Tag: อริยสัจ ๔
ธรรมชาติของผู้ไม่เบียดเบียน

ธรรมชาติของผู้ไม่เบียดเบียน
ณ การประชุมมังสวิรัติ เอเชีย แปซิฟิก ( APVC ) ครั้งที่ 7 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558
บทคัดย่อ
ธรรมชาติของสัตว์นั้นย่อมเบียดเบียนกันเป็นธรรมดา แต่ธรรมชาติของผู้ที่จะพ้นจากความเป็นสัตว์ ไปสู่ความเจริญโดยลำดับย่อมละเว้นการฆ่าและการเบียดเบียน
สัตว์นั้นล่าและหากินโดยสัญชาติญาณ เพราะความหิวจึงทำให้มันต้องเบียดเบียน การล่าของสัตว์นั้นก็เพียงเพื่อดำรงชีวิตไปวันต่อวัน เป็นการกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน เป็นไปตามธรรมชาติของผู้ล่า ที่จะต้องล่าเพื่อดำรงชีวิต
แต่มนุษย์นั้นต่างออกไป ในปัจจุบันมนุษย์ไม่ได้ล่าสัตว์ไว้กินเพื่อดำรงชีวิต แต่เป็นการเข้าไปควบคุมชีวิตสัตว์ ควบคุมการเกิด การเติบโต การแก่ และการตายของสัตว์ ให้เป็นไปในความต้องการของตน วางบทบาทไว้เป็นยิ่งกว่าผู้ล่า ให้อยู่เหนือสัตว์ทั้งปวง โดยอ้างสิทธิ์ต่างๆในการควบคุมชีวิตสัตว์เหล่านั้น และเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มนุษย์ยัดเยียดให้กับสัตว์
การที่มนุษย์ยังเบียดเบียนอยู่นั้นก็เพราะกิเลส เราควบคุมสัตว์เหล่านั้นเพราะกิเลส เรากินสัตว์เหล่านั้นเพราะกิเลส เป็นไปตามธรรมชาติของผู้มีกิเลส แต่ไม่ใช่ธรรมะของผู้ที่จะก้าวสู่ความพ้นทุกข์
ผู้ที่จะดำเนินชีวิตไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืนโดยลำดับ ย่อมศึกษาเพื่อที่จะละเว้นจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เพราะการเบียดเบียนเหล่านั้นคือเหตุแห่งทุกข์
บทบรรยาย

ธรรมชาติของผู้เบียดเบียน
สัตว์นั้นมีความเบียดเบียนกันเป็นธรรมชาติ นกล่าหนู สิงโตล่ากวาง เราอาจจะได้เห็นภาพที่น่าสยดสยองจากการล่า แต่นั่นก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการเบียดเบียนของคน คนนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าสัตว์ ฉลาดกว่าสัตว์ จึงใช้ความฉลาดนั้นในการเบียดเบียนได้มากกว่า
การเบียดเบียนของคนที่มีต่อสัตว์นั้น คือการเข้าไปควบคุมชีวิตสัตว์ตั้งแต่กระบวนการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำตัวเสมือนพระเจ้าที่ชี้เกิด ชี้เป็น ชี้ตายแก่สัตว์เหล่านั้นได้ อุปโลกน์สิทธิ์ขึ้นมาว่า “ฉันนี้มีอำนาจในการจัดการชีวิตเธอ” สัตว์มันไม่เกิดก็ไปข่มขืนให้มันเกิด สัตว์ใดไม่มีประโยชน์ก็ยัดเยียดความตายให้มัน นี้คือความเบียดเบียนของคนผู้หนาไปด้วยกิเลส
เพราะคนมีความรัก โลภ โกรธ หลง คือรักที่จะเสพสุขในเนื้อสัตว์นั้น โลภอยากได้เนื้อสัตว์มาบำเรอตนตลอดไป ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ก็จะโกรธและหงุดหงิด เพราะคนนั้นหลงว่าเนื้อที่เขาฆ่ามานั้นมีคุณ หลงในรสเนื้อสัตว์ จึงทำให้คนต้องเบียดเบียนสัตว์เพื่อมาสนองตัณหาของตน ธรรมชาติของผู้เบียดเบียนจึงเป็นเช่นนี้

ธรรมชาติของผู้ไม่เบียดเบียน
ศาสนาพุทธนั้นไม่ยินดีในความเบียดเบียน แม้ศาสนาใดในโลกต่างก็ไม่ยินดีในความเบียดเบียน กระทั่งกลุ่มคนที่ไม่มีศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาใดๆ ก็ยังมีจิตที่จะเว้นขาดจากการเบียดเบียน ดังนั้นการไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยการกินเนื้อของมัน จึงเป็นศีลธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ สามารถเข้าใจกันได้โดยสามัญ เป็นเรื่องที่จะทำให้ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกซึ่งในตอนนี้เราก็จะกล่าวกันเฉพาะการไม่เบียดเบียนในมุมมองของพระพุทธศาสนา

ในบทโอวาทปาติโมกข์ (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๕๔ ) ได้มีตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ผู้ที่ทำร้ายผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต” ศาสนาพุทธไม่ได้กำหนดว่านักบวชคือผู้โกนผมห่มผ้า การเป็นนักบวชนั้นเป็นได้ด้วยการประพฤติตนให้อยู่ในคุณอันสมควร การไม่ทำร้ายเป็นคุณสมบัติหนึ่งของนักบวชในศาสนาพุทธ ผู้ที่ทำร้ายผู้อื่นอยู่แม้จะเป็นผู้โกนผมห่มผ้าก็ไม่เรียกว่าเป็นนักบวช
ที่เข้มข้นไปกว่านั้น คือ “ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ” สมณะหมายถึงผู้สงบจากกิเลส ในศาสนาพุทธนั้นมี สมณะ ๔ คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เรียกรวมๆว่า พระอริยะ คือสภาพที่เจริญสู่ความพ้นทุกข์โดยลำดับ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา
ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีความไม่เบียดเบียนเป็นธรรมดาและบริสุทธิ์ผ่องใสโดยลำดับ หากเราเทียบกับการไม่เบียดเบียนที่เข้าใจกันว่า “การไม่กินเนื้อสัตว์คือการไม่เบียดเบียนสัตว์” ธรรมข้อนี้แม้ปุถุชนยังสามารถเข้าใจได้ เห็นตามได้ ปฏิบัติได้ ลดการเบียดเบียนได้ แล้วพระอริยะที่มีปัญญาห่างไกลกับพวกปุถุชน จะไม่มีปัญญารู้ถึงคุณแห่งการไม่เบียดเบียนนี้เชียวหรือ?
ดังนั้นการเบียดเบียนจึงไม่ใช่วิสัยอันสมควรของพระอริยะ หากท่านเหล่านั้นได้รับรู้แล้วว่ากรรมใดๆที่ตนได้ทำ ไปมีส่วนเบียดเบียนโดยที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ท่านก็จะเว้นจากอกุศลกรรมเหล่านั้นเสีย

ย้ำกันไปอีกจากพระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๙ “บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นอริยะเพราะเบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง บุคคลที่เราเรียกว่าเป็นอริยะเพราะไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง” จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่เรียกผู้ที่ยังเบียดเบียนสัตว์อื่นว่าเป็นพระอริยะ ซึ่งเป็นสภาพที่ย้ำและยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่ยินดีในการเบียดเบียน และไม่ยอมรับผู้ที่เบียดเบียนอย่างไร้สำนึกเข้าเป็นสาวกในศาสนา

สรุปกันด้วยข้อความตอนหนึ่งจากพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ ข้อ ๑๔๕๙ มีเนื้อหาว่าด้วย สัตว์ทั้งหลายย่อมไม่ชอบใจในการถูกเบียดเบียนและทำร้าย แม้เราก็ไม่ชอบใจในสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่ควรทำสิ่งที่เราไม่ชอบกับใครเลย ข้อความที่ตัดมาตอนท้ายคือ “อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนั้นแล้ว ตนเองย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่องดเว้นจากปาณาติบาตด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นปาณาติบาตด้วย กายสมาจารของอริยสาวก ย่อมบริสุทธิ์โดยสามส่วนอย่างนี้”
แปลความให้สอดคล้องกับเนื้อหาได้ว่า สาวกพระพุทธเจ้าเห็นว่าผู้ใดก็ไม่ชอบใจการทำร้ายและการเบียดเบียน ซึ่งเป็นเหตุให้ชีวิตสัตว์ตกร่วง(ปาณาติบาต) ตนเองก็จะไม่ทำร้ายและเบียดเบียน ชักชวนให้ผู้อื่นไม่ทำร้ายและเบียดเบียน ทั้งยังต้องพูดชมในประโยชน์ของการไม่เบียดเบียน ดังเช่นว่าถ้าพบเห็นใครไม่เบียดเบียน เช่นจัดกิจกรรมงดเนื้อสัตว์มากินผัก ก็ย่อมจะสรรเสริญและชอบใจในการไม่เบียดเบียนนั้น ความประพฤติของสาวกพระพุทธเจ้าต้องประกอบด้วยสามส่วนนี้ จึงจะเรียกว่า “พระอริยะ”
ดังจะเห็นได้ว่า ศาสนาพุทธแท้ๆ ไม่ยินดีในการเบียดเบียนเลยแม้น้อย ไม่มีการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หรือทำผิดแล้วไม่แก้ไข มีแต่ความเห็นที่ยินดีในการไม่เบียดเบียน ไม่ใช่ผู้ที่ยังเบียดเบียนอยู่แล้วอ้างตนเป็นสาวก ซึ่งยังขัดกับหลักธรรมที่ยกมาข้างต้น

เพราะเห็นผิดจึงหลงเบียดเบียน
การที่คนเรานั้นยังเบียดเบียนสัตว์อื่นมาเพื่อความสุขของตนอยู่นั้นคือความเห็นผิด การที่เรามีความเห็นผิดเช่นนั้นเพราะเรา เห็นประโยชน์ในการเบียดเบียนมากกว่าโทษ และการที่เห็นเช่นนั้นได้เพราะมีกิเลสเป็นตัวสร้างความลวงให้เห็นผิดเป็นถูก จึงเกิดสภาพหลงติดหลงยึดในขั้นอบาย กาม โลกธรรม อัตตา โดยลำดับ
การติดเนื้อสัตว์ในระดับอบาย คือความหยาบและหนักหนา มีความต้องการกินเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก เช่นบุฟเฟ่ต์ ทั้งหลาย มีงานเลี้ยงก็ระดมเนื้อสัตว์มากินกันอย่างไม่อั้น อย่างนี้คือความเห็นผิดที่จมลึกมาก
ในขั้นกาม คือติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสของเนื้อสัตว์ คนที่หลงติดในขั้นนี้จะต้องการเนื้อสัตว์ไม่มากเท่าระดับอบาย แต่จะต้องการความพิถีพิถัน ความอร่อย เรียกว่าถ้ามีของอร่อยอยู่ต่างประเทศก็สามารถเดินทางไปกินได้ แสวงหาแต่เนื้อสัตว์ที่ว่าอร่อย ถ้าไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์
ในขั้นโลกธรรม คือความหลงในโลก ตนเองก็ไม่ได้ติดเนื้อสัตว์มากนัก แต่ก็กลัวจะเข้าสังคมไม่ได้ กลัวคนอื่นนินทา กลัวว่าจะเป็นคนดีเกินหน้าเกินตาใคร สารพัดความกลัวที่ไม่กล้าหลุดจากความชั่วในสังคม เขาพาทำชั่วอะไรก็ทำไปกับเขาอย่างนั้น เพราะกลัวไม่เป็นที่ยอมรับ
ในขั้นอัตตา คือความเห็นว่าเนื้อสัตว์นั้นเป็นคุณประโยชน์ที่ชีวิตสมควรได้รับ มีสารอาหารที่มีคุณค่า ฯลฯ มีความเห็นความเข้าใจว่าเนื้อสัตว์ดี เนื้อสัตว์เป็นตัวตนของเรา ถ้าเป็นระดับหยาบๆก็จะเป็น ฉันเป็นสัตว์กินเนื้อ, ฉันเกิดมาเพื่อกินเนื้อ ฯลฯ พ่อแม่บางคนไม่กินเนื้อสัตว์ได้อย่างปกติแล้ว แต่กลับมีความเห็นว่าลูกต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อความเจริญเติบโต นี่คือความเห็นที่ยังหลงว่าเนื้อสัตว์เป็นอัตตาอยู่ ยังไม่มีปัญญาเห็นความจริง แค่กดข่มความอยากไว้เฉพาะในตนเท่านั้น แต่ไม่รู้ไม่เห็นโทษตามความเป็นจริง
เมื่อมีกิเลสบังตา จึงมีข้ออ้างขึ้นมาเพื่อที่จะให้ได้เสพตามที่กิเลสสั่ง ถ้าข้ออ้างทั่วไปก็เช่น คนเราต้องกินให้ครบห้าหมู่ ,คนกินได้ทั้งพืชและสัตว์, เดี๋ยวขาดวิตามินขาดสารอาหาร, หากินยาก ฯลฯ หรือถ้าเป็นคนดีมีศีลธรรมขึ้นมาแต่มีความเห็นผิดก็มักจะมีความเห็นเช่นว่า กินเขาไปแล้วเราไปทำดีเขาได้บุญ, กินเขาแล้วไปไถ่ชีวิตเพื่อนเขา, กินเขาแล้วทำบุญส่งไปให้เขา ก็เป็นลักษณะของความเห็นผิดที่เกาไม่ถูกที่คัน ผิดแล้วไม่แก้ไข ซ้ำยังไปแก้ไขที่ปลายเหตุ ไม่แก้ต้นเหตุ
หรือที่หนักไปกว่านั้นคือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเลย เช่น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม, มันเป็นแค่ธาตุ ๔ , กินเพื่อบำรุงขันธ์ ฯลฯ จริงๆถ้าเป็นสมัย 30-40 ปีที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เข้ามาก็พอจะรับฟังได้ แต่การกล่าวอ้างเช่นนี้ในยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นคนล้าสมัย เหมือนกับรถที่เติมได้แต่น้ำมันเบนซิน 95 ทั้งๆที่ในปัจจุบันเขาเติม e85 กันได้มากมายแล้ว นั่นคือในยุคก่อนๆนั้นเราไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ทางโภชนาการของอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ได้ง่ายนัก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องกินอะไรทดแทนเนื้อสัตว์ไม่ให้ร่างกายขาด แต่สมัยนี้ค้นไปยังไงก็มีข้อมูล แถมพืชผักหลายชนิดยังให้คุณค่ามากกว่าเนื้อสัตว์ด้วย ดังนั้นคนที่ยังเบียดเบียนอยู่โดยที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้คือคนที่ตั้งใจล้าสมัยเพื่อให้ตัวเองได้เสพรสเนื้อสัตว์สมใจ ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญาขวนขวายในความไม่เบียดเบียน ไม่มีคุณสมบัติของผู้เจริญ

ต้องแก้ความเห็นผิดด้วยความจริง
การที่คนเรานั้นยังเห็นผิดอยู่ก็เพราะยังไม่รู้แจ้งความจริงตามความเป็นจริง การแสดงความเป็นจริง ก็เช่น การเสนอให้เห็นว่า การกินเนื้อสัตว์ไปเบียดเบียนสัตว์อย่างไร เบียดเบียนตนเองอย่างไร หรือเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมอย่างไร เอาผลกระทบ เอาความจริงมานำเสนอให้เห็นจริงกัน
เพราะถ้ายังมีความลวงอยู่ก็จะไม่มีความจริง ธรรมชาติของกิเลสนั้นจะลวงคนให้เบียดเบียนกันเป็นธรรมดา เราจึงต้องใช้ธรรมะ ใช้ความจริงที่ชี้ให้เห็นว่าการเบียดเบียนเป็นโทษเข้าไปแก้ความเห็นผิดนั้น
เมื่อคนเราไม่เห็นความจริงว่าการกินเนื้อสัตว์เบียดเบียนอย่างไร ก็จะไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป( หิริโอตตัปปะ ) การที่คนไม่มีความละอายเหล่านั้นเพราะไม่มีศีล ในปัจจุบันคนมีศีลเพียงแค่หยาบๆ เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ก็จะไม่ฆ่าอยู่เช่นนั้น แต่ถ้าให้คนอื่นฆ่ามากินก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นการหยุดนิ่ง ไม่พัฒนา ในขณะที่ค่ารวมๆกิเลสในโลกนั้นสูงขึ้น เหมือนน้ำทะเลที่กำลังจะละลายท่วมพื้นโลก เหล่าคนผู้ประมาทตั้งบ้านอยู่ชายฝั่งและเห็นว่าแค่นี้ก็เพียงพอ เหมือนคนที่เห็นว่าแค่ไม่ฆ่าก็เพียงพอ
การไม่มีอธิศีลคือความเสื่อมของชาวพุทธ อธิศีลคือการพัฒนาการไม่เบียดเบียนโดยลำดับ อย่างที่ยกมาในพระไตรปิฎกก่อนหน้านี้ นอกจากเราจะไม่ฆ่าแล้วเรายังต้องชักขวนให้คนอื่นไม่ฆ่า ซ้ำยังต้องกล่าวชมประโยชน์ในการไม่ฆ่าและไม่เบียดเบียนอีกด้วย เมื่อคนไม่มีการพัฒนาศีล ก็จะจมลงในความเสื่อมไปเรื่อยๆ ทำให้แก้ไขความเห็นผิดได้ยาก จึงต้องเบียดเบียนและเวียนวนไปตามวิถีโลกต่อไป

คนเห็นผิดมากกว่าคนเห็นถูก
เป็นเรื่องธรรมดาที่ในโลกนี้จะมีคนเห็นผิดมากกว่าคนเห็นถูก จึงมีคำเปรียบดังจำนวนขนโคที่มากกว่าจำนวนเขาโค ดังนั้นการที่เราจะหวังว่าให้ทุกคนไม่เบียดเบียนนั้น จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าที่เป็นบุรุษที่เก่งที่สุดในจักรวาลก็ยังไม่สามารถทำให้ทุกคนในโลกเป็นคนดีได้ทั้งหมด ดังนั้นผู้ที่ชักชวนให้คนอื่นลดการเบียดเบียนจึงต้องทำใจยอมรับความธรรมดาเหล่านี้ด้วย

ความยึดมั่นถือมั่น เบียดเบียนผู้อื่นอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งนั้นจะไม่ทุกข์ เป็นไม่มี” ไม่ว่าเราจะยึดในสิ่งใดทั้งร้ายและดี สิ่งเหล่านั้นต่างก็สร้างทุกข์ทั้งสิ้น
การยึดชั่วเป็นสิ่งที่เห็นโทษภัยได้ง่าย จึงละได้ง่าย แต่การยึดดีนั้นเห็นโทษได้ยาก เข้าใจได้ยาก จึงละได้ยากเพราะความดีนั้นเป็นสิ่งที่คนแสวงหา เป็นเป้าหมายของมนุษย์ทุกคนผู้หวังความผาสุก แต่เมื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ดีหรือมีความดีนั้นในตนแล้ว ถ้ายังยึดดี ทำดีแล้ววางดีไม่เป็น ต้องการให้เกิดดีตลอด ก็ยังเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ได้
หลายคนมักจะเมตตาสัตว์ แต่กลับไม่เมตตาคนด้วยกัน อาจเพราะเรามีความรักในสัตว์นั้นมาก โลภอยากให้คนอื่นมาเอาดีอย่างเรา และโกรธเมื่อเขาไม่สามารถทำดีได้อย่างใจเรา สุดท้ายก็เพราะเราหลงยึดดี ทำให้เกิดการถกเถียงจนกระทั่งทะเลาะเบาะแว้ง แข่งดีเอาชนะกันระหว่างคนที่กินเนื้อสัตว์กับคนไม่กินเนื้อสัตว์
การพยายามเอาชนะกันด้วยความดีก็ยังเป็นสิ่งชั่วอยู่ดี ถ้าให้ดีคือไม่ต้องแข่งดีเอาชนะกันเลยจะดีกว่า ใครทำดีได้ก็ทำไป ใครทำไม่ได้ก็ศึกษาโทษของความชั่วนั้นไป การที่เรายังแข่งดีเอาชนะคนอื่นด้วยความยึดดีของเรานั้น คือการเบียดเบียนกันด้วยทิฏฐิ ยังเป็นผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ และยังเบียดเบียนตนด้วยความเห็นผิดอยู่นั่นเอง

ทำอย่างไรจึงจะทำให้เขาเลิกกินเนื้อสัตว์
การชักชวนให้เขาเห็นโทษในการเบียดเบียน ชี้นำให้เขาเลิกกินเนื้อสัตว์นั้นหากเป็นผู้ที่ศรัทธากัน เห็นตรงกัน ยอมฟังกันบ้างก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนัก
แต่คนส่วนมากมักจะไม่ต้องการเลิกกินเนื้อสัตว์ เขามักจะพยายามหลบเลี่ยงการได้รับข้อมูลว่าดังเช่นว่าเนื้อสัตว์เป็นโทษ เนื้อสัตว์ได้มาจากการเบียดเบียน หรือเรียกว่า “ไม่อยากฟัง” แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนที่ไม่อยากฟัง เราไม่ได้จะไปยัดเยียดเขานะ แต่เราอยากช่วยเขาให้พ้นภัยจากการเบียดเบียนและหันมาประพฤติตนสู่ความผาสุก
พระพุทธเจ้าตรัสเหตุแห่งความเห็นที่ถูกต้องไว้สองประการ 1.คือการยอมฟังความเห็นที่แตกต่างบ้าง 2.คือการทำใจในใจโดยแยบคายพิจารณาลงไปถึงที่เกิด การที่เขาไม่ยอมฟัง ก็เรียกได้ว่าปิดประตูสู่ความเห็นที่ถูกแล้ว ทีนี้เราจะทำอย่างไร ให้เขาได้เห็นคุณค่าของการไม่เบียดเบียนแม้จะไม่ยอมรับฟังก็ตาม
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บัณฑิตพึงตั้งตนอยู่ในคุณอันสมควรก่อน ค่อยสอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง” นั่นหมายถึงก่อนที่เราจะไปสอนใครให้เห็นประโยชน์ของการไม่เบียดเบียน เราก็ควรจะทำตนเองให้เป็นผู้ไม่เบียดเบียนเสียก่อน ถ้ายังตบยุง ทำร้ายสัตว์อยู่ก็ยังพร่องอยู่ ไปสอนใครเขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขายังเห็นว่าเรายังเบียดเบียนอยู่ แม้ในที่สุดจะเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความยึดดีก็จะต้องไม่ทำ
เราทำความไม่เบียดเบียนนี้ให้บริสุทธิ์สมบูรณ์เถอะ แล้วธรรมะจะชนะอธรรมเอง หากเราเป็นผู้ไม่เบียดเบียนที่บริสุทธิ์แท้ เขาจะเกิดปัญญารับรู้ถึงความสงบเย็นของเราได้เอง แล้วเขาก็จะหันมาศรัทธาเรา ยอมรับฟังเรา และยอมทำใจในใจให้เห็นตามเราในที่สุด
ทีนี้จะต้องทำความไม่เบียดเบียนไปนานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล ไม่อยากให้เขาต้องกินเนื้อสัตว์และเบียดเบียนสัตว์อยู่อย่างนี้ เพราะต้องก่อกรรมที่เบียดเบียนสะสมไปทุกวัน ความเห็นนี้เกิดจากใจของเราที่เร่งผล อยากให้เกิดสิ่งดีไวๆอย่างใจเรา ให้โอกาสเขาได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ไม่ยัดเยียด อดทน รอคอย ให้อภัย ทำตนเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น หน้าที่ทำความเข้าใจเป็นเรื่องของเขา เขาจะเอาหรือไม่เอาก็ได้ เราก็ไม่ต้องไปทุกข์เพราะเขาไม่เอาดี และควรเป็นสุขทุกครั้งเมื่อได้ทำดี คือทำดีอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องเกิดดี ทำดีแล้ววางดีไปเลย ไม่ต้องรอรับผลใดๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิบากกรรมของเขา

ปัญหาการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ต้องแก้ที่ต้นเหตุ
พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ว่า การดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ ถ้าไม่ดับที่เหตุ ผลมันก็ไม่ดับ ความทุกข์นั้นเกิดจากการที่เราอยากกินเนื้อสัตว์ นั่นหมายถึงเหตุแห่งทุกข์คือ ความอยากเสพอะไรสักอย่างในเนื้อสัตว์ ดังนั้นการดับทุกข์ต้องดับ ความอยากเสพสิ่งนั้น ด้วยการทำความเห็นผิดที่ว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่น่าใคร่น่าเสพให้เป็นความเห็นถูกที่ว่าเนื้อสัตว์มันก็เป็นของมันเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องไปหลงติดหลงยึดมัน ไม่มีมันก็ได้
หรือสรุปรวมได้ว่า ควรจะมาศึกษาในอริยสัจ ๔ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งเป็นเหตุเกิดของการเบียดเบียนทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้

สรุป…
คนที่เลี้ยงกิเลสไว้ย่อมเป็นผู้ที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นธรรมชาติของผู้เบียดเบียนที่จะหมุนเวียนไปสู่ความเสื่อม เหมือนกับการวนลงไปฐานเจดีย์ที่ยิ่งกว้างและไกลจากยอด ส่วนธรรมชาติของผู้ไม่เบียดเบียนย่อมศึกษาและปฏิบัติตนเพื่อการลดล้างกิเลส คือการเวียนไปสู่ความเจริญ เหมือนกับการวนขึ้นไปยังยอดเจดีย์ที่ยิ่งสูงก็ยิ่งน้อย นั่นคือเมื่อเราเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นน้อย ทุกข์ก็จะน้อยลงไปด้วย และเวียนไปจนถึงจุดสูงสุดที่จะเหลือแต่ธรรมะ ไม่มีชาติ ไม่มีการเกิดและดับของกิเลสอีกต่อไป

บทขยายธรรม ( ผ่าน พบ จบ จาก )

บทขยายธรรม ( ผ่าน พบ จบ จาก )
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าในชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นผ่านผู้คนมากมาย พบกันคบหากันจนกระทั่งความสัมพันธ์นั้นจบลง แต่เรามักจะไม่ยอมให้มันจากไป ยังกอดเก็บมันไว้ตลอดมา
ในบทความนี้จะขยายธรรมเพิ่มเติมไว้สองเรื่องคือ
- ปฏิจจสมุปบาทแบบย่อและประยุกต์มาอธิบายผ่านเรื่องความรัก
- การเริ่มต้นหาทางแก้ไขสภาพความยึดมั่นถือมั่นในแบบของพุทธ
= = = = = = = = = = = = = =
1). เหตุของการเกิดไปจนกระทั่งดับ
เนื้อหาหลักของบทความผ่าน พบ จบ จาก นั้นได้สื่อถึง “สภาพที่กิเลสเข้ามาแต่ไม่สามารถสะบัดให้หลุดได้” สภาพเช่นนี้สามารถยกตัวอย่างมาอธิบายได้มากมาย แต่เพื่อความต่อเนื่องจะขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันด้วยเรื่องของความรัก
จิตเดิมแท้ของเรานั้นแม้ว่าจะผ่องใส แต่ก็ไม่มีปัญญา เวลาได้เสพสุขอะไรบางอย่าง เมื่อเกิดสุข ทุกข์ จึงติดใจหรือผลักไสสิ่งนั้น ซึ่งสุดท้ายจะรวมลงไปที่อุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) กลายเป็นภพ (ที่อาศัย) และชาติ (การเกิดของกิเลสและการเกิดขึ้นในโลกแบบทั่วๆไป)
เช่นเมื่อเราได้รับความสุขจากสิ่งที่เราเหมาเรียกว่าความรัก ไม่ว่าคำหวานพูดเอาใจ ไม่ว่าการสัมผัสลูบไล้ ไม่ว่าอารมณ์ที่สาสมใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะติดสุข เกิดเป็นอุปาทาน กลายเป็นภพคือเราติดสภาพว่าต้องเสพเช่นนั้นเสมอ จึงกลายเป็นชาติ คือการเกิดความรู้สึกว่าจะต้องไขว่คว้าหาสภาพนั้นๆมาเสพ
ถ้าได้เสพสมใจก็เพิ่มความอยาก(ตัณหา)และความยึดมั่นถือมั่นเข้าไปอีก สะสมลงไปจนกลายเป็นภพและชาติที่จัดจ้านขึ้นไปอีก คืออยากได้เสพสิ่งที่ทำให้สุขมากกว่านี้อีก ก็เพิ่มกิเลสกันไปเช่นนี้
จนกระทั่งวันหนึ่งวิบากกรรมดลให้เกิดสภาพของการ “จบ” จะออกอาการเริ่มจากชรา คือความแก่ ในเรื่องความรักไม่ได้หมายถึงคนแก่ แต่หมายถึงสภาพของรักนั้นได้แก่และเสื่อมลง คือมันเสพก็ไม่สุขเหมือนก่อน ในระยะของความชรานี้เอง คือสภาพที่คนรักเริ่มเอือมระอา ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน งอนแต่ไม่ง้อ เป็นต้น
พอชราแล้วก็จะจบความรักนั้นที่สภาพของมรณะ คือตาย หรือ “จบ” ส่วนจะตายจากกันจริงๆ หรือความรักตายจนเลิกรากันนั้นก็คือจบเช่นกัน มรณะเช่นกัน คือสภาพที่เคยได้เสพนั้นได้ตายจากเราไปแล้ว
ทีนี้มัน “จบ” แต่มันไม่ “จาก” ก็ตรงที่กิเลสมันยังมีอยู่ ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ มันยังมีครบอยู่ แต่ไม่ได้เสพสิ่งที่เคยได้เสพ ก็จะเกิดอาการ โศกเศร้า คร่ำครวญรำพัน เสียใจ คับแค้นใจ ความทุกข์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ด้วยเหตุเช่นนี้
ดังที่ได้กล่าวขยายธรรมะที่สอดแทรกอยู่ในบทความ ผ่าน พบ จบ จาก ด้วยการสรุปบางส่วนจากปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายได้ดังนี้
2).การหาหนทางแก้ไขสภาพ ผ่าน พบ จบ แต่ไม่ยอมจาก
จะเห็นแล้วว่าทุกข์นั้นเกิดจากสภาพหลงสุขจนยึดมั่นถือมั่น เราไม่ต้องใช้ปัญญาใดๆในการหลงสุข แต่การจะออกจากความหลงสุขเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้ปัญญา ในระดับของวิชชาหรือวิมุตติซึ่งเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธเข้ามาทำลายความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสีย
คนที่ทุกข์จากความรักจะพยายามสะบัด หลีกหนี กลบเกลื่อน ปัดทิ้ง กดข่ม โดยทั่วไปแล้วก็มักจะใช้วิธีสมถะ คือกดไม่ให้มันฟุ้งซ่าน ไม่ให้มันออกอาการ พยายามไม่ให้ทุกข์ด้วยหลากหลายวิธี แต่นั่นก็ยังเป็นวิธีทั่วไป ใช้กดภพ กดชาติได้ แต่ไม่สามารถทำให้ดับอย่างสิ้นเกลี้ยงได้
การแก้ไขสภาพจึงต้องใช้กระบวนการตามหลักใหญ่คืออริยสัจ ๔ คืออันดับแรกต้องเห็นทุกข์ สองคือต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่เห็นเหตุก็แก้ทุกข์ไม่ได้ สามคือจะกระทำความดับเช่นไร สี่คือกระบวนการสู่ความดับทุกข์นั้นกระทำอย่างไร ผู้ที่พยายามจะหาทางออกจากทุกข์อย่างถาวรจึงจำเป็นต้องศึกษาและเรียนรู้ธรรมให้กระจ่างแจ้ง
แล้วจะเรียนรู้อย่างไร เรียนอย่างไหน แบบไหนถึงจะถูก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอวิชชาสูตรว่า การเรียนสัจจะของพุทธนั้นต้องเริ่มจากพบสัตบุรุษ (คนผู้มีธรรมแท้) จึงจะได้ฟังสัจธรรม (ธรรมที่พาพ้นทุกข์) เมื่อฟังด้วยจิตที่ไม่ลำเอียงไม่ผลักไส จึงจะเกิดศรัทธา เป็นศรัทธาที่เห็นพ้องด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่เชื่อตามๆกันมา เมื่อเกิดศรัทธาจึงทำใจในใจโดยแยบคาย พิจารณาลงไปถึงที่เกิด ด้วยความมีสติสัมปชัญญะคือความรู้ตัวทั่วพร้อม จนสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เจริญถึงความสุจริตทั้งกาย วาจา ใจ จึงจะเจริญต่อไปได้ถึงสติปัฏฐาน นำไปสู่โพชฌงค์ จนกระทั่งถึงวิชชาและวิมุตติก็ถือเป็นการจบภารกิจในกิเลสเรื่องนั้นๆ
ดังจะเห็นได้ว่า การปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้อย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่สภาพที่จะคิดเอาได้ ไม่ใช่จะนึกเอาเองได้ ไม่ใช่จะกดข่มเอาได้ ไม่ใช่ว่าไปฟังเสียงนกร้องไก่ขันแล้วจะบรรลุธรรมหลุดพ้นได้ แต่ต้องเริ่มจากเรียนรู้สัมมาทิฏฐิ การเรียนสัมมาทิฏฐิก็ต้องเรียนจากคนที่มีสัมมาทิฏฐิ
จากอวิชชาสูตรนั้นจะเห็นได้ว่ากว่าจะบรรลุธรรมตามกระบวนการของพุทธนั้นยากแสนยาก ไม่ใช่ว่าจะไปกดข่มเข้าภพแล้วบรรลุธรรมกันง่ายๆแบบฤๅษี กว่าจะพบสัตบุรุษต้องใช้เวลาเท่าไหร่ และถ้าเจอแล้วเราจะมีโอกาสได้ฟังหรือเรียนรู้สัจธรรมไหม ได้ฟังแล้วจะเชื่อไหม จะเห็นตามได้ไหม เข้าใจได้ไหม จะศรัทธาไหม ศรัทธาแล้วจะโยนิโสมนสิการได้ไหม(ทำใจในใจโดยแยบคายพิจารณาลงไปถึงที่เกิด) จะยอมพิจารณาตามไหม จะยอมค้นลงไปไหม หรือจะฟังผ่านๆแล้วไม่เอาไปย่อยต่อ ไม่ทบทวนต่อเลย โยนิโสมนสิการได้แล้วจะสามารถมีสติสัมปชัญญะให้ถึงพร้อมได้ไหม ทำให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเป็นปกติ(เมื่อเจอผัสสะ)ได้ไหม ทำให้เกิดกาย วาจา ใจ สุจริตได้ไหม เจริญไปถึงสติปัฏฐาน ๔ เป็นไหม เข้าใจโพชฌงค์ไหม จะถึงวิชชาและวิมุตติไหม
การจะยอมจากได้จริงๆ มันไม่ได้ง่ายแค่ว่าเอาบทโพชฌงค์มาสวด เอาสติปัฏฐานมาแยกทำ หรือเอาธรรมะมาท่องจำนะ ถ้าทำได้อย่างนั้นจริงคนก็พ้นทุกข์กันหมดแล้ว แต่เพราะความจริงแล้วมันมีกระบวนการและขั้นตอนที่ละเอียดซับซ้อน และเป็นไปตามลำดับ
แล้วยังไงล่ะทีนี้ ทั้งยากทั้งซับซ้อนขนาดนี้ก็เลยศึกษาเอง สุดท้ายมันก็จะไปไม่รอดนั่นแหละ เพราะผิดจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เว้นเสียแต่ว่าท่านมีปัญญานั้นอยู่แล้ว มีของจริงอยู่แล้ว มันก็สามารถจะรู้ได้เองโดยที่ไม่ต้องมีใครสอน แต่ถ้ายังไม่เคยเรียน ยังไม่เคยรู้ ยังไม่เคยฟังใครสอน ยังไม่เคยพบสัตบุรุษ แล้วมันจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรถ้าไม่เคยมีเหตุ(การเรียนรู้ที่ถูก) แล้วผล(การพ้นทุกข์ที่ถูก)มันจะเกิดได้อย่างไร
ในสัมมาทิฏฐิข้อหนึ่งว่าด้วยการเห็นสมณะ (ผู้สงบจากกิเลส) การเห็นสัตบุรุษหรือสมณะนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะต้องเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เขาว่าคนนั้นอรหันต์คนนี้พระอริยะก็เชื่อตามเขาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้อะไรเลย คนที่สัมมาทิฏฐิแม้จะยังมีกิเลสหมักหมมในสันดานแต่ก็จะมีญาณปัญญารู้ได้ เน้นคำว่าว่าญาณ “ปัญญา” มันไม่ใช่มั่วๆนะ มันมีเหตุมีผล มันต้องมีมรรคผล มันไม่ลึกลับ มันอธิบายได้ มันจึงเชื่อ ไม่ใช่แค่ว่าเขาปฏิบัติตามที่เราเชื่อว่าแบบนี้ใช่แล้วมันจะใช่นะ ระวังหลงอุปาทานกันไป บางทีมันพาไปลงนรกทั้งศิษย์และอาจารย์เลย ศิษย์ก็โง่ อาจารย์ก็เมาลาภ ยศ สรรเสริญ (โง่กว่า) ก็เลยเมาแต่งตั้งพระอริยกันในกลุ่มเต็มไปหมด แบบนี้ก็เป็นได้เช่นกัน
สรุปแล้วท่านที่พยายามทำแต่ไม่มั่นใจว่าทำถูกทางก็ให้หยุดเสีย เดินไปในทางตัน ถึงจะเดินไปจนสุดทางก็ต้องเดินวนกลับมาอยู่ดี วิธีแก้ทุกข์ที่เข้าใจนั้น ถ้ามันแก้ไม่ได้ เป้าหมายมันไม่มี มรรคผลมันไม่ชัดเจน มันไม่เห็น มันลังเลสงสัย ก็แนะนำให้เรียนรู้กันเพิ่มเติม เรียนรู้ให้มากอย่าเพิ่งไปยึดมั่นถือมั่นทางใดทางหนึ่ง เพราะถ้าไปยึดทางผิดมันก็เสียเวลาหลงทางเท่านั้นเอง เดินให้มันถูกทางถึงจะช้าแต่มันก็ถึง ดีกว่ารีบเดินเข้าป่า เข้ารกเข้าพง ยิ่งเดินยิ่งหลง
แล้วเราจะมีสัมมาทิฏฐิขึ้นมาได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิไว้สองข้อ นั่นคือปรโตโฆสะและโยนิโสมนสิการ คือการเปิดใจและตั้งใจรับฟังสิ่งที่ต่างกับที่ตนเองเชื่อและยึดมั่นถือมั่น และการทำใจในใจโดยแยบคายลงไปถึงที่เกิด การทำใจในใจโดยแยบคายนี้ถ้าเป็นการฟังธรรมก็คือเอาธรรมนั้นมาย่อย มาพิจารณาว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น สรุปให้เข้าใจง่ายก็เหมือนการทำความเข้าใจโดยไม่มีอคติ (แต่จริงๆล้ำลึกกว่านั้นมาก แต่อธิบายค่อนข้างยาก ขออภัยไว้ ณ ที่นี้)
จะสมมุติเหตุการณ์ดังเช่นว่า ตอนแรกเราไม่สัมมาทิฏฐิหรอก แต่บังเอิญว่าเจอพระอริยะ เราก็ไม่รู้จริงๆหรอกนะว่าใช่ไม่ใช่ ทีนี้ด้วยความที่เห็นรูปท่านสวยดูมีศีลมีธรรมก็เลยอยากลองของ หรือได้ยินว่าคนนี้มีดีนักหนา หรือได้ยินคนนี้อ้างว่าตนเองเป็นพระอริยะบ้าง พระอรหันต์บ้าง เลยชวนสนทนาธรรม แต่ด้วยจิตที่มีอติมานะเช่นนั้นเอง (ชอบข่มหรือดูหมิ่นผู้อื่น) พอเขาพูดอะไรมาเราก็ตั้งแง่ เพ่งโทษฟังธรรม จ้องจับผิด ฟังนะแต่ไม่ฟัง พยายามจะคิดหาข้อแย้ง เพราะไม่ตรงกับที่ตนเองเรียนรู้มา (คือที่รู้มามันมิจฉาทิฏฐิอยู่แล้ว เพราะถ้าสัมมาจริงมันจะรู้ทั้งมิจฉาและสัมมา มันจะไม่สงสัย)
พอตนเองมิจฉาแล้วยึดมั่นมิจฉาอยู่อย่างนั้นก็ทำได้แค่เถียงเอาชนะ เพราะที่เขาพูดนั้นไม่ตรงกับที่ตนเลย(มันไม่มีทางตรงอยู่แล้ว) และไม่มีใครที่จะยอมรับว่าตนมิจฉาง่ายๆเป็นแน่ จึงพลาดการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย สุดท้ายแม้ว่าจะเถียงชนะหรือจะจำนนด้วยหลักฐานแต่ไม่เชื่อ ยังยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเชื่ออยู่ ก็จะได้รับมิจฉาทิฏฐิเพิ่มขึ้นพร้อมกับได้รับวิบากกรรมจากการเพ่งโทษพระอริยะไปเป็นสมบัติอีก ซวยไปสองต่อ
อันนี้แค่ขั้นปรโตโฆสะนะ โยนิโสมนสิการจะลึกลงไปอีก แต่จะยกไว้เพียงเท่านี้ก่อน ส่วนคนที่ยังมิจฉาทิฏฐิแต่เขามีปรโตโฆสะ คือตั้งใจฟังคนอื่น และมีโยนิโสมนสิการ คือเอาที่ได้ฟังนั่นไปพิจารณาในใจโดยแยบคาย เขาก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิ และนี้เองคือจุดเริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่มันมีเหตุมีผลตามธรรมของมัน ไม่ใช่สิ่งบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องเร้นลับอะไร
สรุปคือ คนที่ฟังคนอื่นและนำไปพิจารณาต่อก็จะเจริญไปถึงสัมมาทิฏฐิในสักวันหนึ่ง เพราะถ้าหยุดชั่ว ทำดีไปเรื่อยๆ มันก็จะวนเวียนไปเจอแต่คนดี ซึ่งก็คงมีบ้างหากจะมีพระอริยะวนเวียนผ่านไปผ่านมาในชีวิตโดยที่เราไม่รู้ แต่เพียงแค่เราไม่มีอัตตาที่จัดนัก ไม่มีความยึดมั่นถือมันที่มากนัก เราก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้ในวันใดวันหนึ่ง
ต่างจากคนที่เก่งแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ยังมิจฉาทิฏฐิ คนพวกนี้จะไม่มีวันเปิดใจฟังหรือตั้งใจฟังสิ่งที่ต่างจากตัวเองคิดเลย เพราะหลงว่าตนรู้แล้ว เข้าใจแล้ว ของตนนี่แหละแท้ ตนนี่แหละแน่ มันก็เลยหลงมิจฉาทิฏฐิกันเช่นนี้ แล้วโลกนี้อะไรมันจะมากกว่ากัน คนถูกหรือคนผิด
ทีนี้คนที่สัมมาทิฏฐิก็ต้องยืนยันว่าตนถูก มิจฉาทิฏฐิเองก็ยืนยันว่าตนถูก แล้วยังไงล่ะ เราจะมีปัญญาแยกอย่างไร จะจบบทความนี้ด้วยกาลามสูตรว่าด้วยเรื่องการอย่าเชื่อสิ่งใดๆง่ายเพียงแค่ได้ยินได้ฟังมา หรือเพราะเขามีชื่อเสียง หรืออีกหลายๆเหตุผล พระพุทธเจ้าได้ตรัสกำชับในตอนสุดท้ายว่า พึงพิจารณาเอาเองว่าสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล ถ้าเป็นกุศลก็ให้เข้าถึงสิ่งนั้น ส่วนอกุศลให้ละเสีย
นั่นหมายถึง มันจะไม่รู้แต่แรกหรอก ก็ให้ลองปฏิบัติดู ถ้ามันถูกจริงชีวิตมันจะดีขึ้น มีแต่ความสุขความเจริญแม้ไม่ได้เสพอย่างเคย แต่ถ้าปฏิบัติแล้วชีวิตมันแย่ลงก็ให้ถอยออกมาแค่นั้นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
5.4.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)
สมถะ-วิปัสสนา เมื่อใช้ตามแนวทางอริยสัจ ๔

สมถะ-วิปัสสนา เมื่อใช้ตามแนวทางอริยสัจ ๔
สมถะและวิปัสสนานั้นเป็นสิ่งที่ปฏิบัติแตกต่างกัน ผลที่ได้ก็จะแตกต่างกัน เราจึงควรเรียนรู้ความต่างของสมถะและวิปัสสนาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สมถะ คือ การใช้อุบายให้เกิดความสงบใจ เข้ามาควบคุมใจ ซึ่งจะเป็นการกดข่ม ตัดรอบ ทำเป็นลืม เปลี่ยนเรื่อง คิดบวก ฯลฯ การกระทำให้จิตที่ฟุ้งซ่านนั้นดับไปโดยทันทีจะอยู่ในลักษณะของสมถะ
วิปัสสนา คือ การใช้อุบายให้เกิดปัญญา ให้มองเห็นความจริงตามความเป็นจริง โดยการคิดพิจารณาความจริง ให้จิตเกิดปัญญารู้แจ้งว่าความจริงที่ไม่ถูกปนเปื้อนด้วยกิเลสนั้นเป็นเช่นไรเจริญไปตามลำดับหยาบ กลาง ละเอียด ไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับในทันที
สมถะ-วิปัสสนา สำหรับผู้ที่เข้าใจทั้งสองกระบวนการ จะบริหารการใช้อุบายเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ใช้สมถะกดกิเลสไม่ให้ออกฤทธิ์ก่อนแล้วใช้ช่วงเวลานั้นๆพิจารณาความจริงตามความเป็นจริงไป ถ้าไม่มีพลังของสมถะเลย แล้ววิปัสสนาอย่างเดียวก็จะช้า จะแพ้กิเลสจนท้อหรือกระทั่งเลิกพิจารณา ส่วนถ้าสมถะอย่างเดียวก็จะกดข่ม ตัดรอบกันอย่างเดียวจนไม่มีปัญญาใดๆเกิดขึ้น ได้เพียงความสงบเท่านั้น
และในบทความนี้เราก็จะมาไขความต่างของสมถะและวิปัสสนา เมื่อปฏิบัติตามแนวทางของอริยสัจ ๔
๑). ทุกข์
เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นนั้นก็หมายถึงเรามีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งแล้วเราไม่ได้สิ่งนั้นมาเสพ ยกตัวอย่างเช่นมีคนมานินทาเราแล้วเราโกรธก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมา
๑.๑ ). สมถะกับทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์นั้นก็จะเห็นความโกรธที่เกิดขึ้นนั้นเป็นตัวทุกข์
๑.๒ ). วิปัสสนากับทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์นั้นก็จะเห็นว่าการโกรธนั้นเป็นตัวทุกข์
๑.๓ ). สรุปทุกข์ ในมุมมองของสมถะและวิปัสสนานั้นจะเห็นแตกต่างกันอยู่บ้าง คือสมถะจะเห็นความโกรธเป็นทุกข์ แต่วิปัสสนาจะเห็นว่าการที่เราต้องมาลำบากโกรธจนลำบากกายลำบากใจนี่แหละเป็นทุกข์ ความต่างคือสมถะมักจะมองความโกรธเป็นเรื่องนอกตัวไม่ใช่ตัวเรา แต่วิปัสสนาจะมองความโกรธเป็นเรื่องที่เกิดจากภายในซึ่งจะมีผลต่อไปถึงสมุทัย
การมองว่าทุกข์นั้นไม่ใช่ตัวเราของเราตั้งแต่ตอนแรกจะทำให้เราไม่คิดจะสืบหาสาเหตุแห่งทุกข์นั้นต่อไป เพราะไป “คิด” ว่าทุกข์ไม่ใช่เรา ความโกรธไม่ใช่เรา โดยที่กิเลสนั้นยังไม่ได้ถูกทำให้แสดงตัวและชำระให้สิ้น นั่นหมายความว่าการกดข่มจะทำให้ไม่สามารถเข้าถึงประโยชน์สูงสุดของการเกิดทุกข์ได้
๒).สมุทัย
การเห็นทุกข์นั้นเป็นประตูแรกของการเห็นธรรม แต่การเห็นเหตุแห่งทุกข์นั้นจำเป็นต้องใช้ความเพียรและปัญญาที่มากกว่า ขึ้นชื่อว่าเหตุก็ต้องศึกษาให้เห็นเหตุซึ่งจะยากเย็นแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ผูกปมกิเลสนั้นๆไว้
๒.๑ ).สมถะกับสมุทัย จะเห็นความโกรธนี่เองเป็นเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์เพราะโกรธ ทุกข์เพราะคิดปรุงแต่ง ทุกข์เพราะมีตัวตน ทุกข์เพราะไม่มีสติ ฯลฯ
๒.๒ ).วิปัสสนากับสมุทัย จะค้นลงไปในความโกรธว่าสิ่งใดเป็นเหตุแห่งความโกรธนั้น แน่นอนว่าการมีอัตตานั้นคือปลายทาง แต่การวิปัสสนานั้นจะมองหาความจริงที่แท้จริงไปตามลำดับ ขุดค้นเหตุไปเรื่อยๆ เช่น โกรธเพราะเราเกลียดเขาอยู่แล้ว นั่นเพราะเขาเคยทำไม่ดีกับเรา คนอื่นนินทาเราไม่โกรธแต่คนนี้เราโกรธ ที่เขาเคยทำไม่ดีกับเราเราก็ฝังใจ ที่เขาทำไม่ดีนั้นไม่ดีจริงหรือไม่ แล้วถ้าไม่ดีจริงทำไมเราต้องถือสา ที่เราถือสาเพราะเรามีอคติอะไรอยู่แล้วรึเปล่า?
ซึ่งการหาเหตุนี้เองจะขุดค้นลงไปตามลำดับ ซึ่งจะไม่เจอเหตุแห่งทุกข์ตั้งแต่แรก จึงจำเป็นต้องใช้ไตรสิกขาเข้ามาช่วยกระทุ้งกระแทกให้เห็นเหตุให้ชัดขึ้น
๒.๓ ).สรุปสมุทัย ที่สมุทัยนี้เองจะเริ่มเห็นความต่างของสมถะวิธีและวิปัสสนาวิธีอย่างชัดเจน ในมิติของความลึกในการแก้ปัญหา สมถะจะมองปัญหาแค่ผิวเผิน ส่วนวิปัสสนานั้นจะขุดลงไปที่เหตุที่แท้จริง นั่นก็เพราะว่าถ้าหาเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ การเห็นความจริงตามความเป็นจริงนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย
๓).นิโรธ
นิโรธคือการดับทุกข์ การดับทุกข์นั้นสามารถดับได้หลายวิธี มีทั้งดับชั่วคราวและดับถาวร มีกลยุทธ์และวิถีทางในการดับหลายแบบ แต่จะสรุปคร่าวๆออกมาจากผลของสมถะและวิปัสสนาด้วยกันสองแนวทาง
๓.๑ ).สมถะกับนิโรธ เมื่อเห็นทุกข์ของความโกรธและเห็นว่าความโกรธ ความคิด การมีตัวตน การไม่มีสตินั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ สมถะจึงดับทุกข์ด้วยการดับความคิด ดับการปรุงแต่ง การคิดว่าต้องไม่มีตัวตน หรือการใช้สติ ซึ่งการดับเช่นนั้นเป็นการดับแบบชั่วคราว ดับเฉพาะไฟที่ลุกขึ้นแต่ไม่ได้ดับเชื้อไฟ นี้เองคือความตื้นของสมถะที่ลงไปไม่ถึงเหตุ แต่ถึงกระนั้นการดับแบบชั่วคราวก็สามารถดับข้ามภพข้ามชาติได้ แต่ที่แน่นอนคือมันไม่ถาวร
๓.๒ ).วิปัสสนากับนิโรธ เมื่อเห็นความทุกข์ของความโกรธ และค้นเจอเหตุแห่งทุกข์แล้ว ยกตัวอย่างเช่นว่า จริงๆที่มีอคติจนเป็นเหตุแห่งความโกรธเมื่อได้รับการนินทาก็คือ คนคนนี้มีท่าทีหยิ่งในตอนแรกที่พบกันแล้วเราไม่ถูกใจ ดังนั้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือความอยากได้รับการยอมรับ การเอาใจใส่จากคนอื่นนั่นเอง ซึ่งการจะทำให้กิเลสดับไปนั้น วิปัสสนาจะมาดับกันที่ตรงนี้ จะพิจารณาธรรมกันตรงที่เหตุ ใช้ไตรลักษณ์ก็ใช้ที่เหตุ ใช้กรรมและผลของกรรมก็ใช้ที่เหตุ ใช้การพิจารณาประโยชน์และโทษก็กระทำที่เหตุ ซึ่งเมื่อดับเหตุที่แท้จริงได้ จึงจะเป็นการดับที่แท้จริง ตามที่ควรจะเป็นจริงๆ
๓.๓ ).สรุปนิโรธ จะเริ่มเห็นได้ชัดแล้วว่าเมื่อระบุเหตุของปัญหาที่ต่าง ก็จะมีวิธีการแก้ปัญหาที่ต่าง ตรงนี้เองที่เป็นขีดจำกัดที่ว่าทำไมทำสมถะอย่างเดียวจึงไม่บรรลุธรรมหรือกลายเป็นฤๅษี เพราะสมถะไม่ได้ดับทุกข์ที่เหตุ แต่มักจะไปดับที่ผล ถึงแม้จะมีการหาเหตุแต่ก็มักจะเป็นหารวมๆ ใช้วิธีการเป็นรูปแบบ ซ้ำๆ ย้ำๆ เรียกได้ว่ากิเลสแบบไหนก็ใช้วิธีการเดิม ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ทุกอย่างไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวเราของเรา มันก็ใช้ธรรมะเข้ามากดข่มเท่านั้นเอง เพราะแท้จริงแล้วการดับกิเลสในแต่ละอย่างนั้นมีความต่างในองค์ประกอบหลายๆอย่างอยู่ หลายคนก็หลายรูปแบบ เพราะแต่ละคนผูกปมสะสมกิเลสมาไม่เท่ากัน การแก้ไขปัญหาก็ต่างกัน ความยุ่งยากซับซ้อนก็ต่างกัน ดังนั้นเมื่อสมุทัยไม่ถึงเหตุ นิโรธก็ไม่ถึงผลตามแนวทางของพุทธ
๔). มรรค
มรรค คือวิถีทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์อย่างถูกตรง ประกอบด้วยความเข้าใจ การคิด พูด ทำ เลี้ยงชีพ ความเพียร การระลึกรู้ และความเป็นสมาธิที่ถูกตรง เกิดปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์จะต้องประกอบด้วยมรรคทั้ง ๘ องค์ที่สมบูรณ์ครบพร้อม ซึ่งการจะเกิดมรรคทั้ง ๘ ได้ จะต้องกระทำมรรคในข้อ ๑-๗ อย่างถูกตรงจนกระทั่งเกิดเป็นสภาพของสัมมาสมาธิ ซึ่งหมายถึง ความเข้าใจ คิด พูด ทำ เลี้ยงชีพ ขยัน มีสติอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
๔.๑ ).สมถะกับมรรค ในเมื่อสมถะมองความโกรธ เพราะความคิด การปรุงแต่ง การมีตัวตน การไม่มีสติเป็นปัญหา ดังนั้นจึงต้องดับปัญหาเหล่านี้ ซึ่งมรรคของสมถะจะกลายเป็นดำดิ่งสู่ความสงบ การกดข่ม การตัดรอบ การวางเฉย การใช้ธรรมะหรือเหตุผลต่างๆมากระทำต่อความฟุ้งซ่านนั้นๆ เช่นความโกรธไม่ใช่เรา ความโกรธไม่เที่ยง มาเป็นเครื่องมือสะกดจิต จนจิตสงบจากกิเลสนั้นๆ เป็นสภาพที่ความโกรธสงบลงเพราะใช้อุบายทางใจเข้ามาบริหารและความคุม ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นไปตามสัมมาอริยมรรค เป็นเพียงวิถีทางทั่วไปตามแบบฉบับของสมถะซึ่งเป็นพื้นฐานของมนุษย์ในโลกอยู่แล้ว การทำสมถะนี้ไม่ว่าศาสนาใดก็ใช้กัน ซึ่งพุทธเองก็ใช้เป็นเครื่องอุปการะเหมือนกันแต่ไม่ได้ใช้เป็นหลักในการปฏิบัติ
๔.๒ ).วิปัสสนากับมรรค เมื่อเห็นตัวกิเลสที่ทำให้เกิดทุกข์แล้ว จึงทำการคิดพิจารณากิเลสนั้นๆไปตามความจริงที่เป็นจริง ไม่ใช่ตามกิเลส โดยใช้ศีลมาเป็นเครื่องชี้วัด ซึ่งในตอนแรกมันจะไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่จะเห็นโน้มเอียงไปตามกิเลส แม้ว่าจะมีสัมมาทิฏฐิแล้วก็ตาม ซึ่งการจะทำให้คิดได้ตามจริงนั้นก็ต้องอาศัยการพูด ทำ เลี้ยงชีพ ไปตามหลักแห่งความพ้นทุกข์ และพิจารณากิเลสนั้นๆโดยใช้ความเพียรและมีสติเป็นที่ตั้งเพื่อชำแหละกิเลสที่โผล่มาจากการใช้ศีลจับ เพื่อกระทำทิฏฐิให้ถูกตรงโดยลำดับ ทั้งหมดนี้เพื่อผลแห่งความคิดที่ถูกต้องถูกต้องให้ถึงพร้อม
วิปัสสนานี้เองเป็นความคิดอย่างแน่แท้ แต่เป็นการคิดที่สวนทางกับกิเลส เป็นการคิดที่ถูกต้องถูกตรงสู่การพ้นทุกข์ (สัมมาสังกัปปะ)ซึ่งมีคนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าวิปัสสนาไม่ใช่การคิด การทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงนี่เองคือการคิด แต่มันอยู่ที่รายละเอียดว่าคิดอย่างไรจึงจะถูกทางพ้นทุกข์ ถ้าไม่คิดเลยก็กลายเป็นสมถะ
๔.๓ ).สรุปมรรค วิปัสสนานั้นไม่ได้ปฏิเสธการมีสติ หรือการคิด พูด ทำใดๆ เพราะจำเป็นต้องปฏิบัติมรรคทุกองค์อยู่แล้วเพื่อให้เกิดสัมมาสมาธิซึ่งเป็นผลจากการเห็นความจริงตามความเป็นจริง และยังไม่ได้ปฏิเสธการใช้สมถะเข้ามาร่วมในกระบวนการต่างๆเพื่อกดกิเลสไว้ เช่นมีความโกรธเราก็กดไว้ ก่อนที่เราจะตอบโต้ด้วยความโกรธ แต่จะไม่กดจะดับทั้งหมด เราจะยังต้องใช้เชื้อแห่งความโกรธที่เหลือมาเป็นเป็นต้นทางแห่งสมุทัย จนกระทั่งสามารถนำมาปฏิบัติตามมรรคได้
แต่มรรคของสมถะนั้นก็สามารถถึงสมาธิได้เหมือนกัน แต่ก็ยังเป็นมิจฉาสมาธิ เพราะเกิดมาจากมิจฉามรรค นั่นเพราะทิฏฐิผิดรูปผิดรอยตั้งแต่แรก โดยเฉพาะผู้ที่เข้าใจว่าการดับ การไม่คิด การมีสติตลอดเวลาคือการพ้นทุกข์ เหล่านี้คือผู้หลงผิดไปติดสมถะทั้งสิ้น เพราะแท้จริงแล้วการดับหมายถึงการดับกิเลส ไม่ใช่การดับผลของกิเลส การไม่คิดหมายถึงไม่คิดตามกิเลส ไม่ใช่ไม่คิดอะไรเลย และถ้าเป็นความคิดที่ย้อนแย้งกิเลสยิ่งต้องคิด และการมีสตินั้นจำเป็นต้องมีในการวิปัสสนาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ตัวบรรลุธรรม เพราะหลักของวิปัสสนานั้นคือทำให้เกิดปัญญารู้เห็นจริงตามความเป็นจริง สติเป็นเสมือนเครื่องหล่อเลี้ยงที่จำเป็นต้องมี แต่ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญา เพราะสิ่งที่ทำให้เกิดปัญญาก็คือสัมมาสังกัปปะที่เกิดจากสัมมาทิฏฐิเป็นตัวตั้ง มรรคทั้ง ๗ องค์ทำงานส่งเสริมกันจนกระทั่งเกิดสัมมาสมาธิเป็นองค์ที่แปด ซึ่งเป็นตัวจบของกิเลสนั้นๆหมายถึงเกิดสภาพของวิมุตติหรือการหลุดพ้นจากกิเลสอย่างถาวร
สัมมาสมาธิไม่ใช่การนั่งสมาธิ ไม่ใช่การกดข่มจิต หรือกระทำใดๆต่อจิตจนเกิดสภาพสมาธิ ลักษณะเหล่านี้เป็นวิธีของสมถะ ให้ผลเป็นสมาธิจริง แต่เป็นมิจฉาสมาธิ เป็นแบบทั่วไป ศาสนาใดก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธ เพราะทางพ้นทุกข์พุทธนั้นมีทางเดียวคือ สัมมาอริยมรรค นั่นหมายถึงจะต้องถูกต้องถูกตรงสู่การพ้นทุกข์อย่างถาวรด้วย ไม่ใช่การดับอย่างชั่วคราว แม้จะดับได้ข้ามภพข้ามชาติแต่ถ้าไม่ถาวรก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ติดภพ ติดสงบ ติดดีเข้าไปอีก กลายเป็นฤๅษีไปอีก เนิ่นช้าไปอีก ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความเนิ่นช้า ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราคถาคต”
ดังนั้นการใช้สมถะเข้ามาช่วยกดข่มกิเลสในกรณีที่มีความรุนแรงมากนั้นก็สามารถทำได้และเป็นกุศล แต่หากจะตั้งสมถะเป็นเป้าหมายในการบรรลุธรรมก็ขอสรุปเลยว่าจะต้องวนเวียนติดสุขอยู่ในโลกอีกนานแสนนาน เพราะโดยหลักแล้วสมถะไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดเลย เพียงแต่ทำปัญหาที่เกิดให้ดับและจบไปเท่านั้น จึงต้องวนเวียนเกิดดับๆอยู่เรื่อยไปเพราะเหตุยังไม่ดับนั่นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
6.3.2558

















