Tag: ธรรมชาติ
ความรักกับเด็กอยากได้ของ
นึกขึ้นมาได้ ลองเอามาเปรียบเทียบกันดู ตอนที่เด็กอยากได้ของเล่นนี่จะพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้มา พ่อแม่ไม่ให้ก็งอแงจะเอา หลากหลายเหตุผลที่คิดขึ้นมาได้ พร้อมกับแสดงลีลา งอน ประชด เหวี่ยงเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา…ก็เหมือนคนอยากมีคู่นั่นแหละ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เสพ ถ้ามีใครมาห้ามหรือมาเห็นแย้งก็ไม่อยากฟัง
ถ้าได้มาก็มีสองอย่างหนึ่งคือสุขแป๊ปๆแล้วก็เบื่อ เลิกเล่น อยากได้ของใหม่ หรืออีกอย่างคือยึด เหมือนกับตุ๊กตาเน่าๆ ที่ทั้งเหม็นและเก่า แต่ไม่ยอมให้ใครแย่งไป ไม่ยอมห่าง ยึดไว้อย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องจากกันไปอยู่ดี
พอโตแล้วก็ไม่ไปซื้อหรือเล่นของเล่นเหมือนเด็กๆอีก เพราะไม่ได้มีความพอใจในสิ่งเหล่านั้นแล้ว เปลี่ยนไปอยากได้สิ่งอื่นแทน แต่ก็ยังเข้าใจว่าเด็กทุกคนต้องเล่นของเล่น ต้องอยากได้ของเล่น
ก็เหมือนกับความรัก พอมีอายุมากขึ้นผ่านความรักในมุมคนคู่มาได้ แม้ตนเองจะไม่อยากไปมีคนรักแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปัญญาเห็นโทษของความอยาก ยังเห็นว่าความรักในมุมของการมีคู่นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้
ความเบื่อในความรักเมื่ออายุมากนี้เองเรียกว่าการเบื่อหน่ายแบบทั่วๆไป ไม่ต้องปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมีปัญญามากขึ้น มันก็เกิดขึ้นได้เอง เป็นเรื่องสามัญ เป็นธรรมชาติของโลก ซึ่งความอยากนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่มันเปลี่ยนจากเรื่องหนึ่งไปเสพอีกเรื่องหนึ่งนั่นเอง
สรุปแล้ว…ความอยากก็ทำให้เราเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้เดียงสา แต่ความไม่อยากนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่
เด็กในมุมของธรรมะนั้นคือผู้ที่ยังมัวเมาอยู่กับกิเลส ส่วนผู้ใหญ่นั้นคือผู้ที่ปลดเปลื้องกิเลสได้อย่างแท้จริงแล้ว
อยากมีลูก?
อยากมีลูก?
…ความอยากนี้เกิดมาจากไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันก็เป็นเรื่องล้ำลึกที่ยากจะระบุให้แน่ชัดว่าคืออะไร เราสามารถเห็นได้เพียงปลายหางของกิเลสคือความอยากได้อยากมีอยากเป็น แต่นั่นก็เพียงแค่ปลายเหตุ ต้นเหตุของกิเลสอยู่ตรงไหน ตัวตนของกิเลสอยู่ที่ใด ในบทความนี้เราจะมาไขกิเลสของความอยากมีลูกกัน
เรื่องกิเลสนี่ถ้าแบ่งออกกว้างๆสองทางเป็นทางโต่งสองด้าน ด้านหนึ่งคือกาม อีกด้านหนึ่งคืออัตตา ก็น่าจะพอให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่ากิเลสของเราอยู่ฝั่งไหน อาจจะหนักไปทางฝั่งหนึ่งหรืออาจจะกระจายทั้งสองฝั่ง แต่แน่นอนว่าเราไม่สามารถรู้แจ้งเรื่องกิเลสได้ตั้งแต่ตอนแรก มันจะซับซ้อน ลับลวงพรางแค่ไหนก็ต้องใช้ปัญญาถอดรหัสกิเลสกันเอาเอง
1). กาม
กามในศาสนาพุทธจริงๆ ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องสมสู่หรือเรื่องลามกตามที่คนส่วนใหญ่เอาไปใช้กันผิดๆ ให้ความหมายแค่ในเชิงหยาบแต่ละทิ้งความหมายในนัยละเอียดไป แต่หมายถึงสภาวะที่เข้าไปเสพ การหลงไปเสพทั้งหมดไม่ว่าจะในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือที่เรียกว่ากามคุณ ๕ ซึ่งเป็นทางโต่งที่พาชั่วและเป็นทุกข์
กามในความอยากมีลูกนั้นเกิดขึ้นเพราะเราหลงว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหล่านั้นเป็นของดี เป็นของน่าหลงใหล น่าได้น่ามี เราจึงมีความรู้สึกว่าอยากมีลูกกับเขาบ้าง
เพราะในสังคมปัจจุบันเป็นยุคที่มีการแบ่งปันเรื่องราวและรูปภาพมากมาย เรามักจะเห็นพี่น้อง มิตรสหายมักจะลงรูปภาพลูกตัวเล็กน่ารัก ยิ้มหวาน หัวเราะร่า กิจกรรมที่น่าสนุกทั้งหลายที่มีกับลูก ทีนี้พอเราเห็นเข้ามากๆ เห็นบ่อยเข้าก็เริ่มอยากลองลิ้มชิมรสสุขอย่างเขาบ้าง เห็นเขาแสดงท่าทีว่าสุขแล้วมันก็อยากรู้ว่ามันจะสุขขนาดไหน ว่าแล้วก็วางแผนหาคู่มีลูกมีเต้าเสียเลยดีกว่า ไม่ลองไม่รู้…
ถ้าเราเข้าไปถามคนที่ยังติดกามในลูก ยังเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสในเด็กคนนั้นแล้วยังสุขอยู่ เขาก็จะบอกเราว่ามีแต่ความสุข แม้จะลำบากแต่ก็ยังสุข เขาจะเห็นว่าสุขลวงนั้นมากกว่าทุกข์ เพราะมันหลงติดสุขอยู่ พอเราไปคุยหรือได้รับข้อมูลจากคนมีกามกิเลสมากๆ เราก็จะรับกิเลสเหล่านั้นมาพอกกิเลสตัวเองจนหลงตามไปว่าการมีลูกนั้นสุขแบบนั้นแบบนี้ตามเขา
หากเราพิจารณาดีๆแล้ว กามคุณ ๕ นั้นแม้จะมีฝั่งของความงามเป็นตัวล่อ แต่สิ่งที่จะได้รับจริงๆแล้วเราจะได้รับกามที่เราไม่อยากได้ด้วย เช่นรูปไม่งาม เด็กหน้าตาไม่ดี หรืออาจจะพิกลพิการ ภาพเด็กร้องไห้ งอแง อึเด็ก ฉี่เด็ก กลิ่นไม่งามเช่นกลิ่นเหม็นจากของเสียของเด็ก เสียงไม่งาม เช่นเสียงร้องงอแงของเด็ก เสียงที่ดังจนแสบแก้วหู และสัมผัสที่ไม่งามเช่นต้องมาคอยเช็ดอึเด็ก เช็ดฉี่ เช็ดอ้วก เช็ดน้ำลาย ฯลฯ
ความไม่งามเหล่านี้มักจะไม่มีคนนำมาเผยแพร่ ไม่มีคนถ่ายรูปตัวเองเช็ดอึเด็กมาให้เห็น ไม่มีใครอยากอัดเสียงตอนลูกงอแงมาเผยแพร่ เพราะเขามักจะไม่ยินดีในความไม่งาม จนกระทั่งไม่ยอมรับการมีอยู่ของความไม่งามเหล่านั้น ถึงจะมีคนถามก็พูดไปเพียงแต่ว่ามีลูกแล้วดี น่ารัก มีความสุข ยิ่งโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เลี้ยงลูกเอง มีพี่เลี้ยงนี่จะยิ่งหลงเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ได้รับทุกข์มาให้ได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างเต็มที่
หากเราเข้าใจว่าความน่ารักของเด็กนั้นมันไม่เที่ยง มันก็น่ารักได้ไม่นานแล้วมันก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ดื้อๆแบบเรานี่แหละ เราก็จะเริ่มคลายจากกาม และด้วยการพิจารณาความไม่งามทั้งหลายจะทำให้เราลดความหลงใหลในตัวเด็กคนนั้นหรือเด็กที่เราปั้นจินตนาการไว้ว่าจะเป็นลูกของเราในอนาคตได้มากขึ้น
2.) อัตตา
ในมุมของอัตตานั้นจะล้ำลึกซับซ้อนกว่าในมุมของกาม เพราะมีหลายเหตุปัจจัยที่ส่งผลเป็นความยึดมั่นถือมั่นที่จะเอาเหตุการณ์และอารมณ์ต่างๆมาเสพ ให้สมใจในความเป็นตัวตน สนองความเป็นตัวกู ของกู!!
2.1) ยึดมั่นถือมั่น…บางครั้งคนเราก็ยึดมั่นถือมั่นโดยที่ไม่มีเหตุผล เช่นฉันต้องมีลูก ฉันอยากมีลูก เป็นความรู้สึกอยากล้วนๆที่แสดงออกมา แน่นอนว่าในความอยากนั้นมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งอาจจะไม่สามารถรู้ได้เลยด้วยซ้ำเพราะกิเลสนั้นซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก หลบซ่อนอยู่ลึกสุดลึกในใจ
เกิดเป็นสภาพของความเอาแต่ใจ จะพยายามสร้างเหตุผลมากมายให้การมีลูกนั้นดูมีประโยชน์ขึ้นมาได้ แต่ยิ่งหาเหตุผลก็จะยิ่งยึดมั่นถือมั่นเข้าไปอีก ทำให้เงื่อนปมของความอยากซับซ้อนมากขึ้นไปอีก หลงในอัตตาตัวเองมากเข้าไปอีก
หากเราสามารถลดความยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องมีลูกลง แล้วค่อยๆพิจารณาค้นลงไปถึงสาเหตุว่าสิ่งใดหนอที่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นจนเอาแต่ใจขนาดนี้ แน่นอนว่าหลังจากที่คลายความยึดมั่นถือมั่นได้และพิจารณาจนเกิดปัญญารู้ได้ว่าฉันยึดติดในอะไร ในกามอย่างนั้นหรือ ในโลกธรรมอย่างนั้นหรือ หรือเพราะปมด้อยของตัวฉันเอง
2.2) สนองอัตตา … เป็นมุมที่ค่อนข้างหยาบแต่จะไม่เอามากล่าวก็คงไม่ได้ คนที่สร้างลูกขึ้นมาเพื่อตัวเอง เพื่อเสพสมใจตัวเอง เพื่อให้ตัวเองได้เสพสุขในอนาคตเช่น เพื่อให้ลูกสืบต่อกิจการ เพื่อให้ลูกมาดูแลตัวเองตอนแก่ เพื่อให้ลูกมาแก้เหงา ฯลฯ ความอยากเหล่านี้เป็นความอยากที่เห็นแก่ตัวมากเพราะจะเอามาเสพเพื่อตนเองฝ่ายเดียว ทำดีหวังผล ทำตัวเป็นนักลงทุน โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า “ลูก” เป็นเครื่องมือบำเรอความสุขให้ตนสมใจ
2.3) โลกธรรม …คนบางคนก็ไม่ได้ติดตรงที่ว่าอยากมีลูกเพราะเขาน่ารักหรอก แต่ติดตรงที่ว่าถ้าไม่มีเดี๋ยวใครเขาจะว่าไม่มีน้ำยา ไม่ครบองค์ประกอบของครอบครัว ซึ่งโดยปกติแล้ว คนเรามักจะพูดจาเสริมกิเลสกันและกันเมื่อเจอกับคู่แต่งงานที่ยังไม่มีลูกว่า , เมื่อไหร่จะมีน้อง , ไม่อยากมีหรอ , มีลูกเร็วๆนะ เดี๋ยวจะโตไม่ทันใช้ ,เมื่อไหร่จะมีลูกมาให้พ่อกับแม่ดูล่ะ ฯลฯ สารพัดถ้อยคำที่คอยกระตุ้นโลกธรรมของเราให้สั่นไหว คนที่พ่ายต่อโลกธรรมมักจะหลงไปในคำพูดยุยงของกิเลส หลงเชื่อไปตามโลก มีลูกไปตามโลก เพื่อที่จะเสพสมใจบางอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอง
2.4) ปมด้อย…คนบางคนมีปมด้อยที่ฝังมาตั้งแต่เด็กๆ เช่นพ่อแม่เลี้ยงมาไม่ถูกใจ ไม่สมดังใจหมาย ได้รับการดูแลที่รู้สึกว่าไม่เป็นมาตรฐาน เกิดเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ สะสมลงจนตกผลึกกลายเป็นปมด้อย เป็นอัตตาตัวหนึ่ง
มีให้เห็นไม่น้อยกับคนที่สนองตัณหาลูกด้วยปมด้อยของตัวเองเช่น สมัยตนเองเด็กๆไม่ได้ของเล่น พอมีลูกเลยระบายปมด้อยนั้นลงที่ลูก ซื้อของเล่นให้ลูกอย่างเต็มใจเพราะต้องการใช้ลูกเป็นสื่อในการสนองสิ่งที่ขาดในใจของตนเอง
ในมุมของความอยากมีลูกคนที่มีปมด้อยจะรู้สึกในใจอยู่ลึกๆว่าตนเองนั้นน่าจะทำได้ดีกว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงมา คิดว่าจะทำให้ดีกว่าถ้าได้ทำ อยากจะสร้างลูกขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ปมด้อยตัวเองว่าฉันทำได้ นี่ไงฉันเลี้ยงลูกได้ดีกว่า เป็นการใช้ลูกมาเป็นเครื่องสนองปมด้อยตัวเองไปในตัว
2.5) หลงในธรรมชาติ…ความเข้าใจที่ว่าการใช้ชีวิตหรือการปฏิบัติธรรมคือธรรมชาตินี่แหละคือความเห็นที่ทำให้เข้าใจผิดว่าคนเกิดมาแล้วต้องสืบพันธุ์ออกลูกออกหลาน แม้ว่าในสังคมปัจจุบันจะมองดูเหมือนเป็นความสมบูรณ์ของครอบครัว เป็นผลแห่งความสุขในชีวิตคู่ เป็นหน้าที่ของคนในสังคม การจะมีความเข้าใจเช่นนี้ก็คงไม่ผิดไปจากหลักของโลกนัก
แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า สิ่งที่เราเกิดมาแล้วควรละเสียคือการเสพเมถุน ท่านว่าแค่ใช้อาศัยเกิด แต่เกิดมาแล้วไม่ต้องไปทำแบบนั้น แทบไม่ต้องพูดถึงการมีลูกเลย เพราะท่านให้ละการสมสู่แล้วเรื่องลูกนี่ยังไงก็ต้องละเว้นอยู่แล้ว
คนที่หลงติดหลงยึดก็จะมองว่าไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็ถูกของเขา เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ สวนทางกับธรรมชาติ คนอื่นเขายินดีในการมีลูกกัน แต่สาวกของพระพุทธเจ้าต่างไม่ยินดี นี่มันขัดกับธรรมชาติอย่างชัดเจน
ถ้าให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติคนก็ไม่ต้องมีศีลธรรมกันมากนัก ปล่อยไปตามธรรมชาติ เสพกิเลสไปตามธรรมชาติและเสื่อมไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าอยากเป็นธรรมชาติก็ไม่ยาก แค่ปล่อยไปตามสบายไม่ต้องศึกษาธรรมะให้มันหนักหัว ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ทำใจยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นเอง ว่าแล้วก็เสพเมถุนสมสู่คู่ครอง มีลูกกันต่อไปตามธรรมชาติ
การมีลูกไม่ใช่คำตอบในชีวิตคู่ ไม่ใช่ความสมบูรณ์ของคู่ครอง ความรักไม่ได้ทำให้เกิดลูก แต่เป็นความใคร่ เสพเมถุน สมสู่กันจนเกิดลูก ดังที่เห็นได้ทั่วไปในสังคม มีเด็กจำนวนมากเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และเด็กจำนวนมากเกิดขึ้นมาโดยไม่มีวันได้ลืมตาดูโลก
การที่เรารู้สึกยินดีรักใคร่ในตัวของคู่ครอง เราเข้าใจว่าคู่ครองเป็นคนดี แต่ก็ไม่ได้หมายว่าลูกจะเป็นคนดี คู่ครองเรายังพอจะเลือกเฟ้นได้บ้างจากศีลธรรม แต่ลูกนั้นเลือกไม่ได้ เป็นใครก็ไม่รู้มาเกิด เรากำลังจะเชิญใครก็ไม่รู้เข้ามาในชีวิตคู่ให้มันยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก เลือกก็เลือกไม่ได้ แถมยังต้องมาคอยบำรุงบำเรอกิเลสลูกจนกลายเป็นภาระอีก เป็นทุกข์ตามธรรมชาติของคนมีกิเลสจริงๆ
การที่เราจะสวนกระแสธรรมชาตินั้นไม่ได้มีผลให้จำนวนประชากรในโลกลดลงแม้แต่น้อย ในแต่ละวันนี้แค่ในประเทศไทยก็มีคนเกิดวันละ 2000 กว่าคนแล้ว ส่วนคนที่จะมาลดความอยากได้นั้นจะมีสักกี่คน ใครจะยอมเสียสละไม่มีลูก ใครจะมีปัญญาเห็นได้ว่าการมีลูกนั้นเป็นทุกข์
เมื่อสถิติในประเทศนั้นเกิดปีละ 7-8 แปดแสนคนต่อปี นี่แค่ในประเทศนะถ้าทั่วโลกจะเยอะขนาดไหน เพราะการมีลูกนี่มันไม่ได้เกิดด้วยปัญญาแต่มันเกิดด้วยอวิชชา ไม่ต้องมีปัญญาก็มีลูกได้ คนป่าก็มีลูกได้ แล้วยังไงล่ะ เราก็มีอัตตาซ้อนว่าเราจะผลิตลูกที่เก่งและดีขึ้นมาเพราะเราหลงว่าตัวเราเก่ง เราฉลาดขนาดนี้ลูกเราต้องดีแน่นอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าลูกที่จะมาเกิดนั้นจะเป็นใคร เดรัจฉานกลับชาติมาเกิดหรือเจ้ากรรมนายเวรกลับมาทวงหนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
คนมีปัญญานี่เขาจะไม่เป็นไปตามธรรมชาตินะ เขาจะไม่เห็นด้วย เพราะเขาเห็นอยู่เต็มๆตาว่ามันเป็นทุกข์ มีลูกยังไงมันก็เป็นทุกข์ มันไม่มีสุขเลยสักนิด แล้วจะไปเป็นทุกข์ให้มันโง่ทำไม ทุกวันนี้ก็โง่พออยู่แล้วจะไปหาเรื่องหาภาระใส่ตัวอีกทำไม แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดนะ ไม่ได้ชังเด็กหรือชังคนมีลูกแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าโลกก็แบบนี้ คนที่เป็นไปตามโลกก็แบบนี้ การใช้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติในโลกของกิเลสมันก็แบบนี้
– – – – – – – – – – – – – – –
12.1.2558
มะเขือเทศสอนธรรม : ปลูกอย่างได้อีกอย่าง
มะเขือเทศสอนธรรม : ปลูกอย่างได้อีกอย่าง
…ข้อคิดจากการปลูกต้นไม้กับการเลี้ยงดูบุตรและดูแลจิตวิญญาณ
บางครั้งเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นก็สามารถสอนให้เราเข้าใจธรรมได้ คนที่คอยเฝ้าสังเกตและจับใจความของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยแยบคายก็อาจจะเจอความหมายที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้
เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องต้นไม้ของแม่ แม่เป็นคนที่ชอบปลูกต้นไม้และเริ่มจะปลูกผักไม่นานมานี้ แม่สนใจที่จะปลูกพริกหวาน ซึ่งเก็บเมล็ดมาจากลูกที่ซื้อมากิน แต่ผักส่วนมากที่ปลูกนั้นก็ไม่ได้เติบโตจนเห็นผลได้เท่าไรนักด้วยข้อจำกัดของแสงในพื้นที่ จนกระทั่งแม่ได้ลองย้ายต้นกล้ามาปลูกบนชานบ้านที่โดนแสงเต็มวัน ต้นพริกหวานที่แม่ปลูกไว้ค่อยๆโตขึ้นอย่างรวดเร็วผิดกับที่เก่าที่เคยอยู่
จนกระทั่งวันหนึ่งต้นพริกหวานที่เคยมั่นหมายได้ออกดอกออกผล แต่ผลนั้นกลับกลายเป็นมะเขือเทศ??? แม่เองยังเข้าใจว่าตนเองนั้นได้ปลูกพริกหวาน เพราะว่าเพาะเมล็ดกับมือ อีกทั้งไม่มีความสนใจที่จะปลูกมะเขือเทศอีกด้วย
แน่นอนว่าจริงๆแล้วแม่ปลูกมะเขือเทศตั้งแต่แรก แต่ความเข้าใจผิดนั้นเริ่มตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่เคยเห็นซองเมล็ดมะเขือเทศที่แม่ซื้อมาสักครั้งเดียว เพราะปกติจะดูเมล็ดพันธุ์ที่แม่ซื้อมาอยู่เหมือนกัน และแม่เองก็ไม่เคยสนใจหรือเก็บเมล็ดมะเขือเทศเช่นกัน ความเป็นไปได้อย่างเดียวคือซื้อเมล็ดพันธุ์ผิดตั้งแต่แรก ….แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ยังไม่เข้าถึงสาระสำคัญ
1). เลี้ยงไม่โต
การจะได้เห็นผลนั้นไม่ได้ง่ายเพียงแค่ปลูกแล้วรดน้ำ ยังมีปัจจัยที่ส่งผลหลักนั่นคือแสงแดด ต้นไม้แต่ละชนิดใช้แสงแดดในการสังเคราะห์ชีวิตไม่เท่ากัน บางต้นแดดน้อยก็งามดี บางต้นแดดมากจึงจะโต ต้นไม้ทุกต้นมีข้อกำหนดในการเติบโตของมันอยู่ มันควรจะได้รับธาตุอาหารเท่าไหร่นั้นไม่มีใครรู้ เราซึ่งเป็นผู้ปลูกต้นไม้นั้นต้องคอยสังเกตเองว่าสิ่งที่เราให้ไปนั้น เป็นไปในทิศทางที่เจริญหรือเสื่อมลง
เหมือนกับการเลี้ยงดูเด็กสักคนหนึ่ง เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาต้องการอาหารแบบไหน ที่จะทำให้ร่างกายและจิตใจของเขาเจริญไปในทางบวก การเลี้ยงดูแบบไหนจะทำให้เขาเติบโตเป็นคนดี เราต้องเฝ้าสังเกตเป็นนักวิเคราะห์ นักสถิติ ใส่ใจมากพอที่จะเลี้ยงเขาให้เกิดผลดีได้
เราไม่สามารถใช้ตำราอ้างอิงวิธีการปฏิบัติกับเด็กทุกคนได้ คนเราทุกคนมีกรรมต่างกัน เราจึงไม่สามารถใช้ค่ามาตรฐานวัดใครได้ เราไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กคนนี้ต่ำหรือสูงกว่ามาตรฐานเพราะเขานั้นมีมาตรฐานตามกรรมของเขาเอง เขาจะโตได้ก็ต่อเมื่อเขาได้รับปัจจัยที่เหมาะสมกับกรรมของเขา
หากเราเป็นคนปลูกต้นไม้ที่ไม่ได้ใส่ใจองค์ประกอบของต้นไม้ต้นนั้น แม้ว่าจะรดน้ำดูแลทุกวัน ใส่ปุ๋ยพรวนดิน แต่หากขาดธาตุที่ต้นไม้นั้นต้องการ แม้ว่าเราจะรักและใส่ใจเพียงใดแต่กลับไม่เรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมชาติของต้นไม้นั้น เราก็จะไม่มีวันเห็นมันโตดังที่ใจเราหมาย
2). ปลูกพริกหวานได้มะเขือเทศ
ในเรื่องตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่าตอนแรกตั้งใจปลูกพริกหวานแต่กลับโตมาเป็นมะเขือเทศ ในหัวข้อนี้แบ่งออกได้เป็นสองมุม
2.1)ปลูกอย่างได้อีกอย่าง
ความบังเอิญในการปลูกต้นไม้ผิดจากที่คิดไว้นั้นยังพอสามารถหาต้นตอหาสาเหตุได้ แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการสร้างบุตรสักคนนั้นกลับเป็นเรื่องเร้นลับยากจะหาคำตอบ
แน่นอนว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดต่างหมายมั่นว่าตนนั้นจะเป็นผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ดีงาม จะสร้างเด็กที่เป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคนแข็งแรง เป็นคนฉลาด สารพัดคุณสมบัติที่ดีตามแต่จะฝันไปได้ เปรียบเสมือนกับเราเลือกซองเมล็ดผักมา ก็คิดว่าผักที่ปลูกนั้นจะเป็นดังใจหวัง
เด็กที่มาเกิดนั้น เขาเกิดมาพร้อมความหวังของพ่อแม่ แต่ความหวังนั้นไม่ใช่ความจริง เมื่อวันที่ถึงเวลาอันควร ความจริงก็จะปรากฏให้เห็นว่าสิ่งที่เราคาดหวังนั้นไม่ได้เป็นดังใจหวังเสมอไป เหมือนกับที่ปลูกพริกหวานได้มะเขือเทศ แต่เรื่องของลูกนั้นซับซ้อนยิ่งกว่า มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้สาเหตุ พ่อก็เป็นคนดี แม่ก็เป็นคนดี แข็งแรงสุขภาพดี แต่ลูกเกิดมากลับพิการ งอแงเอาแต่ใจ โตมานิสัยไม่ดี
เรื่องแบบนี้มีให้เห็นเป็นปกติ เราผิดพลาดกันตั้งแต่ตอนไหน? ก็ตั้งแต่ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเราเลือกซองเมล็ดผักมาปลูกนั่นแหละ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเมล็ดในซองเมื่อเพาะแล้วจะงอกออกมาเป็นต้นรูปร่างลักษณะอย่างไร หรือผิดเพี้ยนไปแบบไหน เหมือนกับเมื่อเราคิดจะมีลูก เราก็ดูดีแล้วนะว่าพ่อก็เป็นคนดี แม่ก็เป็นคนดี เราก็มั่นใจว่าลูกเราจะต้องดีแต่มันไม่ใช่เสมอไป เรื่องโลกมันไม่เที่ยงเพราะเขาก็มีกรรมของเขามาเกิด กรรมของเขาเท่านั้นที่จะกำหนดชีวิตของเขา ไม่ใช่เราที่เป็นคนปลูก คนปลูกหรือพ่อแม่นั้นเป็นเพียงผู้ที่รับผลของกรรมที่ตัวเองปลูกเท่านั้น
แต่ใช่ว่าปลูกอย่างได้อีกอย่างจะไม่ดีเสมอไปเพราะก็มีหลายกรณีที่พ่อแม่ก็ไม่ได้คิดจะมีลูกแต่เด็กก็มาเกิดแล้ว หรือไม่มีเวลาใส่ใจดูแลลูก แต่เด็กเหล่านั้นก็เติบโตเป็นคนดีได้ ทั้งนี้เพราะเมล็ดพันธุ์หรือเด็กเหล่านั้นมีกรรมดีอยู่แล้ว เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีอยู่แล้ว ไปตกที่ไหนก็โตได้ แม้จะแห้งแล้งกันดารก็โตได้ แบบนี้ก็มีเหมือนกัน
2.2) กลายพันธุ์จากการเลี้ยงดู
แต่ก็ใช่ว่ากรรมเก่าจะเที่ยงไปทั้งหมด เหมือนกับที่เราซื้อเมล็ดผักมาปลูกบางทีมันก็มีการกลายพันธุ์จากการเลี้ยงดูของเรา เช่น ใส่สารเคมีมากเกินไป ให้แดดน้อยไป ให้น้ำมากไป แม้ว่าผักนั้นจะอยู่ได้แต่มันก็จะอยู่แบบปรับตัวตามปัจจัยเท่าที่มีจนกระทั่งแข็งแกร่งขึ้นวิวัฒนาการกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่
การกลายพันธุ์เป็นได้ทั้งในด้านร้ายและดี แม้เมล็ดพันธุ์นั้นจะเป็นเมล็ดที่มีคุณภาพ แต่หากเราใส่ปุ๋ยบำรุงมากเกินไป ให้ปัจจัยที่ไม่เหมาะสมกับมันจนเกินไปมันก็จะกลายพันธุ์ได้ เหมือนกับการเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง เนื้อแท้ของเด็กนั้นดีอยู่แล้ว แต่พ่อแม่กลับคอยสนองกิเลสให้ลูก คอยบำรุงบำเรอให้ลูก ทำผิดก็ไม่ตักเตือน ไปแกล้งคนอื่นก็ยังว่าคนอื่นผิด แบบนี้ก็เป็นกรรมใหม่ที่ทำให้ลูกเสียคน กลายพันธุ์ไปในทางเสื่อมได้เช่นกัน
ส่วนในทางดีนั้น เช่น แม้เมล็ดพันธุ์นั้นจะด้อยคุณภาพ แต่ถ้าให้การบำรุงที่เหมาะสมก็อาจจะเจริญไปด้านดีได้ ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่เกิดมาในสังคมที่ไม่ดี มีสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมจากศีลธรรม แต่ถ้าพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูคอยเป็นตัวอย่างในทางที่ดี สอนที่สิ่งที่ดี พาให้เป็นคนดี ประหยัด มีน้ำใจ เสียสละ แบบนี้ก็เป็นกรรมใหม่ที่ทำให้เกิดความเจริญขึ้นได้ เป็นการกลายพันธุ์ที่เป็นไปในทิศทางที่ดี
3).ผลที่แท้จริง
ต้นไม้กับคนก็คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าให้ปัจจัยที่เหมาะสมก็จะให้ผลที่เหมาะสมเช่นกัน หลังจากที่เราเฝ้าสังเกตและเข้าใจกับต้นไม้ต้นนั้น เมื่อเราตัดความเชื่อที่บอกต่อกันมา ความรู้พื้นฐานบางอย่าง หรือมาตรฐานทั่วไปที่ใช้กับต้นไม้ต้นนั้น หันมาใช้ความรู้ใหม่ที่ได้จากการสังเกตจริง เป็นของจริง เป็นความเข้าใจที่ทำให้เกิดผลเจริญจริง เราก็จะมีโอกาสได้เห็นผลที่สวยที่สุดของต้นไม้ต้นนั้น
เช่นเดียวกับเด็กคนหนึ่ง การที่เขาจะเติบโตและสร้างสิ่งที่ดีงามหรือประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น ส่วนหนึ่งก็จะเกิดจากการดูแลเอาใจใส่ของพ่อแม่ การเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจตามกรรมของเด็กคนนั้น ปล่อยวางอัตตาความยึดมั่นถือมั่น เลิกเปรียบเทียบ เลิกตั้งความหวังเพื่อตนเอง และเลี้ยงดูเอาใจใส่ตามปัจจัยที่เหมาะสมที่สุดกับเด็กคนนั้น
เด็กคนนั้นจึงจะมีโอกาสที่จะได้แสดงให้เห็นถึงผลจริงๆที่เขามี ไม่ใช่ผลตามมาตรฐานตามที่เป็น ผลที่เกิดขึ้นจริงนั้นไม่จำเป็นต้องสูงกว่ามาตรฐาน แต่จะถูกต้องและดีที่สุดตามกรรมที่ทำได้ เป็นขีดสูงสุด เป็นที่สุดแห่งกุศลที่หนึ่งจิตวิญญาณจะกระทำได้
…ทุกวันนี้เราผ่านมาเท่าไหร่แล้ว 20 , 30 , 40 , 50 ,… ปี เราเคยเห็นผลเจริญของตนเองบ้างหรือยัง? เราอาจจะเห็นผลทางโลก เป็นไปตามโลก ตามมาตรฐานโลก โดยทั่วไปคือมีปัจจัยสี่ มีอาหาร มีที่อยู่ มีเครื่องนุ่งห่ม มียารักษาโรค หรือกระทั่งการมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ปัจจัยเหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่เป็นไปในทางโลก สิ่งที่พาให้วนอยู่ในโลก
ผลที่แท้จริงไม่ใช่การเกิดมาแค่เรียนรู้ ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิต มีครอบครับ แก่ แล้วก็ตายไปหรอกนะ แบบนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า “โมฆะบุรุษ” คือคนที่เกิดมาเสียชาติเกิด เกิดมาใช้ชีวิตสร้างบาป สร้างกรรมชั่วมากกรรมดีนิดหน่อยแล้วก็ตายไปฟรีๆหนึ่งชาติ แล้วก็เกิดมาใหม่วนเวียนไปแบบนี้ สะสมโลกธรรมเสพสุขอยู่ในโลกไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นชีวิตหนึ่งที่เกิดมาจึงไม่มีความสำคัญใดๆเลยหากว่าไม่สามารถทำให้เกิดผลที่แท้จริงได้
ผลที่แท้จริงของหนึ่งดวงจิตวิญญาณนั้นไม่ใช่แค่เพียงความสำเร็จทางโลก ความมั่งคั่ง ความมีชื่อเสียง ความสุขลวงๆ สิ่งเหล่านี้เป็นผลปลอมๆ เป็นของลวงที่หลอกเราไว้ให้หลงในผลเหล่านี้จนไม่สามารถสร้างผลที่แท้จริงได้
และเมื่อขึ้นชื่อว่าผลที่แท้จริง ก็ย่อมเกิดได้ยากยิ่งเช่นกัน เพราะต้องทวนกระแส ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นไปตามโลก ขัดกับโลก สวนทางกับโลกโดยสิ้นเชิง ผู้ที่พากเพียรปฏิบัติอย่างถูกตรงย่อมสามารถสร้างผลที่แท้จริงให้เจริญขึ้นมาได้ ดังเช่นเหล่าพุทธบริษัทในศาสนาพุทธ
พระพุทธเจ้าผู้เป็นเสมือนพ่อและพระอริยะสาวกผู้เป็นเสมือนแม่ คอยพร่ำสอนขัดเกลาเหล่าลูกผู้เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความดีจนเจริญเติบโตให้ผลที่แท้จริงได้จนส่งต่อผลเจริญเหล่านั้นผ่านมาหลายยุคหลายสมัย เป็นธรรมะที่สามารถพาเราและท่านเข้าสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืนใจปัจจุบันนี้นั่นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
11.1.2558
แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟ เลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส
แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟเลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส
สมัยก่อนผมเป็นคนที่ติดกาแฟมาก เพราะรู้สึกว่ามันช่วยให้กระชุ่มกระชวยเวลาทำงาน ซื้อกาแฟมาเป็นกระปุก วางไว้ข้างโต๊ะทำงานพร้อมกับกระติกต้มน้ำร้อน พร้อมเสมอเมื่อผมต้องการกาแฟ
ตอนนั้นผมกินกาแฟผสมกับโกโก้ ชอบมากๆ เพราะได้ความหอมหวานขมผสมปนเปกันไปในตัว กินทุกวัน วันละ 3 แก้ว แก้วหนึ่งจะใส่กาแฟสอง น้ำตาลสอง โกโก้หนึ่ง น้ำร้อนเทใส่แล้วชงกินกันไป เช้าหลังตื่น กลางวันหลังอาหาร และกลางคืนช่วงหัวค่ำ และทำงานไปจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงรับงานอิสระ
ถ้าเรากินกาแฟแล้วมีความสุขอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไปก็คงจะดีใช่ไหม? เราคงจะไม่มีวันเลิกเสพมันใช่ไหม?
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบกับอาการปวดตามข้อ ซึ่งรู้ได้ด้วยตัวเองทันทีว่าน่าจะเกิดจากกาแฟ หลังจากพยายามหาเหตุอยู่นานก็มั่นใจว่าเป็นกาแฟแน่ๆ เพราะมีเพื่อนบอกว่าเคยเป็นอาการเดียวกัน จึงค่อยๆลดปริมาณของกาแฟ และเพิ่มปริมาณโกโก้เข้าไปแทน
แต่อาการนั้นก็ยังไม่หมดไป เหมือนกับกาแฟมันสะสมจนเป็นภัยแล้ว แม้จะเติมเข้าไปเพียงน้อยนิดก็ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเหล่านั้นได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะเลิกกาแฟอย่างเด็ดขาดโดยพยายามเลิกโกโก้ไปด้วย
ซึ่งวิธีที่ใช้นั้นคือเลิกกาแฟแต่ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการดื่ม จึงหันมาดื่มชา ในช่วงแรกก็มีอาการคิดถึงกาแฟอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็สามารถเลิกกาแฟได้ หันมาติดชาแทน แสวงหาซื้อชาแบบต่างๆมาลอง โดยให้ชาที่ดื่มนั้นมีราคาไม่แพง หาได้ง่าย เพราะผมดื่มชาต่อวันเยอะมาก ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นคนดื่มน้ำบ่อย ก็ดื่มชากันทั้งวันนั่นแหละ
และมีอยู่วันหนึ่งซึ่งชาหมด และตอนนั้นผมกำลังติดงาน จะขับรถออกไปซื้อมันก็รู้สึกเสียเวลา ผมจึงได้พบกับทุกข์ของอาการติดชา พิจารณาต่อไปว่าถ้าเราไม่เสพติดชาขนาดนี้เราก็คงไม่ต้องทุกข์เพราะความอยากเวลาที่มันขาด มันพรากจากเราไป เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเลิกชา
วิธีเลิกชาของผมก็เหมือนกับตอนเลิกกาแฟ คือหาอะไรมาทดแทนชาและคงพฤติกรรมการดื่มน้ำให้มากไว้เหมือนเดิม จึงใช้วิธีตัดใบเตยที่บ้านมาต้มกิน เพราะเคยมีประสบการณ์ที่เคยกินน้ำใบเตยสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำได้ว่ามันหอม และหวานเพราะน้ำตาล ในกรณีของผมจะไม่ใส่น้ำตาล เอาแต่กลิ่นให้ได้ความรู้สึกคล้ายๆชา
เมื่อได้ต้มน้ำใบเตยแทนชาแล้วรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก สุดท้ายก็เลิกเสพติดชาได้ หันมาติดน้ำใบเตยแทน ก็พบกับความยากลำบากที่ต้องเดินไปตัดใบเตยมาต้มกิน ซึ่งจริงๆมันไม่ได้ยากเลย เพียงแค่เดินออกจากบ้าน เดินวนไปไม่ถึงสิบเมตร ก็สามารถนำใบเตยที่ปลูกไว้มาต้มกินได้
แต่ตอนนั้นมันคิดได้เองนะว่า ถ้ากินน้ำใบเตยได้ก็กินน้ำเปล่าได้แล้ว สุดท้ายก็เลิกต้มน้ำใบเตยกิน หันมากินน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง ในห้องทำงานจะมีขวดน้ำ 6 ลิตรซึ่งจะเอาไว้เติมใส่แก้ว กินน้ำวันหนึ่งก็ตก 3-5 ลิตร บางวันร้อนๆก็กินทั้ง 6 ลิตร
สุดท้ายก็เลิกกาแฟได้ เลิกชาได้ เลิกน้ำใบเตยได้ เคยกลับไปลองกินกาแฟครั้งหนึ่งพบว่ามันไม่รู้สึกสุข ไม่รู้สึกยินดีที่ได้กินเหมือนแต่ก่อนแล้ว และเมื่อพอกินเข้าไปก็ได้พบโทษจากกาแฟ นั่นคือนอนไม่หลับทั้งคืน สมัยก่อนเรากินหลายแก้วต่อวันก็ยังหลับได้ปกตินะ ตอนนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนว่าร่างกายมันดูดซึมดีขึ้น มันเลยได้สารจากกาแฟไปเต็มๆ ก็ตาค้างกันไป
กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนจะได้เรียนรู้การปฏิบัติธรรม เป็นการลด ละ เลิกโดยการเห็นทุกข์โทษภัยตามธรรมชาติ เป็นลักษณะของธรรมะที่มีในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องรอทุกข์มากระตุ้นเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะใช้วิธีดังนี้ได้ แต่ก็ได้แบ่งปันไว้เผื่อว่าใครจะลองเอาไปประยุกต์ใช้ดู
ถ้าใครกินกาแฟอยู่แล้วคิดว่าตัวเองไม่ติดกาแฟ ก็ลองพรากจากมันดูสักระยะ ก็อาจจะเห็นความอยาก เห็นกิเลสที่หาเหตุผลต่างๆนาๆที่จะกลับไปเสพกาแฟ นั่นแหละคือเราเสพติด พอติดแล้วมันก็ต้องทุกข์ ส่วนจะเห็นทุกข์วันใดนั้นก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรม
– – – – – – – – – – – – – – –
14.10.2557