Tag: บาป
บาปกับธุรกิจฆ่าสัตว์
มีคำถามมาว่า ” ที่บ้านค้าขายเกี่ยวกับหมู แต่เราไม่อยากทำแต่ก็ช่วยพ่อแม่แบบนี้จะบาปมั้ยครับมีวิธีคิดยังไงครับ”
ตอบ ถ้าไม่มีจิตยินดีในการฆ่าและกิจกรรมที่ส่งเสริมเหล่านั้นก็ไม่บาปครับ
แต่มันจะมีวิบากกรรมในส่วนของ มิจฉาอาชีวะในข้อ ยอมมอบตนในทางที่ผิด คือยอมเอาชีวิตตัวเองไปรับใช้ในกลุ่มหรือธุรกิจที่เป็นการเบียดเบียนหรือผิดศีลต่าง ๆ
ทีนี้ตัววัดมันจะอยู่ตรงที่ว่า ใจเรายินดีหรือเราโดนบังคับ จำใจ หาทางออกไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างหลังก็ไม่บาป มันเป็นสภาพโดนบังคับ เป็นช่วงที่อกุศลวิบากกำลังส่งผล ตามที่เราเคยไปส่งเสริมกิจกรรมที่ไม่ดีมามากในชาติก่อน ๆ แล้วมันสะสมผล พอถึงเวลาที่เราจะออก มันจะออกไม่ง่ายเหมือนใจคิด มันจะตัน มันจะคิดไม่ออก มันจะมองไม่เห็นทาง ได้แต่ก้มหน้าทำรับใช้กรรมไป
วิธีคิดที่แนะนำอย่างแรกคือ ยอมรับกรรม ยอมรับว่าเราก็เคยส่งเสริมมา และเราก็ยังมีส่วนเอื้อให้เกิดกิจกรรมนั้นอยู่ เวลาวิบากกรรมมันส่งผล เราจะหนีหรือจะปลีกตัวออกไม่ได้ ไม่ว่าทั้งดีทั้งร้าย เราก็ต้องรับ ดังนั้นในเมื่อยังไงก็ต้องรับ ก็รับด้วยความเบิกบาน รับด้วยความเข้าใจว่าเราทำชั่วสะสมมามาก การรับกรรมก็เหมือนใช้หนี้ ใช้แล้วก็หมดไป ได้ใช้หนี้ไปแต่ละวันหนี้ก็หมดไปเรื่อย ๆ ก็ทนทำไปด้วย ศึกษาเรื่องกรรมไปด้วย จะเข้าใจมากขึ้น ทำให้เบาใจขึ้นโดยลำดับ
ส่วนที่สองคือการเร่งชำระหนี้ ถ้าเราไม่ได้ทำดีมาก ไม่ได้มีศีลมาก เราก็เหมือนลูกจ้างค่าแรงต่ำ เขาใช้เงินไม่กี่ร้อยก็จ้างได้แล้ว หากว่าเราเป็นหนี้สักร้อยล้าน เขาก็จ้างเราได้ทั้งชีวิต
แต่ถ้าเรามุ่งทำดีมาก ๆ มีศีลมาก ทำใจให้ผ่องใสได้โดยลำดับ ไม่เบียดเบียนคนอื่นสัตว์อื่น มีน้ำใจช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กตัญญูผู้มีพระคุณ ค่าตัวต่อหนึ่งช่วงเวลาของเราจะเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทำดีมาก ๆ อาจจะเป็นค่าตัววันละล้าน แค่ร้อยล้าน 3 เดือนก็จ่ายหมด
ที่ยกตัวอย่างมานี้คือการเปรียบเทียบให้เข้าใจเรื่องบารมี คือถ้าเราเป็นคนทั่ว ๆ ไป ค่าตัวก็ถูกเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราเป็นคนมีชื่อเสียง ค่าตัวก็แพง ในทางธรรมก็เหมือนกัน แต่ความแพงนั้นไม่ใช่เงิน สิ่งที่ต้องจ่ายคือการบำเพ็ญความดีหรือกุศลวิบาก
เช่น ผู้ที่ถวายอาหารมื้อแรกและมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ที่มีอานิสงส์มาก ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้มาถวาย มันต้องเป็นนางสุชาดาในมื้อแรก และนายจุนทะในมื้อสุดท้ายเท่านั้น ทั้งสองท่านต้องทำกุศล สร้างบารมีสะสมมามาก ถึงจะได้สิทธิ์นั้น
หรือกรณีพระเทวทัต ก็เกิดจากบาปที่พระพุทธเจ้าเคยไปฆ่าน้องชายต่างแม่มาเมื่ออดีตชาติอันไกลโพ้น แต่ผลวิบากนั้นก็ยังไม่หมด แต่ถึงที่สุดพระเทวทัตก็จะทำร้ายพระพุทธเจ้าได้สูงสุดตามที่พระพุทธเจ้าต้องรับส่วนของวิบากกรรมในชาตินี้ จะทำร้ายไม่ได้มากเท่าที่ใจคิด เช่น คิดจะกลิ้งหินลงมาทับให้ตาย ผลสุดท้ายทำได้เพียงแค่ให้ท่านห้อเลือด
การจะเข้าถึงคนที่ดีมาก ๆ จำเป็นจะต้องทำความดีมามากด้วย เช่นเดียวกันกับการที่เราจะหนีจากสิ่งไม่ดี เราก็ต้องทำดีมาก ๆ เพื่อที่จะให้คนที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรานั้น มีอัตราส่วนเป็นคนดีมีศีลเป็นส่วนมาก หรือเจอสิ่งดีมากกว่าสิ่งร้าย หรือเจอสิ่งร้ายไม่นานก็กลับมาดี
ตั้งตนเป็นโสด ไม่ล่อลวงให้ใครมารักมาหลง
การปฏิบัติอย่างหนึ่งของการประพฤติตนเป็นโสด คือการสำรวมกาย วาจา ใจ ไม่ให้ไปล่อลวงใคร ในขั้นของมรรคก็จะสังวรในข้อปฏิบัติ ถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นทาง อาจจะไม่ได้รู้โทษชั่วของการล่อลวงชัดเจน แต่ก็พยายามทำไปตามที่ครูบาอาจารย์สอน
แต่เมื่อปฏิบัติจนถึงผล จิตจะเปลี่ยนไป การสำรวมเหล่านั้นจะไม่ได้มีเพื่อตัวเอง แต่ทำไปเพื่อคนอื่น 100% คือ เราจะรู้สึกสงสารเขา ที่เขามาหลงเราในประเด็นที่ไม่ใช่ประโยชน์แท้ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เราก็จะปิดช่องเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ เท่าที่ทำได้
ในขั้นมรรคจะมีหิริโอตตัปปะไม่เต็มรอบ แต่ถ้าขั้นผลจะมีหิริโอตตัปปะเต็มรอบถ้วนสมบูรณ์ จะรู้จักบาปชัดเจน ดังนั้นตัวเองจึงไม่ทำและไม่นำพาให้คนอื่นทำด้วย
เมื่อปฏิบัติตนเป็นโสดจนถึงผล จึงไม่มีเจตนาที่จะสร้างอาการกิริยาใด ๆ ที่จะไปทำให้ใครเขาชอบชื่นใจ รูปก็จะลด แต่งตัวแต่งหน้านี่ไม่มีแล้ว แต่แต่งให้ถูกกาลเทศะก็อีกเรื่อง แต่ใจจะไม่เอาแล้ว กลิ่นนี่ไม่ต้องเติมให้หอมเลย เอาแค่ไม่เหม็นไปเบียดเบียนชาวบ้านก็พอแล้ว เสียงนี่ก็จะไม่ปรุงให้มันเด่น ไม่มีเสียงสองเสียงสาม มีแต่เสียงปกติ กิริยาท่าทางก็ลดลง เท่าที่จำเป็น ไม่ต้องมาทำท่านั้นท่านี้ ผู้ชายปกติจะไม่ค่อยมีอยู่แล้ว แต่ผู้หญิงจะมีท่ามาก เล่นหูเล่นตา ลีลามาก กรีดกราย มือไม้จะมีท่าเยอะ อาการสะดีดสะดิ้งต่าง ๆ ตรงนี้ก็จะลดลงจนถึงขั้นไม่มีเลยเป็นปกติ คือปกติจะไม่ใช้ ถ้าจะใช้ก็ใช้ทำเพื่อเป็นประโยชน์
เมื่อจิตมีหิริโอตตัปปะ จะสะดุ้งกลัวต่อบาปแห่งการล่อลวง เขาจะร้สึกได้เองว่าการกระทำใด ทางกาย วาจา ใจ มีผลให้คนหลงรัก เขาจะกลัวบาปและเลิกทำสิ่งนั้น มันจะพลาดและเรียนรู้แล้วจะลดลงไปเรื่อย ๆ เป็นลำดับ
ส่วนคนไม่มีธรรมดังกล่าว หรือปฏิบัติไม่ถึงผล อย่างเก่งก็จะได้แค่ภาษา คือเข้าใจธรรมตามที่ครูบาอาจารย์สอน แต่ไม่มีสภาวะ คือจิตไม่ได้เป็นไปตามนั้น มันก็จะไม่รู้สึกผิดบาปอะไร แม้ตนจะจมอยู่กับบาปเหล่านั้นก็ตาม
บทความสังเคราะห์จากหลาย ๆ ปัจจัย
ที่ผมพิมพ์บทความได้เยอะ ๆ นี่ก็มาจากข้อมูลคนมากด like มา comment ด้วยครับ
คือเห็นแล้วจำได้ว่าใครมากดนั่นแหละ แล้วพอมีข่าวสารขึ้นใน feed มันก็จะพอนึก ๆ อะไรออกบ้าง ก็เรียกกันว่าสังเคราะห์กันทาง facebook
ที่ไม่ตอบ ก็คิดว่าส่วนใหญ่เป็นประโยคบอกเล่าก็เลยไม่ได้ตอบอะไร แม้จะเป็นคำถามก็ต้องพิจารณาการตอบอีกทีหนึ่ง แต่ก็ได้อ่านทุกท่านครับ พิมพ์อะไรมาก็อ่านนั่นแหละ แต่บางทีถามมาอาจจะลืมตอบจริง ๆ ทั้งที่คิดว่าจะตอบแต่ก็ลืมไป ก็มีเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ได้อยู่หน้าจอตลอด มันก็มีงานอื่นต้องคิด คิดเรื่องอื่น มันก็ลืมเรื่องตอบไปก็มีเหมือนกัน
แต่ผมพยายามจะยกมาเขียนตอบเป็นบทความใหม่นะ เพราะคิดว่าจะได้ประโยชน์มากขึ้น คนอื่นเขาจะได้อ่านด้วย
แต่ท่านที่เป็นอวตาร(บัญชีที่ไร้การแสดงตัวตน) นี่บอกตรง ๆ ว่าผมประมาณยาก ถ้าถามมาก็จะตอบไปแบบประเมินต่ำไว้ก่อน อาจจะตอบเป็นเชิงแนวคิด ภาพรวม ๆ บางทีข้อมูลมันมีน้อย มันก็วิเคราะห์ยาก พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีการประมาณ หนึ่งในนั้นคือการประมาณในบุคคล สมัยนี้อวตารเยอะ ผมก็เข้าใจ เพราะผมก็เคยทำ บางคนเขาอาจจะมีเหตุในการปิดบังตัวตนก็ไม่ว่ากัน เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ครับ
ขอให้สบายใจในการแสดงความคิดเห็นครับ คิดต่างได้ คิดไม่เหมือนกันได้ครับ เป็นเรื่องธรรมดา จะติมาก็ได้ถ้าเห็นควร เห็นว่าติแล้วเป็นประโยชน์ แต่อย่าถึงขั้นด่ากันเลยครับ เกรงว่ามันจะมันจะหมิ่นเหม่ไปในทางบาป แต่จริง ๆ ก็ด่าได้นั่นแหละ ผมก็พอทนได้ประมาณหนึ่งครับ ส่วนมากก็จะไม่ค่อยถือสา เพราะผมเคารพสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นของท่านเหล่านั้นเหมือนกัน
ก็ขอบคุณที่แบ่งปันการกดแสดง feedback , comment ต่าง ๆ ฯลฯ เข้ามาครับ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ไอเดียบรรเจิด
ไปแต่ผู้เดียว เด็ดเดี่ยวเหมือนนอแรด
ระหว่างค้นหาพระไตรปิฎกในหมวดคนคู่ ก็มาเจอ “ขัคควิสาณสูตร ที่ ๓” (25,296) ในภาพรวม ท่านกล่าวเปรียบถึงถ้าเจอกับสภาพที่ไม่ดี อยู่คนเดียวจะดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ามันแย่ เราก็ต้องห่าง แต่อะไรล่ะที่มันไม่ดี แล้วอะไรที่มันดี ที่ควรใกล้ ในบทนี้มีทั้งไปแต่ผู้เดียว และเก็บเกี่ยวคนดีมาเป็นเพื่อน จะยกเป็นช่วง ๆ มาลองวิเคราะห์กันครับ
“พ.ความเยื่อใยย่อมมีแก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องกัน ทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นตามความเยื่อใย บุคคลเล็งเห็นโทษอันเกิดแต่ความเยื่อใย พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น”
… ส่วนนี้จะทำให้เห็นภาพรวมของสภาพไม่ดี เป็นทุกข์ เป็นบาป เป็นอกุศล คนที่มีปัญญาเห็นโทษดังนั้น ให้ละออกเสีย มีของไม่ดี อย่ามีเลยดีกว่า
“พ.บุคคลข้องอยู่แล้ว ด้วยความเยื่อใยในบุตรและภริยา เหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยวก่ายกัน ฉะนั้นบุคคลไม่ข้องอยู่เหมือนหน่อไม้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น”
… ถ้ามองไผ่กอใหญ่ก็จะเห็นถึงความวุ่นวาย ลมพัดมาก็เสียดสีกันบ้าง ชนกันบ้าง เสียงดัง เหมือนกับเรื่องคู่มันวุ่นวาย ถ้าใครยังไม่มี ยังไม่ถึงวัย ยังเป็นหน่อไม้อยู่ ก็ไม่ต้องไปมี ไม่ต้องไปยุ่ง ไปคนเดียว ฉายเดี่ยวเหมือนนอแรด
“พ.ถ้าว่าบุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน ผู้เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปรกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้ พึงครอบงำอันตรายทั้งปวง เป็นผู้มีใจชื่นชม มีสติ เที่ยวไปกับสหายนั้น หากว่าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน ผู้เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปรกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว”
… แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ไปคนเดียวตลอด ไม่ได้ให้หลีกหนีผู้คน ถ้าเจอคนดี มีปัญญา พาทำกรรมดี ก็ให้อยู่ร่วมกัน พึ่งพากัน แต่ถ้าหาคนมีปัญญาไม่ได้ ไปคนเดียวเถอะ โดดเดี่ยวดั่งนอแรด
“พ.เราย่อมสรรเสริญสหายผู้ถึงพร้อมด้วยศีลขันธ์เป็นต้น พึงคบสหายผู้ประเสริฐสุด ผู้เสมอกัน กุลบุตรไม่ได้สหายผู้ประเสริฐสุดและผู้เสมอกันเหล่านี้แล้ว พึงเป็นผู้บริโภคโภชนะไม่มีโทษเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น”
… พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้คบคนมีศีล คนที่เก่งกว่า มีศีลมากกว่า มีปัญญามากกว่า หรือผู้ที่เสมอกัน แต่ถ้าชีวิตนี้มันอับจนหนทาง ไม่มีบารมี ไม่เจอคนที่สูงกว่า ไม่เจอคนเสมอกัน ก็อยู่กินใช้สิ่งที่ไม่เป็นโทษ คือใช้ชีวิตไม่หลงระเริงไปตามกิเลส แล้วก็เด็ดเดี่ยวดั่งนอแรดกันไป
จะเห็นได้ว่า ในศาสนาพุทธไม่ได้มีคำสอนมิติเดียว ใช่ว่าจะให้หนีผู้คนออกป่าหาความสงบไปเสียหมด อันนั้นมันคือกรณีที่หมดปัญญา หมดบารมีหาคนเก่งกว่าไม่ได้แล้วเท่านั้น ถึงจะปลีกตัวออกไปคนเดียว ถ้าหาคนเก่งกว่าหรือเสมอกันได้ ท่านก็ให้อยู่เกื้อกูลกัน พึ่งพากัน อันนี้เป็นปัญญาของพุทธที่ต่างจากฤๅษี ถ้าสายฤๅษีนี่เข้าถ้ำไปคนเดียวเลย สายพุทธนี่จะหาคนมีปัญญาแล้วร่วมกันทำกุศล
จริง ๆ ยุคนี้ก็มีครูบาอาจารย์อยู่มาก แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นผิด หลงป่ากันไปเยอะ ถ้าเอามาเทียบพระไตรปิฎกหลาย ๆ บทจะเห็นว่ามีความขัดแย้งสูง แต่ถ้าเอาบางบทมา มันก็ดูเหมือนจะใช่ ในความจริงแล้วยังมีครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถมากอยู่ แต่การจะไปอยู่ผู้เดียวทั้ง ๆ ที่มีคนเก่งอยู่ นั่นก็สื่อให้เห็นว่าเขาไม่มีปัญญารู้ว่าใครเก่งกว่าเขา ไม่เห็นใครเก่งเสมอเขา เขาก็ฉายเดี่ยวไปเหมือนนอแรดตาบอดกันเลยล่ะนั่น คือปฏิบัติถูกบางบท แต่ภาพรวมไม่ครบทุกบท
แต่ก็ห้ามกันไม่ได้หรอก วิบากกรรมเขาเป็นแบบนั้น การได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกที่มนุษย์จะพึงเห็นได้เลยนะเอ้อ (อนุตตริยสูตร) ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา