

พอเรายอมรับได้แล้วว่าเขาก็มีกรรมเป็นของเขา เขาก็เป็นเขาแบบนั้น เราก็จะเริ่มคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวเขาลง ปล่อยให้เขาได้เดินตามวิถีทางของเขาโดยเราเป็นเพียงผู้สนับสนุนในทางกุศลและให้กำลังใจเมื่อเขาพลาดพลั้ง

การที่เรายังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในความเป็นพ่อหรือแม่ จะทำให้เราเป็นทุกข์ เราไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วบทเสริมของเราคืออะไร แม้เราจะพยายามเล่นบทพ่อแม่ที่เราคิดหวังไว้ แต่วันหนึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนไปเล่นบทอื่นเสริม เช่นบทเพื่อน บทครู บทหมอ หรือแม้แต่บทพระ

ความยึดมั่นถือมั่นจะมีลักษณะอาการที่แข็ง กดดัน อึดอัด ไม่ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ เพราะเราไม่สามารถยอมรับความจริงของการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเราเสพสุขกับการเล่นบทพ่อแม่ เราจึงยึดบทนั้นไว้เป็นบทของตัวเอง ซึ่งในบางสถานการณ์การเปลี่ยนตัวเองเป็นเพื่อนนั้นน่าจะทำให้เกิดกุศลกว่า

แต่หลายคนอาจจะทำไม่ได้ เพราะเราเห็นว่าเขาเป็น “ลูก” เราเป็น “พ่อแม่” จริงๆเราก็แค่อินกับบทที่เขาให้ในชาตินี้เท่านั้นเอง ลองถอยมาดูสักหน่อย ลองลดความยึดมั่นถือมั่นสักหน่อย เราก็จะสามารถเห็นได้ว่า ลูกคนที่อยู่ตรงหน้าเรา แท้จริงเขาเป็นอย่างไร เขาควรจะทำอะไร เราควรจะทำหน้าที่เพิ่มเติมอย่างไร เพิ่มบทบาทแบบไหน ลดบทบาทใดลงบ้าง

8). ภาระจากกิเลส

แม้ว่าเราจะวางความยึดมั่นถือมั่นได้แล้ว เข้าใจแล้วว่าเขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเรา แม้เราจะมีกรรมมาเกี่ยวพันกันได้เป็นพ่อแม่ลูกกันในชาตินี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องยึดมั่นถือมั่นในบทบาทที่เราเล่นจนเป็นทุกข์

เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ทุกข์ ไม่ตีกรอบ ไม่ตั้งความหวังจนเกินไป เพียงเท่านี้ก็จะได้ความสุขจากความสงบมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องแบกภาระนี้ต่อไป เพราะแม้จะไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นแต่ความเป็นพ่อแม่ลูกจะยังคงอยู่ต่อไป เราจำเป็นต้องยึดอาศัยกันและกันเพื่อสร้างกุศล ดำเนินไปให้เกิดกุศลสูงสุด

ภาระที่เกิดขึ้นทุกอย่างก็คือภาระจากการที่เรามีกิเลส เช่นเราอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่ดีมีชื่อเสียง เราก็ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าโรงเรียนทั่วไป และในภาพรวมของภาระนั้นหมายถึงเราจะต้องแบกเด็กคนนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเรามีกิเลสอยากมีลูก ดังนั้นเด็กที่เกิดมาก็คือผลของกรรมกิเลสที่เราต้องแบกรับไว้นั่นเอง

9). หน้าที่

ผู้ที่เข้าใจความจริงตามความเป็นจริงแล้ว แม้จะต้องแบกรับภาระที่ทำให้ทุกข์ แต่ก็จะไม่หนี ไม่ทิ้งหน้าที่ เพราะรู้ว่าหน้าที่ของพ่อแม่นี้เองคือสิ่งที่เราควรจะปฏิบัติให้ดี เลี้ยงลูกให้เขาเป็นคนดี ให้มีศีลธรรม ให้เข้าใกล้ศาสนา พาให้ลดกิเลส ไม่พาฟุ้งเฟ้อ ไม่สนองกิเลสจนเสียคน พาไปแต่ทางที่เป็นกุศล ตักเตือนในเรื่องที่เป็นอกุศล เหล่านี้คือหน้าที่ที่พ่อแม่ควรจะกระทำนอกเหนือจากการเลี้ยงดูด้วยปัจจัยพื้นฐาน

เราควรจะทำหน้าที่ของพ่อแม่ไปพร้อมกับทำหน้าที่ของตนเองนั่นคือการขัดเกลาจิตใจของตนเอง ลูกคือเจ้ากรรมนายเวร หรือเทวดาตัวน้อยที่ฟ้าส่งมาให้เรียนรู้ทุกข์ เพื่อให้ค้นให้เจอเหตุแห่งทุกข์ จนรู้ถึงการดับทุกข์ และปฏิบัติสู่การดับทุกข์ด้วยการดำเนินไปตามวิถีทางแห่งการดับทุกข์

พ่อแม่นั้นมีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่อยู่ที่บ้าน เพราะนอกจากจะปฏิบัติธรรมกับคู่ของตนแล้วยังต้องปฏิบัติธรรมกับลูกด้วย ทำอย่างไรที่เราจะไม่หลงรักลูกจนหลงไปเป็นทุกข์ และทำอย่างไรที่เราจะไม่ยึดดีถือดีในสิ่งที่เราเชื่อมากเกินไปจนเป็นทุกข์ เพราะไหนๆเขาก็เกิดมาแล้ว โตมาแล้ว เราก็เรียนรู้ที่จะพัฒนาจิตใจไปพร้อมๆกับเขา เรียนรู้ความเป็นเราโดยสะท้อนจากตัวเขา ใช้โอกาสนี้ในการปฏิบัติธรรมเสียเลย

…เมื่อเห็นความยากลำบากของการเป็นพ่อแม่ดังนี้แล้วเราจึงควรตระหนักว่ากว่าที่เราจะโตมาถึงวันนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อแม่ต้องฝ่าฟันทุกข์ ต้องรับภาระ รับวิบากกรรมอย่างหนักหนาสาหัสมามากเท่าไหร่กว่าจะถึงวันนี้ การที่พ่อแม่เลี้ยงดูเราดีนั้นก็เกิดเพราะผลกรรมดีของเรา และการที่พ่อแม่ทำอะไรให้เราทุกข์ใจนั้นก็เกิดจากผลกรรมที่ไม่ดีของเรา

สิ่งดีสิ่งร้ายทั้งหมดที่เราได้เจอนั้นเกิดจากผลของกรรมของเรา เราทำมาเองทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พ่อแม่ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ควรกตัญญูเสมอ

ความกตัญญูนั้นไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่าเอาใจใส่ แต่หมายรวมถึงการพาให้ท่านได้พบกับสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่พาให้ชีวิตพบกับความสุขแท้ แต่การที่จะพาท่านไปสู่การปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ได้นั้น เราก็ต้องทำตัวเองให้เป็น ให้ได้ ให้มีสิ่งนั้นในตนเสียก่อน

แล้วเราจะมีสิ่งดีที่ประเสริฐในตนได้อย่างไร หากเรามัวเอาเวลาไปดูแลใครก็ไม่รู้ที่กำลังจะมาเกิดในตัวเราหรือในตัวของภรรยาเรา พ่อแม่คือคนที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว ชัดเจนอยู่แล้ว เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องวางแผน การดูแลพ่อแม่นั้นง่ายกว่าการเลี้ยงลูกอย่างมาก เพราะขยับจากง่ายไปยาก ท่านจะค่อยๆแก่ให้เราได้ปรับตัวอย่างช้าๆ ไม่เหมือนกับเด็กทารกที่เกิดมาก็เป็นเรื่องยุ่งยากในทันทีและจะยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป

ดังจะเห็นได้ว่าการมีลูกนั้นมีแต่ทุกข์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “คนมีลูกก็มีทุกข์ คนไม่มีลูกก็ไม่ต้องมีทุกข์” ดังนั้นใครที่แต่งงานแล้วไม่มีลูกก็เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะสามารถนำเวลาที่มีคุณค่าไปทำสิ่งที่มีประโยชน์ได้มากมาย

เมื่อความไม่มี การไม่ครอบครองสิ่งใดๆนั้นคือคุณค่าแท้ เป็นความสุขแท้ นั่นหมายถึงคนที่โสดอย่างเป็นสุขนั่นแหละคือผู้มีบุญที่สุด เพราะไม่ต้องทุกข์ด้วยเหตุแห่งลูกหรือคู่ครอง มีศักยภาพสูงสุดในการกตัญญูพ่อแม่ เพราะไร้ซึ่งข้อจำกัดของบ่วงกรรมที่ผูกมัดไว้นั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

10.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

แฟนคนไหนดี

November 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,424 views 0

แฟนคนไหนดี

แฟนคนไหนดี

แฟนในอดีตก็ผ่านไปแล้ว แฟนในอนาคตก็ยังไม่มาสักที แฟนในปัจจุบันก็ดูจะไม่ไหว หรือจริงๆแล้วไม่มีแฟนจะดีกว่า?

เรื่องของการมีคู่เป็นหนึ่งในปัญหาโลกแตกที่วนเวียนกันไม่จบไม่สิ้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหนึ่งคนไปสองคน จากสองเพิ่มใครก็ไม่รู้มาเป็นสาม หรือจากสองลดลงมาเหลือหนึ่งก็มักจะมีความทุกข์ใจเกิดขึ้นกับใครสักคนเสมอ

ก็คงจะดีหากชีวิตของเราสามารถหยุดที่ใครคนใดคนหนึ่งได้จริงๆ ได้มาเสพสมใจแล้วไม่อยากได้เพิ่มอีก สนองกิเลสแล้วกิเลสลดจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงจะดี แต่ความจริงแล้วเมื่อคนอยากได้อยากมีมาก พอได้เสพสมใจก็จะยิ่งอยากได้เสพสิ่งที่คิดว่าดีว่าเลิศขึ้นไปอีก จึงนำมาสู่การมีบุคคลที่สามเข้ามาในชีวิตและนำมาสู่การเลิกรา

ในบทความนี้ก็จะพูดถึงแฟนที่อยู่คนละช่วงเวลา คือแฟนในอดีต แฟนในอนาคต และแฟนในปัจจุบัน โดยจะขยายเป็นข้อๆให้ได้พิจารณากันว่า…แฟนคนไหนดี

….แฟนในอดีต

คือคนที่ได้พรากจากไปแล้ว หรือคนที่กำลังจะจากไป คำว่าอดีตนั้นคือสภาพที่ความรัก ความสมใจ ความชอบใจเดิมๆนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว จางคลายไปแล้ว ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการเลิกรากันหรือการอยู่ร่วมกันในสภาพที่รักเดิมนั้นได้ตายจากไป

คนที่ถูกพรากออกจากแฟนเก่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากเจ้าตัวไม่เต็มใจที่จะเสียไป ก็ต้องทุกข์ ทรมาน คร่ำครวญ โศกเศร้า เรียกร้องหวังจะให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนดังเดิม โดยไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่ากรรมได้พรากสิ่งที่เขาหรือเธอรักและหวงแหนไปแล้ว เมื่อไม่ทำความเข้าใจก็จะวนอยู่กับทุกข์ อยู่กับฝันในวันวาน อยู่กับอดีตที่คอยหลอกหลอน อยู่กับความรักที่ไม่มีวันกลับมา วนเวียนอยู่เช่นนั้น

ส่วนคนที่ความรักได้พรากจากไป แม้ว่าตัวคู่ครองจะยังคงอยู่ ยังใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ แต่ความรักที่เคยได้เสพสมใจกลับไม่มีเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับเสื่อม จางคลาย และหายไปคนที่ไม่เข้าใจถึงธรรมชาติว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถมีอะไรคงอยู่ได้แม้แต่ความรักที่เขาเคยให้สัญญาว่าเป็นนิรันดร์และมั่นคงเพียงใด เมื่อไม่เข้าใจก็จะทุกข์ อึดอัดขัดข้องใจกับสิ่งที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เสพความรักความอบอุ่นใจดังที่เคยได้รับจึงเกิดเป็นสภาพอยู่ไปทั้งรักทั้งทุกข์ใจ

แม้ว่าเราจะหวังจะพยายามทำให้แฟนในอดีตกลับมาเป็นเหมือนเดิมดังใจเรา หรือถึงแม้จะพยายามจนทำให้กลับมาคู่กันได้ แต่มันจะไม่เหมือนเดิม สภาพเดิมที่เคยสุขสมใจจะไม่เป็นเหมือนเดิมจะเกิดก็เพียงแค่สุขจากการได้เสพอาการกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่นานมันก็จะค่อยๆจาง ค่อยๆจาก ค่อยๆพรากไปเหมือนเดิม

การมัวแต่คิดถึงแฟนเก่านั้นเหมือนกับคนเสียดายของ เสียดายสิ่งที่เคยมี เป็นคนยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยมี จมอยู่กับอดีต เสพสุขอยู่กับการเฝ้าฝันถึงวันดีๆในอดีต ไม่อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ต้องทนทุกข์กับสิ่งลวงที่ใจตัวเองสร้างขึ้น เพราะอดีตได้ผ่านไปแล้ว ความรักนั้นได้จบไปแล้ว ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่จมอยู่กับอดีตไม่มีวันที่จะพบกับความสุขแท้ ดังนั้นแฟนในอดีต ไม่มีทางเป็นตัวเลือกที่ดีได้เลย สิ่งใดที่เสียไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันจากไปตามทางของมัน ไม่ต้องไปยื้อไปรั้งจนทุกข์ เพราะถึงที่สุดแล้วหากสิ่งนั้นจะเป็นของจริง มันจะกลับมาเป็นปัจจุบันของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องพยายามจนต้องทนทุกข์ ลำบากลำบนใดๆให้มากมาย

….แฟนในอนาคต

คือคนที่ยังไม่มาถึง เป็นคนที่เฝ้าฝัน เฝ้าพยายาม ไม่ว่าจะพยายามมองหาหรือพยายามไขว่คว้ามาครอบครอง เป็นแฟนที่ไม่มีจริง ไม่อยู่ในสภาพแฟนมีอยู่แค่ในความฝัน

คนที่ยังไม่มาถึงนั้น หลายคนคงจะหวังว่าเนื้อคู่ของฉันอยู่ไหน เนื้อคู่ของฉันคือใคร จะเจอได้อย่างไร เฝ้าฝันถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงในโลก อยู่แค่ในจินตนาการ เสพสุขไปกับการปล่อยใจล่องลอยไปในอนาคตที่ไร้ขอบเขต พร้อมๆกับความทุกข์ในจิตใจจากความโหยหา อยากได้ อยากมี อยากครอบครอง อิจฉาคนอื่น ฯลฯ

ส่วนคนที่กำลังพยายามไขว่คว้ามาครอบครองนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เช่น การปรนเปรอด้วยคำหวาน คำสัญญา ด้วยทรัพย์ ด้วยความมั่นคงในชีวิต ด้วยชื่อเสียง ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ด้วยความสุขลวงๆตามแต่จะสรรหามาปรุงแต่งให้คนในอนาคตนั้นกลายมาเป็นคนในปัจจุบันของเราให้ได้ พยายามทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “แฟน” ในปัจจุบันให้ได้

ถ้าโชคร้ายก็จะไม่ได้เสพสมใจในสิ่งใดตามที่ใจหวัง ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่อนาคตที่วาดฝันไว้ก็กลับเป็นสิ่งที่ห่างไกล ยิ่งพยายามเข้าใกล้ก็ยิ่งไกลออกไป เหมือนกับว่าแฟนในอนาคตเป็นภาพลวงตาที่ไม่มีจริง จึงเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ไม่มีค่า ไม่มีราคา มีแต่ขาดทุน

แต่ถ้าโชคร้ายกว่าก็จะได้คนในอนาคตมาเป็นปัจจุบันได้จริงๆ แต่คนที่เราต้องพยายามไขว่คว้ามาด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญและสุขลวงๆนั้นดีจริงแล้วหรือ? เรากำลังเอาอะไรไปแลกกับอะไรมา? เอากิเลสเราไปล่อกิเลสเขาแล้วจะได้สิ่งที่ดีมาจริงหรือ?

สำหรับสิ่งที่เรียกว่าเนื้อคู่ หรือเจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามาให้ลำบาก ไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหา ถึงเวลาที่เหมาะที่ควรแล้วเขาก็จะมาเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็ตัวใครตัวมัน หนีให้ทันก็แล้วกันเพราะว่าไล่ก็ไม่ไป สะบัดก็ไม่หลุด แถมตัวเรายังจะไปหลงกับเขาอีก แม้คนอื่นจะว่าไม่ดีเพียงไรเราก็ยังจะหลงงมงายใครเตือนก็จะไม่ฟังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ดังคำว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” นั่นแหละนะ

การเฝ้าฝันในอนาคตนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้เราพบกับความสุขแท้ได้ เพราะถึงแม้จะฝันไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่นมาพบกับความจริงอยู่ดี ความจริงที่ว่าวันนี้ยังไม่มีใคร วันนี้เรายังโดดเดี่ยว ซึ่งก็จะทำให้ทุกข์จากความเหงาที่ตัวเองสร้างขึ้นมานั่นเอง

….แฟนในปัจจุบัน

มาถึงตรงนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือแฟนในปัจจุบันนั่นแหละ เพราะเป็นคนที่เราสามารถทำสิ่งดีให้เกิดดี หรือทำสิ่งร้ายให้เกิดร้ายจนเห็นผลทันตาได้

แม้ว่าบางครั้งในบางคน อาจจะไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นเพราะจมอยู่กับอดีตว่าทุกสิ่งจะต้องดีเหมือนดังเช่นวันเก่า หรือคิดฝันไปในอนาคตว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทำให้ไม่อยู่กับปัจจุบัน พอคนที่อยู่กับปัจจุบันแต่ไม่ทำใจให้ยอมรับว่าปัจจุบันนี่แหละคือสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นจริง เป็นของจริง ก็จะต้องอกหักอกพังกับความทรงจำในอดีตและความคาดหวังในอนาคตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องคู่ครองก็คงไม่มีคำถามในเรื่องที่ว่า แฟนคนไหนดี แต่โดยมากและทั้งหมด เมื่อมีคนมากกว่าหนึ่งคนยังไงก็ต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกิดขึ้น ความเห็นต่างนั่นไม่ใช่ประเด็นหลักในการทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้คนทะเลาะกัน

ความสัมพันธ์ของแฟนคนปัจจุบันคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเรา ถ้าเราเป็นคนดีพากันทำดี ไม่ส่งเสริมกิเลส ไม่ส่งเสริมการเสพการติดการยึด ความสัมพันธ์ก็จะเป็นไปในลักษณะที่ผ่อนคลาย เบาสบาย

แต่ถ้าความสัมพันธ์ใดเป็นไปอย่างหม่นหมอง ตรอมตรม อึดอัด กดดัน คาดหวัง บีบคั้น นั้นก็มาจากเราเองที่พากันทำสิ่งไม่ดี พากันส่งเสริมกิเลส พอคนกิเลสหนาสองคนมาอยู่ด้วยกันก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งเอาแต่ใจ ก็จะยิ่งทุกข์

ปัจจุบันเป็นตัวบอกได้ว่าความจริงในขณะนี้ ตัวเราดีแค่ไหน ดีพอหรือยัง มีอะไรที่บกพร่องหรือควรแก้ไขอีกบ้างไหม ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหน แต่คนที่ใช่ก็จะกลายมาเป็นปัจจุบันของเราอยู่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด สิ่งที่เป็นอดีตก็ปล่อยให้เลยผ่านไป ส่วนสิ่งที่ยังไม่มาถึงในอนาคตก็อย่าไปคิดเพ้อฝันไปไกล ปัจจุบันนี้เองคือโอกาสที่จะสร้างอดีตที่และอนาคตที่ดีในเวลาเดียวกัน

….ปัจจุบันแฟนไม่มี

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพบว่าตัวเองยังไม่มีแฟน นั่นคือเราโชคดีที่สุดในโลกแล้ว !!

อ่านแล้วคงจะงงกันไม่น้อย เพราะในสังคมทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าการมีแฟน การมีคู่ การได้แต่งงานคือความสมบูรณ์แบบในชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วความสุขที่แท้จริงในชีวิตนั้นเกิดจากการไม่มีคู่ ไม่ต้องมีแฟน ไม่ต้องดูแลใคร ไม่ต้องมาคอยเอาใจ คอยดูแล คอยทะเลาะ คอยระแวงระวัง หรือคอย…อะไรต่อมิอะไรกันอีกมากมาย

ในขณะที่หลายคนพากันหาความสุขในชีวิตที่เรียกกันว่าแฟน กลับมีคนไม่น้อยที่อยู่ในสภาพคนในอยากออก แต่ก็มีคนนอกที่อยากเข้ามาเรื่อยๆ นรกคนคู่นี้ไม่เคยว่างจากคนทุกข์ ยังมีคนอีกมากที่แสวงหาสุขจากการมีคู่ครองโดยไม่รู้ว่ามันคือสุขลวง มันคือสิ่งลวง มันคือรักลวงๆ

เพราะความรักที่แท้จริงนั้น จะไม่คาดหวังที่จะได้รับสิ่งใดจากคนที่เรารักเลย เรายินดีที่จะให้ได้มากเท่าที่จะเกิดกุศล แต่จะไม่รู้สึกว่าต้องการรับสิ่งใดแม้แต่การได้รับรักกลับมา การได้รับการยอมรับ การได้รับคำขอบคุณ การได้รับคุณค่า การได้รับโอกาสในการอยู่ร่วมกัน ความรักที่แท้ไม่ต้องการอะไร เมื่อไม่ต้องการอะไรก็ไม่ต้องครอบครองอะไร ไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องทำร้ายกันด้วยวิบากกรรมอันจะส่งผลซึ่งกันและกัน

หลายคนอาจจะมองในแง่ดีว่า ก็มีคู่แล้วพาเจริญไปด้วยกันไม่ได้หรือไง? ถ้าคิดแบบคนมีกิเลสมันก็พอจะได้อยู่ แต่มันก็ทุกข์อยู่ เพราะต้องมาแบกกิเลสของทั้งคู่ครองและตัวเอง ดีไม่ดีจะต้องแบกของคู่มากกว่าตัวเองเสียอีก ในบางครั้งเราอาจจะเจริญทางธรรมแต่คู่ครองไม่เจริญตามด้วยก็เหมือนเทวดากับมารอยู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ มันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงามเพียงแค่เราเห็นว่าคนที่เราคิดว่าดีได้ครองคู่กัน มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของละครกรรมบทใหม่เท่านั้นเอง และมันจะต้องเล่นละครครอบครัวเรื่องนี้ไปจนกว่าจะหน่ายคลายจากกิเลสนี้ เล่นไปทุกชาติ ทุกภพ ตลอดกาล ทุกข์ปนสุข และทุกข์สุดทุกข์อยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้นจนกระทั่งวันหนึ่งทุกข์เกินทนจากการมีคู่ ก็จะเลิกอยากมีคู่เองอยู่ดีนั่นล่ะนะ

คนที่ยินดีครอบครองความโสดด้วยใจที่เป็นสุขนั้น คือคนที่มองเห็นโทษภัยของการมีแฟน หรือการมีคู่ครอง สามีภรรยา ว่าเป็นตัวทุกข์อย่างแน่แท้ จึงจะสามารถถอนตัวออกจากนรกที่ชื่อว่า “ครอบครัว” ได้อย่างถาวร

ดังนั้นหากเรายังเป็นโสดอยู่ ยังคงเป็นคนที่ไม่มีแฟน ไม่มีเครื่องผูกมัด ก็อย่าไปวิ่งหาให้มันลำบากเลย เพราะถึงเวลาเดี๋ยวก็จะมาเอง เรื่องคนคู่นั้นไม่ขึ้นกับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับวิบากกรรม กรรมจะเป็นตัวชักนำให้เราเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝัน อาจจะเป็นสิ่งดีก็ได้ สิ่งร้ายก็ได้ แต่สุดท้ายทั้งหมดที่เราเจอนั่นแหละคือสิ่งที่เหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว

ส่วนคนที่ยังยินดีที่จะยอมรับทุกข์ เพื่อเสพสุขลวงๆ ก็ขอให้พิจารณาเลือกให้ดี เลือกคนที่มีศีลมีธรรมอย่างน้อยๆก็ศีล ๕ สามารถลดกิเลส ทำลายกิเลสเป็น ก็ยังพออยู่ในขีดที่เรียกได้ว่าเป็นทุกข์น้อยกว่าชาวบ้าน แต่ก็ยังถือว่าทุกข์มากอยู่ดีนั่นเอง

….ทำไมเราถึงอยากมีแฟน

จริงๆแล้วการที่เราอยากจะมีใครสักคนนั้น…ถ้าไม่นับเรื่องหยาบๆ แบบเรื่องกามเมถุน สมสู่คนคู่ เหตุจากการอยากมีใครสักคนนั้นเกิดจากความเหงา

ความเหงาทำให้เราอยากหาใครสักคนมาอยู่ข้างๆ มาใช้เวลาร่วมกัน คอยเป็นเพื่อน คอยเป็นที่ปรึกษา จริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการแฟนหรอก เราเพียงต้องการใครสักคนที่เราคิดว่าจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเราได้ตลอดไปเท่านั้นเอง

เมื่อเราไม่พึ่งตัวเอง แต่เอาคนอื่นเป็นที่พึ่งเราก็จะเหงา และหาใครสักคนมาเติมเต็มความเหงานั้น รากของความเหงาหรือเหตุของความเหงานั้นเกิดจากการที่เราต้องการมีตัวตน จริงๆแล้วเราต้องการให้ใครสักคนได้รับรู้ว่ามีเราอยู่ในโลกนี้ ต้องการให้ใครสักคนยอมรับในสิ่งที่เราทำ เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น รู้ใจเรา เป็นตัวตนของตน…..ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นการมีแฟน มีคู่ครองเพื่อดับความเหงาจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย มันจะสามารถบรรเทาได้ชั่วครู่เท่านั้น แต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครที่ไม่จากพรากสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ว่าเขาจะยังอยู่ แต่ความเป็นเขาอาจจะไม่ได้อยู่เหมือนกับในวันที่เราได้หมายมั่นให้สัญญากันไว้ก็ได้

เมื่อเราเห็นดังนี้ว่าเหตุแห่งความเหงานี้เอง คือตัวผลักดันให้เราหาใครสักคนมาทำให้ชีวิตของเราวุ่นวายโดยที่เราเรียกมันว่าความสุขหรือความธรรมดาในชีวิตคู่ ทั้งที่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตเลย เมื่อเห็นต้นเหตุของปัญหาดังนั้นก็ให้พิจารณาลงไปถึงทุกข์ โทษ ภัยของสิ่งที่เรายังหลงติดยังหลงยึดอยู่ เปลี่ยนหลักยึดจากยึดอัตตา ตัวตน ตัวกูของกู เป็นยึดอาศัยพระรัตนตรัยไปก่อน ยึดสามสิ่งนี้เป็นสรณะไปก่อน วันใดที่สามารถพ้นจากความเหงา ความอยากมีตัวตน ก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวได้ในแนวทางของการ “โสดอย่างเป็นสุข

….อย่ากลัวการที่จะแก่ไปคนเดียว

คนโสดมักจะกลัวการที่จะต้องแก่ไปอย่างเดียวดาย ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่คนที่มีคู่ก็สามารถแก่ไปอย่างเดียวดายได้ แม้จะมีคู่ เขาก็ไม่อยู่เป็นเพื่อนเรา แม้จะมีลูกหลาน เขาก็ไม่อยู่ดูแลเรา แม้จะมีเพื่อนมากมาย เขาก็ไม่มาอยู่ร่วมกับเราเราจึงได้เห็นว่าแม้จะมีก็เหมือนไม่มี ถึงมีอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหงา ไม่เดียวดาย ไม่ได้หมายความว่าการมีคู่ครอง การมีครอบครัว การมีลูกหลาน การมีคนรู้จักมากจะเป็นหลักประกันว่าเราจะไม่เดียวดายในตอนแก่

หลักประกันเดียวที่จะทำให้เราไม่แก่ไปคนเดียว ไม่อยู่อย่างเดียวดายนั่นก็คือ “ความมีน้ำใจ” มีจิตอาสา ช่วยเกื้อกูลดูแลคนในครอบครัว ในชุมชน ในสังคม เมื่อเราดูแลคนอื่น คนอื่นก็จะดูแลเรา การที่เราหวังหาใครสักคนมาดูแลเราโดยใช้คำว่าคู่ คำว่าลูก คำว่าเพื่อน หรือแม้แต่ลูกจ้างก็ตาม จะเป็นความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงเลยหากเราไม่ลงมือดูแลเขาก่อน

คนโสดก็เช่นกัน หากไม่มีคู่ครอง ไม่มีลูก ก็สามารถดูแลลูกพี่ลูกน้อง ดูแลญาติ ดูแลชุมชน ดูแลสังคมได้ เมื่อเราทำตัวให้เป็นประโยชน์ ทำตัวเป็นผู้ให้และให้อย่างไม่คิดจะรับอะไร เมื่อนั้นแหละเราจะกลายเป็นผู้รับ รับกรรมดีที่เราทำมา กินใช้และอาศัยกรรมของเราเลี้ยงตัวเราเองไปจนจบชีวิตได้แบบอย่างมีคุณค่าได้เลย

ความเหงาก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดความกลัวในเรื่องนี้เช่นกัน กลัวจะเหงาคนเดียวตอนแก่ …จริงๆมันก็เหงาตั้งแต่ตอนนี้นี่แหละ ถ้าทำลายความเหงาตั้งแต่ตอนนี้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวไปเหงาตอนแก่แล้ว

– – – – – – – – – – – – – – –

17.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์