Tag: คนทุศีล

การกำจัดคนทุศีลออกจากหมู่คนดี

August 5, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,742 views 0

มีคนถามเข้ามาว่า เขาไปรู้เรื่องชู้สาวระหว่างพระกับสีกา เขาจะทำอย่างไรดี?

ตอบ เราก็เปิดเผยความจริงในส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อเราและผู้อื่น

ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็จะมีคนชั่วคนผิดศีลปนเข้ามาหาผลประโยชน์ในกลุ่มคนดีอยู่เสมอ ดังนั้น จึงต้องมีการกำจัดหรือชำระกันอยู่เป็นประจำ

ในสมัยพุทธกาลนี้ยังง่าย เพราะคนที่ทำผิด เมื่อถูกถาม ก็ยอมรับตามความเป็นจริง ถ้าใครได้อ่านพระไตรปิฎก ก็จะคุ้นเคยกับคำถามของพระพุทธเจ้าที่ถามประมาณว่า “เธอทำอย่างที่เขากล่าวหาจริงหรือ” ผู้ถูกถามที่ทำผิดจริงก็จะตอบว่า “เป็นจริงเช่นนั้นพระเจ้าข้า

แต่ในสมัยนี้ไม่ง่าย ความวกวนของกิเลสยิ่งทำให้คนมีมารยา ไม่ซื่อสัตย์ ปกปิด หมกเม็ด บิดเบือน ใช่ว่าจะจับได้ไล่ทันกันได้ง่าย ถามไปก็ไม่ตอบตามจริง เอาหลักฐานไปอ้างก็บิดเบือน ดีไม่ดีโจทย์ผู้กล่าวหากลับหรือไม่ก็ทำร้ายจนถึงฆ่าตัดตอนกันได้เลย

ดังนั้นคนที่จะชี้มูลความผิดในยุคปัจจุบันจึงต้องใช้ความระมัดระวังกันมากขึ้น การชี้ความผิดเป็นสิ่งดี แต่ก็ต้องระวังตัวด้วย เพราะคนชั่วสมัยนี้ร้ายลึก

ถ้าหลักฐานไม่แน่น เขาก็ดิ้นหลุดได้ง่าย คนชั่วที่มีอำนาจ มีบริวาร ก็จะมีคนหลงผิดคอยช่วยให้เขาได้พ้นข้อกล่าวหานั้น ดังนั้นจะชี้ความผิดคนชั่ว ทุศีล เน่าใน ฯลฯ พวกนี้ หลักฐานต้องแน่น และพยายามหาหมู่มวลที่มีกำลัง ปกป้องคุ้มครองตัวเองได้เป็นพวก

…ว่ากันตรง ๆ ผมก็ไม่ได้พูดทุกอย่างที่รู้หรอก ความจริงหลายเรื่องก็ระดับที่ทำลายศาสนาได้ แต่เราก็พูดตรง ๆ ไม่ได้ พูดหรือแสดงออกตรง ๆ เมื่อไหร่ก็ตายวันนั้นแหละ คือความจริงบางอย่างโลกก็รับไม่ได้ เขาอยากจะเชื่อแบบนั้น พอเราโผล่ขึ้นมาขัดแย้งความเชื่อของเขา คนหลงนี่เขาปรับใจไม่ได้ง่าย ๆ นะ เขายึดยังไง เขาก็ยึดแบบนั้นเลย

ถ้าคนทุศีลหรือพระทุศีล มีอำนาจหรือบารมีไม่มาก แค่ระดับบุคคลก็พอจะชี้โทษกันได้ แต่ถ้าคนมีอำนาจมาก ก็ต้องมีอำนาจมากพอที่จะคุ้มครองตนในระหว่างกระบวนการชี้โทษได้

การช่วยเหลือคนทุศีล

July 21, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,159 views 0

จากบทความที่กล่าวถึง การเลิกรับใช้คนชั่ว ก็มีคำถามเข้ามาว่า “แล้วถ้ามีคนมาขอเงิน และเค้าเป็นคนทุศีล แต่เราให้แค่ข้าวเค้าพอกิน 1 มื้อ เพราะถือว่าฝึกการทำทานแบบไม่เลือกไม่เจาะจง อย่างนี้ได้ไหมคะ หรือ ไม่ควรให้เลย

ตอบ : ถ้าผมเห็นชัดแล้วว่าเขาเป็นคนทุศีล เน่าใน ประพฤติชั่วจริง ก็จะไม่ให้การสนับสนุนใด ๆ เลยครับ

การไปยุ่งกับคนชั่วคนพาลนั้นในท้ายที่สุดก็จะเป็นการสร้างทุกข์ให้ตน ดังนั้นมงคลชีวิตประการแรกเลย ก็คือการห่างไกลคนพาล ก็คือคนทุศีลเน่าในเหล่านั้นนั่นแหละ

ทีนี้มานิยามคนทุศีลเพิ่มกันหน่อย คนทุศีลคือผู้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะถือศีล แล้วล่วงละเมิดศีลเหล่านั้นเป็นนิจ หรือคนที่ประกาศตนว่าจะเสียสละ แต่กลับแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน เป็นต้น คือคนที่ทำผิดจากธรรม แล้วไม่แก้กลับ ไม่กลับมาทำดี

แม้ใจเราจะบริสุทธิ์ แม้ทานที่เราให้จะบริสุทธิ์ แต่ผู้รับไม่บริสุทธิ์ มันก็ยังเหลือส่วนที่ไม่บริสทธิ์อยู่ดีนั่นเอง การห่างไกลคนพาล คบบัณฑิต บูชาบุคคลที่ควรบูชาจึงเป็นการอุดรูรั่วตรงนี้ คือเข้าไปอยู่ในสังคมที่ดี คบแต่คนที่ดีไปเลย โอกาสพลาดไปทำทานที่ไม่บริสุทธิ์ก็จะลดลง

ส่วนการฝึกทำทานนั้น ทานในพุทธมีไว้เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นเป็นอันดับแรก คือทำกิจตนก่อน อีกส่วนคือกิจท่าน หรือประโยชน์ของผู้อื่น อันนี้เราควรจะศึกษาเรียนรู้ให้ดีว่าเราควรจะให้ทานนั้นแก่ใคร

ในอนุตตริยสูตร ได้กล่าวถึงการบำรุงที่เลวและการบำรุงที่ยอดเยียม การบำรุงก็คือการทำให้สิ่งนั้นเจริญเติบโตยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสยกตัวอย่างว่า

“ก็ปาริจริยานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมบำรุงกษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง คฤหบดีบ้าง บำรุงคนชั้นสูงชั้นต่ำบำรุงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบำรุงนี้นั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการบำรุงนี้นั้นเป็นการบำรุงที่เลว”

จะเห็นว่าเราจะไปบำรุงส่งเสริมใครมั่ว ๆ ไม่ได้นะ เพราะจะกลายเป็นการบำรุงที่เลว ส่วนการบำรุงที่ดีคือการบำรุงพระพุทธเจ้าและสาวกนั่นเอง

การจะให้ทานที่ไม่เจาะจง ก็ควรจะตั้งทิศตั้งธงให้ชัดก่อนว่าจะให้ทานกลุ่มไหน เพราะจะมีกลุ่มที่ให้ไปแล้วไม่พาเราพ้นทุกข์กับกลุ่มที่พาเราพ้นทุกข์ เราก็ไม่เจาะจงในกลุ่มที่เราเห็นว่าดีนั่นแหละ คือไม่ใช่ยึดเอาตัวครูบาอาจารย์เป็นหลัก แต่ให้กระจายไปในกลุ่มคนดีนั้น ๆ

คนทุศีล เน่าใน น่าห่างไกลที่สุด

February 27, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,030 views 0

จากบทความที่ยก ชิคุจฉสูตร มาอธิบายก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า คนทุศีล หรือคนที่ผิดศีล แล้วไม่เปิดเผย ปิดบัง โกหก หลอกลวงผู้อื่นว่าตนเองปฏิบัติดี นั้นร้ายยิ่งกว่า คนขี้โกรธ ขี้งอน ขี้น้อยใจ ฯลฯ (แต่ก็ควรจะห่างไว้เช่นกัน)

ถ้าเราวิเคราะห์ ในประโยคที่ว่า “ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารีบุคคล แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารีบุคคล เน่าในภายใน

เราจะรู้เลยว่าคนพาลเช่นนี้ ร้ายสุดร้าย เพราะเบื้องหน้าเราจะไม่รู้เลย คบกันแรก ๆ เราจะไม่รู้จักเขาเลย เพราะเขาเน่าใน มันจะมองไม่เห็นได้ง่าย ๆ แถมเขายังแสร้งให้ผู้อื่นเห็นว่าเขาปฏิบัติดีและเขาตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์

นี่คือเหตุที่ผมพยายามจะขยายเรื่องคนพาลให้ละเอียดขึ้นในช่วงนี้ เพราะถ้าเจอคนน่าเกลียดเช่นนี้ จะต้องเสียเวลามาก ตั้งแต่เวลาไปคบหาเขา เวลาเชื่อเขา ดีไม่ดีไปสนับสนุนเขาอีก

ทั้งหมดนั้นเพราะเรายังไม่มีปัญญา ภูมิธรรมไม่ถึง ดูเขาไม่ออก ยกตัวอย่างเช่น กรณีเณรคำ ไม่ธรรมดานะ หลอกคนได้ตั้งเท่าไหร่ คนเขาก็เชื่อนะ ใช่ว่าคนจะยอมมอบเงินมอบศรัทธากันให้ง่าย ๆ เขาก็แสวงหาคนดีมีศีลที่เขาจะสนับสนุนนั่นแหละ แต่สุดท้ายเขาก็โดนหลอกไง คือคนพาลเนี่ย เขาจะเนียนสุดเนียนเลย บางทีพูดธรรมะ 95% แทรกกิเลสที่ตนอยากเสพไปอีก 5 % เอากำไรนิดหน่อย ทำให้เพี้ยนไปทีละนิดละหน่อย แต่พูดทุกวัน มันก็ได้เยอะ

คนพาลเขาก็ใช้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่แหละมาหากิน สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็มีการชำระนักบวชทุศีลที่เข้ามาปลอมปนมาเสพผลประโยชน์ในศาสนาพุทธออกไปเยอะ แต่ยุคนี้ไม่มีกิจกรรมนั้น ดังนั้นเราก็ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้เพื่อที่จะรู้ให้ทันคนพาล

เพราะเวลาในชีวิตเราสำคัญมาก บางคนเทไปให้คนผิด 1 ปี 5 ปี 10 ปี เสียไปแน่ ๆ คือเวลา แรงกาย ทรัพย์สิน โอกาส และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่วิบากกรรมไม่ใช่จบแค่นั้น เราหลงสนับสนุนคนพาล คนชั่ว คนทุศีลไปเท่าไหร่ เราต้องรับผลแห่งความเห็นผิดเหล่านั้น เขากิเลสโตเพราะเราสนับสนุน เขาไปหลอกคนได้อีกมากมายเพราะเราสนับสนุน คนหลงและไม่พ้นทุกข์เพราะเราเป็นหนึ่งในแรงผลักดันคนพาล เราต้องรับวิบากนั้น มันหนีไม่ได้

ดีที่สุดคือห่างไกลคนพาล ไม่คบคนพาล ไม่สนับสนุนคนพาล แต่ปัญหาคือคนพาลดันแสร้งว่าเป็นบัณฑิตเสียอีก แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้ ปลอมซะเหมือนเลย รูปนอกตรวจไปก็ใช่ ธรรมะพูดมาค่ารวม ๆ ก็ใช่อีก มันจะไปทางไหน ก็มีแต่หลงกลเขาเท่านั้นแหละทีนี้

ถ้าไม่มีคนมาคอยชี้นี่จบเลย จริง ๆ ผมหูตาสว่างได้ก็เพราะศึกษาตามครูบาอาจารย์ ไม่งั้นต้องหลงไปนาน แล้วยังมีความหลงสนับสนุนคนพาลไปเป็นลำดับด้วยนะ มันจะหลุดเป็นลำดับจากการที่เรามีปัญญามากขึ้น

หลุดแล้วยังไงล่ะ พอมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคนพาลก็เลิกคบนั่นแหละ เพียงแต่พอเห็นปริมาณกรรมที่เคยไปสนับสนุนเขาไว้ มันทำให้รู้สึกว่า เราควรจะเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปนะ คือสื่อสารโทษภัยของคนพาลนี่แหละ ไม่งั้นพลาดไปมันจะหนัก และนานมาก ก็น่าจะทำให้ผู้อ่านได้ตรึกตรองและทำตนให้พ้นภัยไปได้บ้าง

สนับสนุน คบหา เข้าใกล้คนพาลมีแต่เสียกับเสีย ประโยชน์ตนก็เสีย ประโยชน์ท่านก็ไม่มี เพราะคนพาลไม่ใช่เนื้อนาบุญ สนับสนุนไปก็กิเลสเพิ่มอีก มีแต่ความเดือดร้อนรออยู่

ดังนั้นจะคบใครอย่าเพิ่งรีบปักใจเชื่อ อย่าเพิ่งรีบลงแรงลงใจ ถ้าจะลงก็ดูศีลดูธรรมหน่อย ดูว่าเขาตั้งใจลดกิเลสไหม เขาลดโลภ โกรธ หลงได้แค่ไหน เขาพูดไปในทางลดหรือเสริม หรือไม่สนใจในการล้างกิเลส หรือดูกันไปนาน ๆ ผ่านไปปีหลายปี ดูพัฒนาการของเขาในการลดกิเลส ดูกลุ่มสังคม ดูเพื่อนของเขา ดูกิจกรรมของเขา ก็จะพอเห็นความจริงได้

แต่ถ้าดีที่สุด ก็ลองปฏิบัติตามแนวคิดของเขาดู ถ้าพ้นทุกข์ พ้นกังวลหวั่นไหวในเรื่องใด ๆ ขึ้นมาตามที่เขาสอน ก็ค่อยสนับสนุนเขาก็ยังไม่เสียหาย เพราะศาสนาพุทธเขาสอนกันฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว

ดังนั้นก็ไม่ควรรีบปักใจไว้ที่ใคร เพราะเหตุต่าง ๆ เช่น เขาว่ากันมาว่า… เขาพูดถูกตามหลักฐาน เขาพูดเหมือนที่เราคิด … ฯลฯ (ศึกษาต่อได้ที่ “กาลามสูตร”) ควรจะเอามรรคผลของตัวเองเป็นหลัก ถ้าปฏิบัติตามแล้วพ้นทุกข์ได้จริง ก็ค่อยหันไปสนับสนุนท่านเหล่านั้นอย่างเต็มกำลังก็ยังไม่สาย