Tag: นักปฏิบัติธรรม
เพิ่มคนรัก เพิ่มอัตตา
ผมสังเกตว่าคนทั่วไปเนี่ย พอเขาโสด เขาก็ลงรูปเดี่ยวใช่ไหม แล้วพอเขามีคู่ เขาก็ลงรูปคู่ แล้วลงเป็นรูปโปรไฟด์อีกด้วย มันก็เห็นเลยนะ คนเรานี่พากันเพิ่มอัตตา ด้วยความหลงรักนี่แหละ
พอมันรักแล้วมันจะเอาอีกคนมาเป็นตัวเขาของเราเลย เราเป็นของกันและกัน สารพัดสัญญาพัวพัน มันก็ยึดกันทั้งรูปทั้งนาม
เหมือนคนไปติดบ่วงยังไงอย่างนั้น บ่วงความรักนี่เหมือน เหล็กที่มันมีหนามแหลมน่ะ คือโดนคล้องไปก็จะมีทุกข์ไปเป็นลำดับในชีวิตตามการขยับ
มันก็น่าเห็นใจนะ กิเลสนี่มันไม่ปราณีใครเลย ก็เคยมีคนที่เขาว่าแน่ ๆ มาคุยกับผมนะ ก็คุยกันถึงวิธีปฏิบัติธรรม เราก็บอกว่าที่เขาเล่ามา เราเข้าใจ เราทำได้ ว่าแล้วเขาก็เกทับว่า เขามีมากกว่านี้อีก แต่ไม่บอกว่าคืออะไร เอาแต่พูดว่ามีดีกว่า มีมากกว่า รู้มากกว่า ผมก็ไม่ใช่คนจะเอาชนะอะไร เพราะเขาก็เป็นคนทักมาเอง เราก็ไม่ได้อยากจะสนใจอะไร
ผ่านมานาน มาถึงวันนี้ มาเห็นชีวิตเขา กับรูปโปรไฟด์กับแฟนสาว ก็เข้าใจ อ่อ เขามีกิเลสมากกว่านี้นี่เอง แหมก็อั้นไว้นานไม่ยอมบอกตั้งแต่วั้นนั้นว่ากามมันจัด กามมันท่วมปาก ก็เลยพูดไม่ออก สุดท้ายก็ไปเอาสาวที่ไหนไม่รู้มาเป็นอัตตาเพิ่มทุกข์ในชีวิต
นักปฏิบัติธรรมเรานี่ไม่ต้องไปเอาชนะใครหรอก ชนะใจตัวเองให้ได้ก็พอ เดี๋ยวตัวเวรตัวกรรมมาแล้วจะเอาตัวไม่รอด พอเอาตัวไม่รอดมันก็ชั้น ตกดิวิชั่นทันที ทำท่าเหมือนชนะกิเลสมาตั้งมากตั้งมาย มาแพ้สาวคนเดียวนี่มันน่าขายหน้าจริง ๆ ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้หลุมไหน
แต่เขาก็ไม่ค่อยจะมีหิริโอตตัปปะกันนะ แต่ที่จะละอาย เกรงกลัว ไม่หรอก เขาก็โชว์กันให้เห็นกันจะ ๆ นั่นแหละ นี่แหละน้า หลงกับมิจฉาธรรม แล้วกิเลสมันก็โตไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็โดนมันกิน
ปฏิบัติธรรมที่ไหนดี?
ปฏิบัติที่กิเลสสิดี
ถ้าไม่เอาธรรมะไปปฏิบัติต่อกิเลส
แล้วจะปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร?
กิเลสมีตรงไหนก็ปฏิบัติตรงนั้น
มีกิเลสเรื่องไหนก็ปฏิบัติเรื่องนั้น
ให้มันถูกตัวถูกตนของกิเลส
ปฏิบัติธรรมไม่เห็นตัวตนของกิเลส
ก็เหมือนคนตาบอดถือปืนเดินเข้าป่าหมายจะล่าสัตว์
ได้ยินเสียงอะไรขยับก็ยิงออกไป
ในทิศทางที่เดาเอาเองว่าใช่
พอเสียงนั้นเงียบไป จึงเข้าใจว่าสัตว์นั้นตาย
ก็หลงดีใจว่าเรานี่เป็นผู้ล่า เราชนะสัตว์นั้นแล้ว
แต่สัตว์นั้นคืออะไรไม่รู้…
ยิงไปทางไหนก็ไม่รู้…
แล้วกำลังอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้…
ว่าแล้วก็หลงป่าไปในที่สุด….
กิเลสจะถูกเห็นได้ก็ต่อเมื่อมีศีล
และจะชัดยิ่งขึ้นเมื่อเพิ่มอธิศีล
หากคนไม่มีอธิศีล สักแต่ว่าถือศีล
ก็จะเสื่อมจากความเจริญในที่สุด
การปฏิบัติธรรมที่ไม่มีศีล
ย่อมไม่มีมรรคผลใดๆเกิดขึ้น
เหมือนนักปฏิบัติธรรมตาบอด
แต่หมายจะไล่ล่าทำลายกิเลส
ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แม้แต่จะจินตนาการ…
หาคู่บรรลุธรรม : เมื่อความฝันกับความจริงเป็นคนละเรื่องกัน
หาคู่บรรลุธรรม : เมื่อความฝันกับความจริงเป็นคนละเรื่องกัน
ความรักของคนทั่วไปนั้นมักจะไม่มีความซับซ้อนอะไรมาก ตรงไปตรงมา แค่อยากได้ก็หามาเสพ แต่ความรักของนักปฏิบัติธรรมส่วนมากนั้นซับซ้อน มักจะถูกซ่อนไว้ด้วยเหตุผลอันน่าอภิรมย์เสมอ เป็นความอยากที่ซ่อนไว้ใต้ภาพฝันอันสวยงามว่า จะสามารถเจริญไปได้พร้อมๆกับการเสพสุขจากการมีคู่
ซึ่งแท้จริงแล้วการมีคู่นั้นไม่ใช่ความเจริญหรือความประเสริฐแต่อย่างใด มันเป็นเพียงความธรรมดา เป็นไปตามธรรมชาติของความเป็นสัตว์การมีคู่นั้นมีมาตั้งแต่เป็นสัตว์เล็กจนถึงสัตว์ใหญ่ ฯลฯ นั่นหมายถึงเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์ที่จะมีคู่ ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจแต่อย่างใด
ธรรมะนั้นคือสิ่งที่จะพาให้คนหลุดพ้นจากธรรมชาติ ไม่ต้องมีชาติ มีชรา มรณะ ฯลฯ หลุดพ้นจากความเป็นสัตว์อย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งหากปฏิบัติอย่างถูกตรงโดยลำดับจะสามารถงดเว้นเรื่องคนคู่ได้ จนกระทั่งยินดีที่จะไม่มีคู่ครอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ สวนกระแสธรรมชาติอย่างรุนแรง ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจกันได้โดยทั่วไป และไม่ใช่สิ่งที่จะปฏิบัติกันได้ทุกคน
การหาคู่มาเพื่อความเจริญในธรรมนั้น มีขีดสูงสุดที่จะเจริญได้คือการยอมพรากจากคู่ของคน คือไม่เข้าไปคบหาเชิงชู้สาว ไม่สมสู่กัน ไม่บำเรอกามและไม่สนองอัตตากันและกัน สุดท้ายก็คือไม่ผูกกันด้วยกิเลส นั่นหมายถึงว่าท้ายที่สุดก็ต้องกลับมาเป็นโสดอยู่ดี
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าความเจริญสูงสุดของการมีคู่คือการกลับมาเป็นโสด เป็นสัจจะที่ไม่สามารถลบล้างได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต, ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง” ซึ่งก็ชี้ให้เห็นชัดอยู่แล้วว่าการไปแสวงหาคู่เป็นความเสื่อม ความโสดคือความเจริญ
แล้วคนที่เข้าใจว่าจะหาคู่เพื่อความเจริญในธรรม ร่วมสร้างกุศลคืออะไร? ก็คือคนที่ไม่เห็นโทษภัยของการมีคู่ หลงคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งดี น่าใคร่น่าเสพ ก็เลยหาคู่มาบำเรอตน ไม่บำเรอกามก็บำเรออัตตา แล้วก็หลงมัวเมาอยู่กับสวรรค์ลวงๆที่ตนสร้างมา ว่ามีคู่สุขจริงหนอ มีคู่ดีจริงหนอ มีคู่ประเสริฐจริงหนอ ว่าแล้วก็ตั้งจิตน้อมเข้าหาประโยชน์ของการมีคู่ สะสมหมักหมมกิเลสพอกใส่ตัวเองด้วยความหลงผิด เห็นว่ากงจักรนั้นเป็นดอกบัว ก็มีแต่จะสะสมทุกข์ บาป เวร ภัย ให้กับตัวเองเท่านั้นเอง
ทั้งที่ความจริงแล้ว สุขกว่าการมีคู่นั้นยังมีอีกมากมาย แต่ก็มาหลงสุขอยู่กับการมีคู่ เหมือนนักเดินทางที่อยากเดินไปให้ถึงเป้าหมายแต่ก็มาหยุดตรงที่จุดชมวิวข้างทางไม่ยอมไปไหน ถ้าจะให้เกิดความเจริญก็จะต้องกล้าที่จะเดินออกไป กล้าที่จะยอมทิ้งสุขที่น้อยเหล่านั้นไปหาสุขที่มากกว่า สุขที่ไม่ต้องได้ ไม่ต้องมี ไม่ต้องเป็นอะไร
เรื่องการมีคู่แท้จริงแล้วก็เหมือนเรื่องโกหก แม้มันจะเคยเกิดขึ้นจริง แต่มันก็ไม่ใช่ของจริง มันเปลี่ยนแปลง แตกหัก เสื่อมสลาย ไม่คงทน ตายไปก็จำไม่ได้ คงเหลือแต่กรรมและกิเลสที่ตกทอดมาเป็นพลังที่หลอกให้คนหลงไปว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามี เป็นตัวเราของเรา ให้คนหลงไขว่คว้า พยายามแสวงหาคู่กันทุกชาติอย่างไม่จบไม่สิ้น เกิดมาชาติไหนก็ยังต้องหาคู่มาเสพ เพราะยังไม่สามารถหลุดพ้นจากธรรมชาติ ไม่หลุดพ้นจากความเป็นสัตว์
การบรรลุธรรมแท้จริงแล้วก็คือการเห็นความจริงตามความเป็นจริง เห็นสิ่งที่ไร้สาระเป็นสิ่งไร้สาระตามจริง เหมือนกับการที่เห็นเรื่องการมีคู่ไม่ใช่สาระใดๆในชีวิต ถ้ายังไม่สามารถเข้าใจความจริงในระดับนี้ ก็อย่าพึ่งไปคิดให้ไกลเกินตัวว่าจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะเพียงแค่เรื่องคู่ยังหลุดพ้นไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นที่ยากกว่าจะผ่านไปได้อย่างไร
– – – – – – – – – – – – – – –
31.10.2558
กินมังสวิรัติ ไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์?
กินมังสวิรัติ ไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์?
เป็นความเห็นจากผู้ที่เห็นว่าการกินมังฯ กินเจ ลดเนื้อกินผักนั้นไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์หรือบรรลุธรรมแต่อย่างใด ซึ่งประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักปฏิบัติธรรมกันมานานแล้ว
…….
จะลองเสนอความคิดเห็นกันในอีกมุมหนึ่ง
กินมังฯนั้นก็แค่ลดความอยากได้ในส่วนของกินมัง จะไปโลภบรรลุธรรมไปถึงนิพพานทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็จะได้ในส่วนที่ทำคือสามารถพ้นทุกข์จากความอยากกินเนื้อสัตว์ได้
คนที่เขาลดเนื้อกินผักโดยมุ่งที่การกำจัดกิเลส คือทำลายความหลงเสพหลงสุขในเนื้อสัตว์เขาก็จะได้ความพ้นทุกข์ในเรื่องที่เขา กำจัดได้ตามลำดับนั้นเอง
คนปฏิบัติธรรมที่ยังติดเนื้อสัตว์อยู่นี่ให้เขาเลิกกินตลอดชีวิตเขาทุกข์ตายเลย กิเลสจะเฆี่ยนเขาจนตายเลยนะ มันจะต้องไปแสวงหามากินให้ได้ เพราะไม่กินมันจะทุกข์ ส่วนคนที่ลดเนื้อกินผักเขาไม่ต้องกินเนื้อสัตว์ก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรเขาก็กินข้าวเปล่าไปก็ได้ มันหาง่ายกว่าเนื้อสัตว์อยู่แล้ว เขาก็ไม่ทุกข์อะไร
ดังนั้นตรรกะที่ว่าลดเนื้อกินผักไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์นั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะมันก็สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้อย่างน้อยก็หนึ่งเรื่อง ถ้าอยากพ้นทุกข์ทุกเรื่องก็ถือศีลแล้วทำลายกิเลสให้ครบทุกเรื่องเดี๋ยวก็ได้ เอง