Tag: ความกลัว

เผชิญแบบทดสอบ : เราพร้อมตายหรือยัง

September 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,796 views 0

เผชิญแบบทดสอบ : เราพร้อมตายหรือยัง

เผชิญแบบทดสอบ : เราพร้อมตายหรือยัง

พิมพ์บทความเกี่ยวกับเรื่องตายๆกันมาเยอะแล้ว ก็ยังไม่เคยจะได้เล่าประสบการณ์กันสักที บังเอิญว่าเมื่อวานนี้มีเหตุการณ์ที่เข้ามาทดสอบว่าเราเองพร้อมสำหรับความตายหรือยัง…

เมื่อวานมีธุระที่ต้องเข้าไปในเมือง แถวๆชิดลม โดยนั่ง“รถโดยสารปรับอากาศ” สาย 73ก ไป นั่งจากกลางๆลาดพร้าว ไปจนถึงรัชดา ทุกอย่างก็ราบเรียบดีไม่มีปัญหา จะมีก็แค่ฝนที่ตกปรอยๆอยู่ทำให้รถติดบ้างเท่านั้น

ผมนั่งเบาะข้างหลังรองสุดท้าย ข้างซ้ายด้านในติดกระจก เป็นมุมที่สามารถมองวิวข้างทางได้เพลินๆระหว่างรถติด มองคนเลิกงาน เดินกางร่มกันไปตามทาง คนในรถก็ยืนกันแน่น คุยกันบ้าง เล่นโทรศัพท์กันไปบ้าง ทุกอย่างดูเหมือนปกติดี

ในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่ มีเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “ เปิดประตู!!” ทุกสายตามองไปยังต้นกำเนิดเสียง มีอีกหลายเสียงตะโกนขึ้นตามกันมาให้เปิดประตู ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดเสียงโวยวาย มีควันสีขาวๆลอยฟุ้ง ทุกคนรีบลุกขึ้นพยายามจะหาทางออกกันหมด

ด้วยความที่คนแน่นมากก็ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย สักพักคนขับก็เปิดประตูให้ ผู้คนจำนวนมากวิ่งทะลักออกจากรถ คนที่อยู่หลังรถด้านขวาพยายามเปิดประตูฉุกเฉินแต่ก็เปิดไม่ออก มีเสียงพูดกันขึ้นมาว่าแก๊สรั่วรึเปล่า? ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมนิ่งๆ ดูเหตุการณ์ไป เพราะถึงจะลุกออกไปก็ติดคนอยู่ดี

ขณะนั้นเอง กระเป๋ารถก็ตะโกนบอกให้ผู้คนอย่าวิ่ง ไม่ต้องวิ่ง ผมก็เห็นด้วยนะ เพราะยิ่งวิ่ง ยิ่งเบียด ก็ยิ่งอันตราย ในขณะนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีอะไรรั่ว หรืออะไรจะระเบิดก็ไม่รู้ ทุกคนรู้แค่ว่าต้องหนีเท่านั้น

ก็คิดอยู่นะ ว่าถ้ามันมีอะไรระเบิดจริงๆก็คงจะรอดยากละนะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก คิดได้ดังนั้นก็มองดูคนที่ทยอยลงจากรถต่อไป

ผู้คนเริ่มลงจากรถไปได้ครึ่งคันแล้ว ผมก็คงต้องเริ่มจะลุกกับเขาบ้าง ที่เบาะข้างหน้าเขาคงจะรีบมาก ก็เลยทำร่มหล่นไว้ ผมก็ถือลงไปด้วย เผื่อว่าจะเอาไปให้เขา (ใครก็ไม่รู้)

ระหว่างที่เดินไปหน้าประตู ก็เห็นผงสีขาวกระจายอยู่เต็มพื้น ได้กลิ่นฉุนจมูก กลิ่นแบบที่ดมนานๆคงจะแสบจมูก ข้าวของที่หล่นกระจายประปรายหน้าประตูรถ ผมลงมาพร้อมถือร่มชูขึ้นพยายามจะให้มีคนเห็น เรียกหาเจ้าของร่ม ก็ไม่เห็นจะมีใครสนใจ …ผมลืมนึกไปว่าในสถานการณ์แบบนี้ จะมีใครสนใจร่มของตัวเองล่ะ สุดท้ายก็เลยวางไว้แถวนั้น ต้องขออภัยจริงๆ ถ้าผมคิดได้ก่อนก็คงจะไม่หยิบลงมาด้วย…และถ้าคิดได้อีกทีก็คงเดินเอาไปวางที่เดิมให้

กระเป๋ารถ และคนขับยังดูเหตุการณ์อยู่ในรถ ผมก็ยืนดูอยู่สักพักไม่ถึงนาทีหรอก แต่เหมือนว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ก็มีคนเดินกลับเข้าไปขึ้นรถ ขณะที่มีเสียงคนหลายคนพูดกันระงมว่าใครจะเสี่ยงขึ้นไปอีก จริงๆเขาคงขึ้นไปหาของที่ทำหล่นละมั้ง แต่ก็อาจจะมีคนขึ้นไปนั่งต่อจริงๆก็ได้

ชีวิตในเมืองช่างดูไร้ทางเลือกจริงๆ ต้องกลับไปขึ้นรถที่เต็มไปด้วยสารเคมีที่กระจายออกมาเต็มรถ ผมพิจารณาดูแล้วว่าแค่เดินผ่านยังมีอาการแสบจมูก เลยเดินไปที่รถใต้ดินและยอมต่อรถไฟฟ้าอีกทีเพื่อไปถึงที่หมายแทนที่จะต้องไปนั่งสูดสารเคมีในรถ

สรุปกันหน่อย…

ผมเองได้เห็นผลจากการซ้อมตาย หรือที่เรียกว่า “การเจริญมรณสติ” ที่เคยทำอยู่บ่อยๆ มันทำให้เราใจเย็นลง ไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่ประมาท เห็นและยอมรับทุกอย่างตามที่เป็นจริง วิเคราะห์เหตุการณ์ตามข้อมูลที่ได้รับมา และก็ไม่ได้เป็นทุกข์กับมัน

การทดสอบนั้นควรจะมาแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการที่เราพยายามวิ่งเข้าหามัน ทั้งในความจริง หรือการคิดจินตนาการ พิจารณาไปถึงความตาย หรือ มรณสติ

แบบทดสอบความพร้อมก่อนตาย คงไม่ได้มีมาทดสอบเราบ่อยนัก การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้รับ การตรวจสอบใจตัวเอง การย่อยและขยายผลเหล่านั้นให้เกิดปัญญา คือ คุณค่าที่เราจะได้รับจากแบบทดสอบนั้น บางคนมีโอกาสได้เผชิญกับภาวะเสี่ยงตายหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้พิจารณาลงไปถึงรากแห่งความกลัวที่จะต้องตาย ซึ่งน่าเสียดายโอกาสเหล่านั้นมากๆ

แบบทดสอบนั้นไม่จำเป็นต้องรุนแรงเสมอไป บางครั้งกับบางคน เพียงแค่เห็นเหตุการณ์อุบัติเหตุในข่าว ก็สามารถเกิดปัญญาเข้าใจในเรื่องความตายได้แล้ว แต่บางคนผ่านการเฉียดตายมาหลายครั้งกลับไม่สามารถเข้าใจเรื่องความตายได้

การเจริญมรณสติ ไม่ได้ทำให้เรากล้า แต่ทำให้เรายอมรับอะไรได้ง่ายขึ้น เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นกับเรา

– – – – – – – – – – – – – – –

17.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

แด่วันสุดท้ายของเธอ…

September 11, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,209 views 0

แด่วันสุดท้ายของเธอ…

แด่วันสุดท้ายของเธอ…

ในชีวิตหนึ่งที่เกิดขึ้นมา เราคงมีโอกาสตายกันได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่การพลัดพรากจากกันนั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่วันใดก็วันหนึ่งที่เราจะต้องพรากไปจากหลายสิ่งหลายอย่างที่เรารักและหวงแหน ไม่ว่าจะเป็น วัตถุสิ่งของ คนรอบข้าง ชื่อเสียงเกียรติยศ กระทั่งความรู้สึกนึกคิดบางอย่างได้เสื่อมสลายและตายจากเราไปทีละน้อยทีละน้อย

คงจะมีหลายครั้งที่เราได้มีโอกาสเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ที่กำลังจะจากไป ผู้ที่กำลังจะทิ้งร่างกายนี้ไป ผู้ที่กำลังจะตายไป… แต่โอกาสเหล่านั้นมักมีอยู่ในช่วงสั้นๆ เป็นช่วงเวลาที่เราเองก็มักจะก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ไม่รู้จะพูดอย่างไร และไม่รู้ว่าจะคิดอะไรจึงจะดี… ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับการวางขันธ์ หรือการส่งผู้ที่กำลังจะจากไปนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรเรียนรู้ไว้ เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้ที่กำลังจะจากไป

คิด พูด ทำ อย่างไรดี…

แต่ถ้าหากเราไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ก็ขอให้นึกไว้ว่า พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำบรรยากาศให้ดีที่สุด คือการคิด พูด ทำ ให้ตนเองและผู้ป่วยเกิดความรู้สึกที่ดี

ผู้ดูแลควรจะมีทักษะในการพูดให้เป็นกุศล พูดให้เกิดความรู้สึกดี รู้จักประคองความรู้สึกของผู้อื่น ช่างสังเกตและแววไวในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ซึ่งอาจจะใช้วิธีใดก็ได้ตามเหตุและปัจจัย แต่ก็มีเป้าหมายเดียวคือทำให้จิตใจของทุกคนเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความรู้สึกดีๆ ก่อนจะจากกันไป และแม้ว่าจะไม่เกิดดีตามที่ได้คาดหวังไว้ ก็สามารถปล่อยวางความยึดดีเหล่านั้นได้

การพาผู้ที่กำลังจะจากไป ย้อนกลับไปสู่อดีต คือพากลับไปสู่ความทรงจำดีๆ เรื่องราวดีๆ ที่เคยมีร่วมกัน โดยให้ระลึกไปถึงความคุ้มค่าที่ได้เกิดมาไม่ใช่รำพึงรำพัน บุญกุศลต่างๆที่เคยทำมา การขอโทษและให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน เพื่อลดการผูกมัดกับสิ่งที่ฝังใจในอดีต

การพาผู้ที่กำลังจากไป เดินทางไปสู่อนาคต อ้างอิงจากอดีตคือบุญกุศลที่เคยทำมา เมื่อทำกรรมดีมา ยังไงกรรมก็ต้องพาไปพบเจอสิ่งที่ดี ทางข้างหน้าไม่ได้เลวร้าย เพียงแค่ทิ้งร่างกายที่เก่าและทรุดโทรมไปเอาร่างใหม่เท่านั้น เพียงแค่หลับไปตื่นขึ้นมาก็เป็นอีกโลกหนึ่ง อีกภพหนึ่ง อีกตอนหนึ่งของเราแล้ว เหมือนดั่งในจุดเริ่มต้นตอนเราเกิดมาชาตินี้ ก็เป็นเพียงไปเล่นละครในบทใหม่เท่านั้น โดยพูดไปในทางบวกให้คลายกังวล เพราะความกลัวมักจะเกิดจากความไม่รู้ แต่ถ้ารู้เรื่องกรรมและผลของกรรม จะโลกนี้หรือโลกหน้าก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป

การพาผู้ที่กำลังจากไป อยู่กับปัจจุปัน หลังจากดับความกังวลในอดีตและอนาคตได้พอสมควรแล้ว ก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่จะสร้างกุศลได้อย่างแท้จริง แม้ผู้ที่กำลังจะจากไปจะคิดเรื่องดีๆที่ตัวเองทำไม่ออก แต่ถ้าสามารถพาให้เขาได้คิดดี พูดดี ทำดี ในช่วงเวลานี้ ก็จะสามารถสร้างทั้งอดีตที่ดีและอนาคตที่ดีในเวลาเดียวกัน

เมื่อเราคลายทุกข์ในจิตใจที่เกิดขึ้นในอดีต อนาคต และปัจจุบันได้แล้ว ก็ให้ประคองจิตอันเป็นกุศลเหล่านั้นไปเรื่อยๆ โดยใช้ความอดทนเสียสละ เข้าใจและเห็นใจ ตั้งสติของตัวเองให้มาก โดยไม่ให้เหตุแห่งความเสียใจของตนนั้นไปสร้างจิตอกุศลให้เกิดขึ้น เช่น ถ้าเราเผลอร้องไห้เสียใจฟูมฟาย ก็อาจจะสร้างทุกข์ใจให้กับผู้ที่กำลังจะจากไปเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นการประคองสภาพจิตที่เป็นกุศลจนถึงวินาทีสุดท้าย จำเป็นต้องใช้ความตั้งมั่นอย่างมาก

เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่น ก่อนหน้านี้เราพูดไปแล้วเขาก็ดีขึ้น แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็คิดกังวลอีกครั้ง เราก็ต้องประคองให้เขาคิดเป็นกุศลอีกครั้ง โดยไม่คิดโกรธ รำคาญ ย่อท้อ หดหู่ เพราะภาวะของคนใกล้ตายนั้นจะมีความรุนแรง สับสน ซับซ้อน แปรผันตามกิเลสและวิบากบาปที่เขาเหล่านั้นสะสมมา

ทุกข์จากใจ…

ความกลัว ความกังวลของผู้ที่กำลังจากไปนั้นมาจากกิเลสที่ยึดมั่นถือมั่นฝังลึกอยู่ข้างในจิตใจ แม้ว่าจะเคยแสดงบทเป็นคนเข้มแข็งมาทั้งชีวิต แต่ในช่วงสุดท้ายก็อาจจะแสดงความอ่อนแอทั้งหมดที่เก็บไว้ออกมาก็เป็นได้ การจะพาให้ผู้ที่กำลังจากไปนั้นล้างกิเลสเหล่านั้นคงจะทำได้ยาก เพราะเวลาคงมีไม่มากพอและเราเองก็คงจะไม่รู้วิธีล้างกิเลสเหล่านั้น ดังนั้นจะไปคิด หรือไปบอกให้เขาว่า อย่ากังวล อย่ากลัว อย่ายึดมั่นถือมั่น ก็คงจะเป็นไปได้บ้างสำหรับบางคน ที่คงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถปรับใจให้ปล่อยวางได้ ดังนั้นแม้สุดท้ายเราจะพยายามเต็มที่แล้ว แต่เขาก็ยังต้องทนทุกข์เพราะใจของเขาเอง เราก็คงต้องปล่อยวางด้วย

แม้แต่ความกังวลของเราเองนั้น ก็ควรจะต้องตัดไปให้ได้ก่อน เพราะการที่เรายังคิดมาก กังวล เครียด กลัว นั้นจะสร้างบรรยากาศที่ขุ่นมัว แม้จะสามารถแสดงออกว่าสดชื่นแต่คนอื่นก็ยังจะสามารถรู้สึกถึงความทุกข์ข้างในได้ การทำใจของตัวเองให้ยอมรับการจากไปของเขาหรือเธอนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามทำให้ได้เสียก่อน ยอมรับว่าทุกคนก็ต้องเจ็บป่วย ทุกคนก็ต้องตาย และเราเองก็ต้องจากและพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ไม่มีสิ่งใดที่จะตั้งอยู่อย่างคงทนถาวรเลย

หน้าที่ของเรานั้นคือทำใจให้เป็นหลักให้เขายึดเกาะ ก่อนที่เราจะส่งให้เขาไปยึดอาศัยในสิ่งที่เป็นกุศลมากกว่าเรา ดังนั้นถ้าคนที่คอยประคองอย่างเรา มีจิตใจหวั่นไหวดังไม้ปักเลน ทั้งเขาและเราก็คงจะร่วงหล่นสู่อกุศลจิตได้ง่าย ดังนั้นการทำตนให้หนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหว จะช่วยพาเขาไปสู่สิ่งกุศลอื่นๆที่เราจะนำพาไปได้อย่างราบรื่น

จากโดยไม่ได้ลา…

ในหลายๆครั้ง เรามักจะต้องพบกับการจากโดยที่ไม่มีโอกาสลา อาจจะเป็นคนที่ไม่ได้พูดคุยพบเจอกันมานานแล้ว หรืออาจจะเป็นที่คนที่พึ่งบอกลาแยกย้ายกันไปได้ไม่นานนี้เอง เมื่อไม่ได้ลาก็ไม่เป็นไร… แต่ก็ให้ความรัก หลง โกรธ ชัง นั้นตายตามไปกับเขาด้วย ไม่ต้องเก็บเอาไว้กับเรา เมื่อเขาจากไปแล้วก็จะไม่มี “เรื่องระหว่างเราสองคน” อีกต่อไปดังนั้นความรู้สึกผูกพัน ยึดมั่นถือมั่น ยึดว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะไปในทางดีหรือร้ายนั้น ก็ขอให้ปล่อยลอยหายไปพร้อมกับชีวิตที่หายไปด้วย เหลือทิ้งไว้แต่เรื่องราว ประสบการณ์ เท่านั้น เราจะไม่ลืมเขา และเราจะไม่เสียใจ เพราะเรารู้ดีว่า…จากกันไม่ตลอดไป

อย่ากังวลไปเลย แล้วเราจะพบกันใหม่…ไม่มีสิ่งใดจากไปอย่างถาวร และไม่มีสิ่งใดอยู่กับเราตลอดไป เราต้องเจอกับการพบพรากจากลาอยู่อย่างนี้เสมอ เป็นแบบนี้ตลอดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ตราบใดที่เรายังต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ เราก็ต้องวนกลับมาพบกันอยู่เรื่อยๆ กลับมาร่วมบุญกุศลกัน กลับมาร่วมใช้กรรมต่อกันและกัน เหมือนอย่างที่เราเป็นในชาตินี้นี่เอง

– – – – – – – – – – – – – – –

10.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

นรกคนสวย

August 27, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,916 views 0

นรกคนสวย

นรกคนสวย

เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก เพราะใช่ว่าความสวยที่มีจะทำให้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเสมอไป และคนที่มีความสวยตั้งแต่กำเนิดเกิดมาก็ใช่ว่าจะพอใจในความสวยที่ตนมีกันทุกคน ยังต้องหลงวนเวียนไขว่คว้าหาวิธีที่จะพัฒนาหรือคงสภาพของความสวยนั้นไปตลอดกาล

ในบทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องความทุกข์ หรือนรกของความสวยงามในมุมของผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศที่เกิดมาก็มีทุกข์พิเศษแถมมามากกว่าเพศชายอยู่หลายประการ จึงขอยกเรื่องนี้มาเขียนในเฉพาะมุมทุกข์ของผู้หญิง

นรกของคนสวย…

ในสังคม ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหม ก็ต้องมีหญิงงาม แต่ถึงอย่างนั้นคำว่างามในแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน บางยุคต้องอ้วนบ้าง บางยุคต้องผอมเอวคอด บางยุคต้องหน้าตาแบบนั้นแบบนี้ เป็นความงามที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามกิเลสของคน

ชีวิตของคนสวยไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป ความมีเสน่ห์นั้นก็ทำให้ชีวิตยากลำบากหรือเป็นภัยได้เหมือนกัน เหมือนกับมีแม่เหล็กติดไว้ที่ตัว จะดูดอะไรต่อมิอะไรมาติดตอนไหนก็ได้ โดยเฉพาะการดึงดูดผู้ชายที่มีกิเลสเข้ามาหา ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้าหาผู้หญิงสวยก็มักจะหลงในรูป อยากเสพรูป เอาง่ายๆคืออยากจะได้แค่ความสวยนั้นแหละ ความสวยก็จะดึงคนมีกิเลสเหล่านี้เข้ามาพัวพันใกล้ๆตัว สร้างทุกข์ สร้างปัญหา สร้างความลำบากใจกันไป

คนที่สวยมากๆ ก็จะมีแต่คนเข้ามาในชีวิต อยากคุยด้วย อยากคบหา อะไรก็ว่ากันไป ทั้งมาแบบทีเล่นทีจริงและแบบจริงจัง จนถึงกระทั่งแบบที่เป็นภัย …แรกๆมันก็คงจะดี เพราะมีคนมาชอบ แต่พอเยอะๆเข้าก็เริ่มไม่ไหว เพราะต้องมาคอยตอบคำถามซ้ำๆเดิมๆ ถ้าไม่ตอบไม่รักษาน้ำใจก็กลัวเขาจะว่าหยิ่งเดี๋ยวความนิยมจะลดลง ด้วยความที่ตัวเองก็ติดภาพลักษณ์ ติดสรรเสริญ ติดโลกธรรม ว่าต้องดูดี ก็เลยต้องทำใจรักษามารยาทไปพร้อมๆกับรักษาสภาพความสวยของตนจึงกลายเป็นทุกข์ที่หนีไม่ได้ต้องยอมข่มยอมทนรักษาภาพความสวยต่อไป

ความสวยยังมีค่าบำรุงรักษาที่มาก ต้องจ่ายไปทั้งเงิน ทั้งเวลา ดังเช่นการซื้อเครื่องสำอางมากมายมาแต่งหน้าแต่งตา ใช้เวลาอยู่นาน เขียนแล้วเขียนอีก โดยทำไปเพื่อรักษาความสวยงามให้คงสภาพเดิม และยังมีกระบวนการรักษาความสวยหรือพัฒนาความสวยอีกมากมาย เช่น เข้าสปา ทำผม ผ่าตัด ฯลฯ ผู้หญิงที่หลงในความสวยจะต้องทุกข์จากตรงนี้อีกจุดหนึ่ง เพราะต้องหาปัจจัยมาบำรุงบำเรอตนโดยไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองสวยไปเพื่ออะไร บ้างก็ว่าเพื่อความมั่นใจ บ้างก็ว่าเพื่อให้คนสนใจ บ้างก็ว่าใช้ในการทำงาน บ้างก็ว่าสังคมเขาก็ทำกัน ก็เป็นเหตุผลที่ที่กิเลสใช้เป็นคำที่หลอกใจตัวเอง ทำให้คนสวยหลงวนเวียนอยู่กับความสวยของตน ทั้งๆที่สามารถเอาเวลาและเงินเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมาย

….กิเลสที่ผลักดันความสวย

หนึ่งในรากแห่งกิเลสของความสวย แท้จริงแล้วคือความอยากมีคู่ เหมือนกับสัตว์ทั่วไปที่ต้องทำให้ตัวเองโดดเด่นเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายมาสนใจ ความเป็นสัตว์เหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่เต็มที่ในคนเหล่านั้น และพัฒนาความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้นเมื่ออยู่ในรูปของคน

เมื่อคนอยากมีคู่ ก็เลยต้องทำให้ตัวเองสวยเด่น เพื่อที่จะคัดเลือกเอาคู่ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นคนที่พอจะปรนเปรอกิเลสของตนเองได้ โดยส่วนหนึ่งก็ต้องมาสนองต่อทุนแห่งความสวยของเธอเหล่านั้นให้ได้ก่อน และสนองต่อให้ได้ถึงกิเลสในอนาคตของเธอ

ในความเป็นจริงแล้ว คนสวยมีอยู่มากมาย แต่ผู้ชายที่เพียบพร้อมที่จะบำรุงกิเลสของคนสวยเหล่านั้นได้ มีอยู่ไม่มากนัก คนสวยบางคนที่เข้าใจว่าตัวเองโชคดี ก็จะมีโอกาสได้รับผู้ชายหนึ่งคนที่พร้อมจะดูแลปรนเปรอบำรุงบำเรอกิเลสของเธอเข้ามาในชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า เขาเองก็มีกิเลสของเขาเหมือนกัน และเธอเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะปรนเปรอกิเลสของเขา เรียกได้ว่าเป็นเหยื่อของกันและกันนั่นเอง

สุดท้ายถึงจะมีคนมาให้เลือก จนกระทั่งตกลงปลงใจแต่งงาน ก็อาจจะคบกันไปไม่ได้นาน เพราะว่าจุดขายของเธอคือความสวย ผู้ชายที่เข้ามาจะเสพความสวยของเธอได้ประมาณหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่งความอยากเสพในรูปของเขาเหล่านั้นจางคลายลงไป เมื่อถึงเวลานั้นความสวยที่มีจะไร้ค่าไปในทันที เหลือแต่ความจริง เหลือแต่คุณค่าแท้ในคนที่เคยสวยในสายตาของผู้ชายคนนั้น หากเธอยังมีจิตใจที่ดี ก็ยังจะพอคบกันไปได้ แต่หากเป็นผู้หญิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม ก็อาจจะเป็นเหตุให้มีอันเลิกรากันไป ส่วนเหตุผลในการเลิกรานั้นก็เป็นปลายทางของกิเลสจะเอามาตัดสินถูกผิดกันคงไม่ได้

ส่วนคนสวยที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หาคู่ไม่ได้สักที ทั้งๆที่ตัวเองก็อยากมี แต่เนื่องจากมีต้นทุนคือความสวยมาก ก็จะมีอัตตาก้อนหนึ่งที่ตั้งไว้ดั่งกำแพงว่าเธอจะต้องเจอกับคนแบบนั้นแบบนี้ เรียกง่ายๆว่าสเปคสูง เพราะโดยทั่วไปคนสวยก็จะมีคนให้เลือกมากมาย มาตรฐานของเธอก็จะขยับสูงไปเรื่อยๆ ตามคนที่เข้ามา เป็นเรื่องธรรมดาของกิเลสที่มีความต้องการมากขึ้นไปเรื่อยๆเรียกได้ว่า นอกจากจะไม่ขายต่ำกว่าทุนแล้วยังเพิ่มราคาประมูลขึ้นไปเรื่อยๆ

ทีนี้พอมีให้เลือกมาก ก็เลยยังไม่เลือก เพราะหมายมั่นว่าฉันจะต้องเจอสิ่งที่ดีกว่านี้ เยี่ยมกว่านี้ มากกว่านี้ เพราะทุกวันๆก็มีคนมาต่อคิวรออยู่แล้ว จนเวลาผ่านไปถึงกระทั่งวันที่เธอเริ่มรู้สึกตัวว่า ความสวยของเธอเริ่มจะจางหายไป และไม่สามารถทำให้มันกลับมาได้ กำแพงที่สูงชันจะค่อยๆ เตี้ยลง สเปคหรือข้อเรียกร้องของเธอจะลดน้อยลงตามไปด้วย จากที่เคยขอผู้ชาย หล่อ รวย ก็อาจจะเหลือแค่ รวย หรือไม่ก็เป็นแค่ผู้ชายที่มีความพร้อมจะดูแล จนกระทั่งขอให้เป็นแค่ผู้ชายก็เป็นได้ เรียกได้ว่า ลด แลก แจก แถมกันไปเลย

การมีสเปคที่น้อยลงนั้น สวนทางกับกิเลส เพราะการมีข้อจำกัดน้อยลงนั่นหมายความว่ากิเลสมากขึ้น มากจนยอมทำลายข้อจำกัดของตัวเองลงไปเพื่อให้ได้เสพสมในการมีคู่ จากที่เคยเป็นคนมีศีลมีธรรม ก็อาจจะยอมเวียนกลับไปเป็นคนไร้ศีลธรรม เพื่อแลกกับการมีคู่ ยอมใช้ความสวยหรือร่างกายที่เหลืออยู่แลกกับใครสักคนที่คิดว่าจะมาคอยดูแลในอนาคต ความกลัว ความคาดหวัง ความกังวลต่างๆ จะทำให้คนสวยเหล่านี้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะความสวยค่อยๆพรากจากเธอไป และโอกาสที่จะได้มาซึ่งคู่ที่เพียบพร้อมก็จะทยอยลอยหลุดไปด้วย

แม้ว่าคนสวยจะยอมลดสเปคลงมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้คู่ที่จะดูแลกันไปตลอดได้ เพราะด้วยวิบากแห่งความสวย ก็มักจะดึงคนมีกิเลสที่ยังหลงในรูปของความสวยมาอยู่ใกล้อยู่ดี การลดกำแพงของตัวเองลง ไม่ได้หมายความว่าจะเจอคนที่ดีขึ้น แต่หมายถึงเปิดโอกาสให้คนชั่วได้มีโอกาสเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น

การตกลงเป็นคู่กัน ไม่ได้หมายความเขาคนนั้นจะคงสภาพเดิมได้ตลอดไป ขึ้นชื่อว่าคนมีกิเลสก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และความสวยที่มีนั้นก็ไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมีกิเลส เพราะความสวยไม่ใช่ความดี แต่ก็เป็นรูปของกิเลสที่ส่งผลมาจากการที่เราได้สั่งสมความอยากสวยเอาไว้ เมื่อมีความอยากสวย เราก็ไปเสริมเติมแต่งให้มันสวย ใช้เวลาไม่นานนักมันก็สวยได้ ถึงแต่งไม่สวยก็ไปผ่าตัดให้มันสวย สิ่งเหล่านี้คือกิเลสที่สั่งสมก่อให้เกิดภพ เกิดชาติของความสวย เกิดมาเป็นคนสวยได้ แต่ก็เป็นคนสวยที่เต็มไปด้วยวิบากกรรมของกิเลส เป็นคนสวยที่มีแต่ทุกข์ ต้องประสบแต่ความพลัดพรากไม่สมหวังอยู่เรื่อยไป เพราะความสวยเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากความดี

…สวยจากความดี

ความสวยที่เกิดจากความดีนั้นสร้างได้ในชาตินี้ไม่ต้องรอในชาติหน้าเหมือนกัน เป็นความสวยที่สร้างมาจากความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือการมีพรหมวิหาร ๔ จะทำให้เป็นคนมีคุณค่า เป็นความสวยงามทางนามธรรม แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่สวย แต่ก็จะมีคนอยากเข้าใกล้ อยากคบหา น่ารู้จัก น่าอยู่ด้วย เป็นความสวยที่ข้ามพ้นรูปของความงามในความคิดของคนทั่วไป

เมื่อมีความเป็นพรหมอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นแบบไหนก็สามารถที่จะเป็นที่รักใคร่ คนนิยมชมชอบ มีมิตรสหาย มีสังคมรอบข้างที่ดีได้ โดยยังมีผลต่อเนื่องไปยัง ภพ ชาติ ถัดไปด้วยคือทำให้เป็นผู้มีโภคทรัพย์มาก คือมีทั้งร่างกาย ฐานะ ปัจจัย สังคม สิ่งแวดล้อมดี เป็นความงามที่เจริญไปตามธรรม ไม่ใช่สวยงามจากการปรุงแต่งของกิเลส ซึ่งเป็นทุกข์ โทษ ภัย วนเวียนกลับไปกลับมาไม่รู้จบ

– – – – – – – – – – – – – – –
27.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์