Tag: สนามหลวง
ก่อนจะผ่านพ้นปี ๒๕๖๐
ก่อนจะผ่านพ้นปี ๒๕๖๐
เมื่อทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ก็พบว่าการบำเพ็ญกุศลที่โรงทานกองทัพธรรม ในช่วงครึ่งปีหลังของการให้เข้ากราบพระบรมศพนี่แหละ คือที่สุดของปี ๒๕๖๐ สำหรับผม
ก่อนหน้านั้นผมก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปทำประจำ เพราะติดงานอื่นอยู่ ซึ่งก็แวะไปบ้างตามที่มีเวลาว่าง แต่พออาจารย์หมอเขียวแนะนำว่า ถ้าผมเข้าไปร่วมกับหมู่กลุ่มที่เขาปฏิบัติธรรม ผมจะเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับหมู่จิตอาสาแพทย์วิถีธรรมที่บำเพ็ญกันที่โรงทานกองทัพธรรม ช่วงภาคบ่าย
พอได้เข้าไปคบคุ้นทำความรู้จัก ได้ทำงานร่วมกัน ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากขึ้นจริง ๆ นี่เป็นกลุ่มนักปฏิบัติธรรมกลุ่มแรกที่ผมเข้าไปคลุกด้วยเวลายาวนานเกือบครึ่งปี ไปเกือบทุกวัน เดือนหนึ่งจะหยุดซัก ๑-๓ วัน ซึ่งสภาพของการคบหากันอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ใกล้ชิดกันแบบนี้หาโอกาสไม่ได้ง่าย ๆ
และนั่นทำให้รอบของการเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พัฒนากันวันต่อวัน สิ่งที่เข้ามากระทบในแต่ละวันทั้งกาม เช่น ของกินหน้าตาดี ดูน่าอร่อย ฯลฯ และอัตตา เช่น ความเอาแต่ใจของคน ความเร่งรีบของคน ฯลฯ มันกระหน่ำเข้ามาทุกวัน ในโจทย์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน
ผมยังเคยโดนคนเข้าใจผิด หาว่าผมไปด่าเขา แล้วเขาก็ด่าผม ดูถูกผม กล่าวหาผมเสีย ๆ หาย ๆ เป็นเรื่องกันวุ่นวายหน้าโรงทาน จนเดือดร้อนเจ้าหน้าที่มาช่วยคุมสถานการณ์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหวเลย ในตอนนั้นยังคิดอีกว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร ช่วยให้เขาสบายใจขึ้นได้อย่างไร จริงอยู่ที่เขาเข้าใจผิด แต่การแก้ไขให้เขาเข้าใจถูกอาจจะเป็นไปไม่ได้ก็ได้ ก็จบด้วยการที่เขาเรียกร้องให้ผมขอโทษ ผมก็ยินดีให้สิ่งนั้นกับเขา แน่นอนว่าอาจจะทำให้เขาสาสมใจในเชิงอัตตา แต่อย่างน้อยเขาก็จะไม่ได้ทำบาปไปมากกว่านั้น
พอผมมาสรุป ผมยังคิดอยู่เลยว่าจะหาผัสสะระดับนี้ได้จากไหน ใครเขาจะเข้ามาด่าเราฟรี ๆ ให้เราได้ฝึกปฏิบัติ ให้เราได้ตรวจใจ หาไม่ง่ายนักหรอก แบบที่เจอต่อหน้านี่มันสดใหม่ดี ในหมู่นักปฏิบัติธรรมเขาก็ไม่ด่ากับหยาบแบบนี้ เราได้เจอแบบนี้บ้างมันก็ได้ประสบการณ์ดี
และโดยเฉพาะการประชุมกันทุกค่ำหลังเลิกงานของจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการพัฒนาทางจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว เรียนรู้ได้ทั้งทางโลกทางธรรม ทางโลกก็เรียนรู้ว่านี่เขาก็คิดแบบนี้กันด้วยเนาะ ทางธรรมเราก็ตรวจใจไปว่าเราหวั่นไหวกับคำติของเขาไหม เขาชมแล้วใจเราฟูไหม เราเสนอไปแล้วเขาไม่เอาแล้วเราขุ่นใจไหม เขาเอาตามเราแล้วเราหลงยึดมั่นถือมั่นไหม มันก็สนุกกันทุกวันทุกคืนตลอดเวลาที่บำเพ็ญนั่นแหละ
สรุปแล้วงานโรงทานที่สนามหลวง นอกจากที่เราจะได้ทำกุศลตอบแทนผู้มีพระคุณแล้ว เรายังได้พัฒนาจิตวิญญาณของเราด้วย ผมมองว่าสนามหลวงคือสนามฝึกปฏิบัติที่ดีเยี่ยมที่สุดสนามหนึ่งในยุคสมัยนี้ ผ่านแล้วก็ผ่านเลย ไม่มีอีกแล้ว ซึ่งเกิดจากพลังบารมีของพ่อหลวงที่ได้บำเพ็ญอย่างยาวนานกว่า ๗๐ ปี พร้อมด้วยโอกาสที่ครูบาอาจารย์มอบให้ ทั้งพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ผู้นำของชาวอโศก ที่เป็นผู้จัดตั้งโรงทานกองทัพธรรม อาจารย์หมอเขียวที่นำเหล่าจิตอาสามาบำเพ็ญ และคนจำนวนมหาศาลที่มารวมตัวกัน
ภายใต้องค์ประกอบนี้ จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เรียกได้ว่า “หลักสูตรรวบรัด” เพราะสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ เหมือนประเด็นหลายประเด็นที่ควรได้รู้นั้นถูกย่อ และรวบรวมเข้ามาให้ได้เรียนรู้กันในเวลาสั้น ๆ ซึ่งก็วัดจากที่เคยศึกษาและปฏิบัติธรรมมานี่แหละ
และหลังจากจบงาน “ผลของกรรม” นั้นยังทำให้ผมประหลาดใจอย่างมากอีกด้วย อะไรที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นในอีก 3-5 ปี ก็เกิดขึ้นหลังจบงานแทน ซึ่งผมเชื่อว่าเกิดจากผลกรรมดีที่ได้ทำอย่างแน่นอน
นั่นจึงทำให้มั่นใจว่า การบำเพ็ญที่โรงทานในครึ่งปีที่ผ่านมานี่แหละ คือที่สุดในปี ๒๕๖๐ นี้
๓๑.๑๒.๒๕๖๐
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
จิตอาสา
จิตอาสา
ถ้าใครได้ไปสนามหลวงในตอนนี้ ก็จะมีโอกาสได้พบกับจิตอาสามากหน้าหลายตา เป็นเด็กน้อยบ้าง เป็นเด็กนักเรียนบ้าง เป็นวัยรุ่นบ้าง เป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนบ้าง เป็นคนเฒ่าคนแก่บ้าง เรียกว่ามีจิตอาสาครบทุกวัยทุกฐานะ
ผมเองก็สงสัยมาสักพักว่าเขาจัดการกันอย่างไร จึงสามารถเอื้อให้คนมาบำเพ็ญคุณงามความดีกันได้หลากหลายถึงเพียงนี้ พอนึกขึ้นได้ก็ลองเดินเข้าไปดูที่ศูนย์ประสานงานอาสาสมัคร ในหอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าเขามีอะไรให้ทำบ้าง
พอเข้าไปก็พบว่า เขามีรายละเอียด มีขั้นตอน มีการอบรม แถมช่วยจัดทีมให้ด้วย ในเวลาทำงานอาสาสมัครที่ค่อนข้างเหมาะสม คือประมาณหนึ่งชั่วโมง ซึ่งทั้งงานและเวลาที่เขาได้ออกแบบมานั้น เหมาะกับผู้ที่จะมาเป็นจิตอาสาใหม่ ๆ
ผมคิดว่าถ้าคนมาใหม่ อยากจะทำความดี แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ที่นี่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี เพราะมีงานหลากหลาย และงานไม่ยาก แค่เดินเข้าไปสมัครเดี๋ยวเขาก็จัดแจงให้เสร็จสรรพ ขอแค่มีแรงใจแรงกาย เดี๋ยวก็จะได้รับงานที่เหมาะสมเอง
การมาทำงานอาสาสมัคร หรือจิตอาสานั้น ผมถือว่าเป็นงานที่ทำได้ยาก เพราะทำไปแล้วไม่ได้อะไรนอกจากผลดี แถมยังต้องเสียเงิน เสียเวลา เสียแรงมาทำอีก ซึ่งตรงนี้แหละที่จะวัดภูมิคนว่าจิตนั้นเจริญถึงขั้นที่จะเสียสละได้ไหม เหตุการณ์นี้สำคัญพอจะเปลี่ยนแปลงตัวเราจากคนที่ไม่เคยเอาภาระสังคม ไม่เคยเสียสละ ให้เปลี่ยนมาเป็นจิตอาสาได้หรือไม่
การเป็นจิตอาสานั้นไม่เหมือนจ่ายภาษี ภาษีนั้นเป็นการบังคับจ่าย เป็นหน้าที่ที่ควรกระทำอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเขาตั้งกฎว่าไม่จ่ายก็ไม่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม คนส่วนมากก็คงเลือกที่จะไม่จ่ายกัน แต่จิตอาสานี่ใครมาบังคับไม่ได้นะ ตัวเองต้องเป็นเอง เป็นความดีที่จะต้องลุกขึ้นมาทำเอง เห็นประโยชน์เอง ซึ่งอาจจะมีบ้างที่มีคนบังคับมา แต่เขาจะทำงานนั้นได้ไม่นานและไม่มีความสุขกับงานอาสา นั่นเพราะจิตเขาไม่ได้อาสามาทำ เขาโดนบังคับมา ดังนั้นคนที่มี “จิต” ที่จะอาสาเพื่อสังคมนี่แหละ เป็นคนที่หาได้ยาก เป็นประโยชน์ทั้งทางโลกทางธรรม เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น