Tag: รัก
คู่ดี ให้ฟรี แถมเงิน บ้าน รถ ยังไม่เอาเลย
พอปัญญามันเต็มรอบในเรื่องใด ๆ เนี่ย เราจะเห็นโทษของมันชัดเจน ขนาดที่ว่าเอาสินบนมาล่อขนาดไหนก็จะไม่ยอมทำตามกิเลส
เรื่องคู่ก็เช่นกัน คนเขาก็อยากได้คู่ดีนะ ยอมเสียเงินเสียเวลา ทุ่มเทให้กับเรื่องคู่
แต่ถ้าคนที่มุ่งประพฤติตนเป็นโสดจนได้มรรคผลตามลำดับ จะเริ่มเข้าใจได้ว่า การที่จะไปแสวงหาคู่ที่ดีหรือไม่ดีนั้นมันเป็นทุกข์ เพราะแค่ป้องกันผู้ท้าชิงที่เข้ามาก็เมื่อยหัวมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาจีบหรือเกี้ยวพาราสีใครหรอก ป้องกันให้อยู่ก็พอ
คนทั่วไปเขายอมสารพัดเสียเพื่อให้ได้คู่มา แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมได้ดีมันจะกลับหัวเลย คือต่อให้เขายัดเยียดให้เราได้สารพัดได้ แถมคู่ดีให้ด้วย เราก็ยังไม่เอาอยู่ดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีรัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก 1 ทุกข์ 1 ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย และคนไม่มีรักนี่แหละสุขที่สุด
คนที่ไม่ล้างกิเลสจะไม่เข้าใจระยะห่างระหว่างทุกข์ 1 กับไม่มีทุกข์ ซึ่งความจริง มันทุกข์มาก มากขนาดที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยแนะนำให้ใครไปมีคู่เลย มีแต่แนะนำให้เห็นทุกข์จากคู่ เพราะแม้ว่าจะเป็นทุกข์ 1 มันก็เป็นทุกข์ที่มากอยู่ดี
คนที่ไม่รู้เขาก็ประมาทตรงนี้แหละ เขาเข้าใจว่า ก็แค่รัก 1 หน่วย คงไม่ทุกข์อะไรมาก แต่สาวกจะเข้าใจอีกอย่างคือ ทุกข์ตั้ง 1 ทำไมต้องไปแบกมาใส่หัวให้โง่ด้วย
ดังนั้นทิศทางของพุทธสาวก คือการสลัดออกไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่การเอาเข้ามา แม้จะทำไม่ได้ในทีเดียวก็จะค่อย ๆ เฉือนความเห็นผิด เอาความหลงผิดออกไปเรื่อย ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ตั้งใจปฏฺิบัติจนหมดทุกข์ ไม่ใช่เหลือทุกข์ไว้ให้หนักหัว
เรียนรักให้ถูกสัมมาทิฏฐิ
กิเลสคืออำนาจที่เลวร้ายที่สุด ครอบงำ บิดเบือน สร้างความเข้าใจกลับหัวกลับหาง อยากผาสุกแต่กลับทำทุกข์ พาให้ฉลาดในทางโลก คือหาทางเสพให้ดูดีดูน่ายกย่อง คือทำคนให้เป็นคนโง่ที่ดูฉลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ความรักก็เช่นกัน ในยุคปัจจุบันนี่ก็เรียกว่าเละเทะแล้ว มีธรรมประยุกต์มากมาย แต่ก็ไม่ได้อ้างอิง ไม่ได้เข้ากันกับหลักฐานในพระไตรปิฎก ไม่ได้ไปในแนวทางเดียวกัน เรียกว่ากล่าวกันแล้วเหมือนธรรมที่ดูเท่ ดูปล่อยวาง ดูฉลาด แต่กลับหัวกลับหางกับพุทธะโดยสิ้นเชิง
เป้าหมายของพุทธไม่ใช่ความหยุดอยู่ ความตั้งอยู่ ความดำรงอยู่ แต่เป็นการชำระโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า จะไม่มีคำสอนใด ๆ ที่ให้หยุดชีวิตไว้ที่ความรัก หรือให้หยุดพักที่การมีคู่
คำตรัสที่ว่ามีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย ไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลย คำความเหล่านี้คือตัวบอกจุดหมายของการปฏฺิบัติธรรมในศาสนาพุทธ คือให้เข้าถึงความพ้นทุกข์สูงสุด มีธรรมสูงสุดเป็นเป้าหมาย
คือให้ปฏิบัติสู่ความไม่มีทุกข์เลย ไม่ใช่หยุดอยู่ในสภาพเทวดา สภาพทาสที่คอยเสพสมใจตามกิเลสที่ได้มุ่งหมาย หรือสภาพที่ไร้อำนาจต่อต้านเพศตรงข้ามต้องยอมสยบไว้ใต้เท้าเขา
ดังนั้นเป้าหมายของสาวกที่จะเจริญ คือควรจะประพฤติตนเป็นโสดให้ได้สำเร็จ สมบูรณ์ทั้งรูปและนาม ส่วนจะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง คือพยายามแล้วมันไปไม่ถึงก็ยังดีกว่าไม่พยายาม
ไม่ใช่ว่าให้ความสำคัญกับการมีคู่ การมีคู่จะพาเจริญ หรือการมีคู่ดีจะขัดเกลากัน อันนี้ไม่ใช่ มันคือเฉโก ความลามกของกิเลสคือพาให้คนหลงเสพโดยมีความคิดเท่ ๆ มาแปะป้ายไว้ให้ดูดี ดูฉลาดปราดเปรื่อง แต่จริง ๆ กลิ่นกามนี่เหม็นคลุ้งเลย
การมีคู่มันจะมีอะไรดี มันก็มีแต่เรื่องเบียดเบียนกันเท่านั้นแหละ คนมีปัญญาเขาจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เลยนะ ดังเช่นว่ามีคู่แล้วก็ต้องไปนอนเตียงเดียวกันให้มันนอนลำบากทำไม? ให้มันเบียดกัน ให้มันหลับยาก อันนี้คือความโง่ของกิเลสที่พาให้คนหลงยึด ผูกกันไว้ เข้าใจว่านอนเตียงเดียวกันคือความสุข จริง ๆ นอนเตียงใครเตียงมัน ห้องใครห้องมันนี่จะหลับสบายกว่า จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอกนอกจากเรื่องการสมสู่ การมีคู่ก็มีเหมือนซื้อบริการทางเพศแบบเหมานั่นแหละ เอาไว้ใกล้ ๆ ตัว จะได้เสพง่าย ๆอยากเมื่อไหร่ก็เสพได้เลย ก็เป็นการขายตัวอย่างถูกจารีตแบบหนึ่ง แต่ไม่ถูกธรรม คือไม่พาพ้นทุกข์
เรื่องพวกนี้คนเขาก็ไม่พูดกันหรอก เขาก็พูดกันแต่มุมพาเจริญ ส่วนมุมสกปรก ที่มันเน่า ๆ เละ ๆ เขาก็เก็บมันไว้ ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร เป็นเรื่องธรรมดา
มันก็ใช่ถ้าจะบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์หรอก ไม่ได้ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่ได้มุ่งหวังมรรคผลใด ๆ ก็อยากแค่ใช้ชีวิตบำเรอกามตนอย่างเต็มที่ ใครจะว่าอย่างนั้นก็คงจะไม่ขัดศรัทธากัน
แต่ถ้าจะมาบอกว่าการมีคู่คือเรื่องดี พาเจริญอะไรนี่ ก็บอกตรง ๆ ว่าต้องวิจารณ์ไว้ เพราะเห็นใจคนอื่นที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วมาเจอธรรมลามกพวกพาหลงในรสรัก เขาจะเสียเวลามาก อุตส่าห์เกิดมาเป็นคน ได้มีพระพุทธศาสนาประกาศอยู่ ยังจะมาเจอพวกมิจฉาดักตีหัว เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศแล้วโดนทัวร์โจรดักตีหัวพาเที่ยวนรกยังไงอย่างนั้น
ทุกวันนี้มิจฉาธรรม มันก็เยอะมากพออยู่แล้ว ใครรู้ตัวก็อย่าพยายามเพิ่มอีกเลย แค่เจอสารพัดนักเขียนชื่อดังประกาศธรรมที่ยินดีในคู่ก็พาคนฉิบหายมากอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มหรอก เพราะมันไม่พาเจริญ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้มิจฉาทิฏฐิ ปิดบังไว้จะเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ดังนั้นถ้ายิ่งพยายามเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิในเรื่องคู่มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ความเสื่อมเกิดมากเท่านั้น ทั้งตนเองและผู้อื่นนั่นแหละ
มาจับที่มีหลักฐานกันชัด ๆ ไปขยายดีกว่า เอาอันนี้ “ไม่มีรัก ไม่มีทุกข์” ไปขยายกัน ไปทำความเข้าใจกันดี ๆ อย่าไปเอาเป้าหมายที่มันนอกกรอบ นอกขอบเขตพุทธ ถ้าไปเอาที่มันนอกรีตมันจะไม่พ้นทุกข์ เอาที่มันอยู่ในกรอบ ในจารีต ในวิถีพุทธมันจะเจริญ
พระอริยะชั้นสูง ๆ ท่านไม่เอาเรื่องคู่ทั้งนั้นแหละ เธอไปทาง ฉันไปอีกทาง พระมหากัสสปะเถระเป็นอีกท่านที่บำเพ็ญบารมีตามพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่ท่านปฏิบัติในเรื่องคู่นี่ลอกพระพุทธเจ้ามาชัด ๆ เลย บทเดียวกันแต่เปลี่ยนคนแสดง พอท่านรู้ตัวว่ามีสิ่งเจริญกว่าท่านก็ให้เมียไปทาง ท่านก็ไปอีกทาง ไม่มีหรอกจะมามัวปะปนกันอยู่ อย่างคนโลก ๆ อันนั้นบางทีเขาก็มั่วนิ่ม จริง ๆ ก็ยึดมาก แต่ฉลาดในการพูด มันก็ดูเหมือนจะดี แต่ถ้าจะเทียบสภาวะจริง ๆ ก็มีพระพุทธเจ้ากับพระมหากัสสปะอยู่แล้ว ก็เทียบจากตัวอย่างที่ดีไป อย่าไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดี
ความวนเวียนในความรัก
ความวนเวียนในความรัก
กิเลสคือสิ่งที่จะทำให้เรายินดีในการหลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ความรักก็เช่นกัน ความรักนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะรัดและมัดคนไว้กับโลกนี้ ผูกไว้กับความทุกข์ ตรึงไว้ด้วยความเศร้าหมอง
ไม่ว่าอยู่ในขั้นตอนใดในความรัก ล้วนมีทุกข์แทรกอยู่เสมอ แต่ก็อยู่ที่ว่าใครจะมองทุกข์นั้นเห็น และอยู่ที่ว่าใครจะทำให้เหตุการณ์นั้น ๆ เป็นที่สุดแห่งทุกข์ คือ พอเสียทีกับทุกข์นี้ ไม่ทนทุกข์อีกต่อไปแล้ว
ความรักนั้น มีความหลงเป็นจุดเริ่ม แล้วก็จะแสวงหาคือพยายามหาสิ่งที่จะเข้าไปรัก เมื่อได้แล้วก็อยากได้ขึ้น โลภมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้สมใจก็จะโกรธ อึดอัด ขุ่นเคือง หงุดหงิดในใจ เป็นฝุ่นในใจให้คอยรำคาญอยู่เสมอ สุดท้ายก็หลงวนเวียนไปหาสิ่งใหม่เพื่อที่จะได้ตอบสนองความต้องการของตนเองอย่างไม่รู้จุดจบ
ความรักนั้นคือสิ่งที่พาวนในอารมณ์ต่าง ๆ ที่พาให้เศร้าหมอง ตั้งแต่ความหลง เมื่อหลงก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์หรือเพื่อความทุกข์ เมื่อได้ยินได้ฟังเขาว่ามา ว่ารักนั้นเป็นสุข เป็นสิ่งที่ควรครอบครอง เมื่อไม่มีปัญญารู้โทษภัยผลเสียที่แท้จริงของมัน ก็จะรู้สึกว่ารักนั้นไม่มีโทษไม่มีภัย หรือเห็นว่ามีโทษน้อยกว่าคุณ หรือเห็นว่าแม้จะมีทุกข์อยู่แต่ก็ยังมีคุณค่าพอที่จะรัก ความหลงนี้เองคือสิ่งที่ทำให้คนเกิดแรงผลักดันไปแสวงหารัก
รัก… เมื่อหลง ก็จะแสวงหาความรัก การดิ้นรนไปเพื่อหามาเสพ หรือการปั้นตัวตนขึ้นมาให้น่าเสพ ไม่ว่าจะวิ่งหา หรือทำตัวเองให้น่าสนใจ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น เสียพลังงาน เสียเวลา เสียทุนทรัพย์ แต่คนหลงจะไม่หยุดถ้าไม่ได้มาซึ่งสิ่งเสพที่ตนหมายปอง นี้คือทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ทุกข์เพราะอยาก ดิ้นรน แสวงหา ไขว่คว้า ฝันใฝ่ ฯลฯ
โลภ… ความโลภนั้นเกิดตั้งแต่หลง คืออยากได้ในสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ แต่ด้วยความโลภ จึงพยายามทำให้เขายินดีให้ คอยจีบ คอยเอาใจ คอยให้ท่า ฯลฯ สารพัดลีลาที่ดิ้นรนเพื่อให้ได้เสพ เพราะจิตหลงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งดี และโลภอยากได้มาเสพ แบบใช้การล่อลวงต่าง ๆ แม้จะเป็นการได้มาโดยอธรรมก็ยินดี
เมื่อได้มาก็โลภไปเรื่อย ๆ อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น อยากให้เขาทำอย่างนี้ ตามใจเรา อยากให้เขาบำเรอเราไปเรื่อย ๆ อยากได้ อยากได้ อยากได้… ความรักนั้นมีแต่ความอยากได้อยู่ในนั้น ดูเผิน ๆ เหมือนจะสวยงาม เหมือนจะเกื้อกูล เหมือนจะดูแลกัน แต่ความจริงเน่าในเหมือนผีเปรตขอส่วนบุญ อยากได้ อยากให้เป็น อยากให้มี ฯลฯ ถ้าใครเห็นความจริงในความรัก ก็จะเห็นผีที่สิงในใจคน ผีโลภ โกรธ หลง ที่อาศัย “รัก” เป็นตัวเสพ เป็นสิ่งที่ไม่เจริญใจอย่างยิ่ง
โกรธ… เมื่อมีความโลภ ความโกรธก็จะต่อคิวเข้ามา เมื่อเกิดความโลภแล้วไม่ได้เสพสมกับความโลภนั้น อยากแล้วไม่ได้สมอยาก ก็จะเกิดอาการโกรธ ไปดูเถอะ คู่รัก คนรักที่ไหน ขัดใจกันแล้วไม่โกรธ อึดอัด ขุ่นเคืองใจกัน แค่นึกก็ยังนึกไม่ออกเลย ธรรมดาความรักนี่แหละเป็นตัวพาโกรธ พาจองเวรจองกรรมกันก็เพราะเหตุนี้ เพราะอยากได้แล้วไม่ได้สมอยากก็โกรธ หลังจากนั้นก็สารพัดกิเลส สารพัดลีลามารยาของฝ่ายมารที่งัดออกมาปะทะ ประชดประชันหมายจะเอาชนะกัน การสงบศึกไม่มีอยู่ในผู้ที่ยังมีความรัก ยังจะต้องรบอยู่เรื่อยไป ไม่จบไม่สิ้น เดี๋ยวเราก็โกรธเขา เดี๋ยวเขาก็โกรธเรา ง้องอนกันไปกันมา คนก็หลงว่าเป็นสุข เพราะมันมีรสของการปะทะ รสของการกระทบในสิ่งที่อยากกระทบ แม้โกรธก็เสพสุขได้กับคนที่หลง จริง ๆ โกรธมันไม่น่าเสพหรอก แต่คนเขาหลงว่าเป็นสุขว่าเป็นคุณค่า เขาก็เลยชอบโกรธกันทะเลาะกัน
จริง ๆ คนขี้โกรธ ขี้งอนนี่มันไม่น่าจะมีคุณค่าให้ง้อหรือไปเสียเวลาเลยนะ แต่เพราะมีอีกฝ่ายคอยให้คุณค่า คนก็หลงอัตตา หลงว่าแม้ตนจะโกรธ จะงอน เขาก็จะมาง้อ หรือเขายิ่งจะต้องให้คุณค่า ทั้งที่จริงความโกรธหรืองอนนี่มันคือการทำลายคุณค่าของตน แต่เขาหลงกลับหัวกลับหางเลย ก็ใช้การโกรธการงอนนี่แหละในการเสพคุณค่าในตน คนง้อก็หลงตามเขาไป วนเวียนไปกันแบบนั้น
หลง… สุดท้ายไม่ว่าจะคบหรือจะจบ กิเลสก็จะพาคนหลงวนแสวงหาเสพเหมือนเคย มีคนรักก็แสวงหาสุขอยู่กับคนรัก ไม่มีคนรักก็ดิ้นรนแสวงหาคนมาเสพสุข เป็นความวนหลงอยู่ในโลกีย์ แม้รักนั้นจะดีแสนดี เป็นคนดีแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงตัวพาวนเท่านั้นเอง จะวนแบบดี วนแบบร้าย มันก็คือการวนเวียน แล้วดีก็ไม่ได้ดีได้ตลอด สุดท้ายมันก็จะร้ายอยู่ดี เพราะความหลงคือบาป ยิ่งต่อเวลาเนิ่นนานไปเท่าไหร่ยิ่งก่อบาป ก่อชั่ว ก่ออกุศลกรรม มากเท่านั้น
กิจกรรมที่อยู่ภายใต้ความหลง แม้จะพยายามทำดี แม้ดีที่สุดในชีวิต แต่ยังไม่พ้นจากความหลงในรสรัก ก็ยังเป็นดีที่ยังไม่เหนือความรัก ยังไม่เป็นดีเหนือดี ยังเป็นดีที่ติดเพดานบาป เป็นดีที่ถูกบาปครอบอยู่ ดังนั้นกุศลผลบุญอะไรนั่นมันก็จะไม่เกิดผลเต็มร้อย ไม่แผ่ออกไปเพราะมีบาปครอบอยู่ ดีไม่ดีติดลบด้วย เพราะบางทียิ่งพากันทำดี ยิ่งจะหลงในภาพความดีของคู่ครอง เลยไปกันใหญ่ กอดคอกันวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารด้วยความยินดี เต็มใจ พอใจ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวที่สวยงามเต็มที่
…. สุดท้าย ความรักก็คือสิ่งหนึ่งที่ขังคนไว้ในโลก ให้ยินดีในโลกที่ทุกข์ระทม ไม่ให้เจริญไปในจุดที่ดีกว่านั้น ผูกไว้ไม่ให้สูงไปสู่ความผาสุกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ตรึงคนไว้ให้ยินดีกับสุขลวงทุกข์จริง ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านั้นเขาจะ “พอ” กับสุขลวงทุกข์จริงเช่นนั้นเมื่อไหร่ เขาจึงจะพยายามเดินออกจากวงเวียนแห่งรักอันไม่รู้จักจบนี้ด้วยตนเอง
5.3.2563
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ที่ว่ารักนักรักหนา สุดท้ายก็ฆ่ากันได้
ได้ยินว่ารักอย่างนั้น รักอย่างนี้อย่าเพิ่งไปรีบเชื่อกันว่าเขาพูดจริง หลายคนเขาก็ว่ารัก แต่เขาก็หักหลังคนรัก ทำร้ายคนรัก หรือฆ่าคนที่เขารักได้หน้าตาเฉย
จริง ๆ เขาก็เอาคำว่ารักมาหลอกกันนั่นแหละ เพื่อที่จะได้ครอบครองอีกฝ่าย เพื่อที่จะเอาชนะ ครอบงำจิตใจ ให้หลงงมงายแต่เขา ให้รักแต่เขา คนก็มอมเมากันด้วยคำว่ารักนี่แหละ
พอหลุดจากมนต์สะกด ไปมอมเมาเขา แล้วอีกฝ่ายไม่เมาด้วย เขาก็ขายหน้าไง ก็พ่นมนต์รักซะดิบดีสุดท้ายไม่รักเราได้อย่างไร? อย่างนี้มันเสียหน้า มันหยามอัตตากัน สุดท้ายก็ลงไม้ลงมือ หักหลัง ทำร้าย ฆ่ากันได้
ความรักของคนจึงมีองค์ประกอบของกามและอัตตาปนอยู่ด้วยกัน กามก็รูปร่าง หน้าตา กลิ่นหอม สัมผัสเสียดสี ฯลฯ ส่วนอัตตาก็ความได้ดั่งใจ ได้คนมาสนองความเป็นตัวตนได้สมใจ จริง ๆ มันก็มีเชื้ออยู่กว้าง ๆ แค่ประมาณนี้แหละ
ได้เสพสมใจก็กิเลสขึ้น ไม่ได้สมใจก็กิเลสขึ้น มีอยู่แค่นี้ ชีวิตที่หลงมัวเมากับความรักก็มีแต่ขาดทุน เพราะได้สมใจก็ทำบาป ไม่ได้สมใจก็ทำบาป มีทิศทางเดียวคือบาป ไม่มีบุญเลย เพราะมีแต่เพิ่มกิเลส ไม่ได้มีกิจกรรมใด ๆ ที่ล้างกิเลสเลย
ถ้าคนเขามีรักจริง ๆ หวังดีกันจริง ๆ เขาไม่ไปจีบ ไม่ไปล่อลวงใครมาให้เป็นคู่หรอก สุภาพบุรุษไม่จีบผู้หญิง ไม่สร้างโอกาส ไม่สร้างภาพ ไม่สนับสนุนให้ใครมาหลงรักด้วย
เพราะรักแล้วมันทุกข์ไง รักแล้วมันเป็นสารพัดทุกข์ จะไปทำให้เขามารักทำไมล่ะ ให้เขามาเป็นทุกข์นี่มันไม่ใช่ความหวังดี ไม่ใช่ความเมตตาเกื้อกูลแล้ว มันก็เป็นความเบียดเบียนนั่นแหละ
ทุกข์เรื่องความรักนี่มันเป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก ขนาดมีข่าวฆ่ากันตายเพราะรัก เกือบทุกวัน ขนาดว่าเป็นทุกข์เพราะรักกันอยู่ ยังไม่รู้จักเลยว่านั่นทุกข์ ขนาดเป็นทุกข์กันอยู่คนยังไม่ตระหนักกันเลย ยังจะเอา ยังจะไขว่คว้าอยู่อย่างนั้น ถ้าคนรู้จักทุกข์ชัดเจนจริง ๆ จะไม่ทำให้ตนและผู้อื่นเป็นทุกข์ แต่เพราะส่วนใหญ่เขาไม่รู้ว่ารักนั้นทำให้เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ชัดเจน ไม่รู้แจ้ง ก็เลยพากันเมารักอยู่อย่างนั้น
มันจะมีโอกาสเห็นความจริงตอนผิดหวังนี่แหละ ที่เห็นว่ารักนั้นเป็นของหลอก ไม่สุขจริง ไม่สุขยั่งยืน แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นได้ง่าย ๆ เพราะสั่งสมอัตตามามาก ตอนผิดหวังมันจะโกรธแค้นแทนที่จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง สรุป…แทนที่จะได้เข้าใจธรรมะ กลายเป็นกิเลสคาบไปกินหมด แค้น โกรธ เกลียด อาฆาต สุดท้ายก็ไปทำร้าย ไปฆ่าเขา เพื่อเสพรสรักนี่แหละ เพราะถ้าเราไม่รักนะ เขาจะไปมีใคร เราก็จะไม่โกรธ แต่ที่เราโกรธ เพราะเราไปรักนั่นเอง