Tag: การเกษตร
เรียนรู้เพื่อเพิ่มมิติในชีิวิต
กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเรียนรู้วิถีชีวิตที่ต่างออกไป ห่างออกไปไกลจนเกือบขอบประเทศ ผมพาตัวเองไปในที่ที่คิดจะได้รู้จักตัวเองในอีกมุมหนึ่งมากขึ้น
การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการไปเรียนรู้ว่าผมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะอื่นๆนอกจากที่เคยเป็นได้หรือไม่ ครั้งนี้ผมได้ไปศึกษาอยู่กับกลุ่มชาวนาคุณธรรม ที่จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกันอยู่บ้างแล้ว ซึ่งทางกลุ่มได้ต้อนรับและดูแลผม พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผมได้เรียนรู้หลายๆอย่างที่ผมไม่เคยได้รู้อย่างเต็มที่
ผมมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งความเคยชินมันจะฆ่าผม มันทำให้ผมตายใจและประมาทอย่างช้าๆ ดังนั้นก่อนที่ผมจะชินกับความเป็นปัจจุบันที่อยู่นิ่งๆเป็นการดำเนินชีวิตที่วนซ้ำไปมา ก่อนที่จะสายเกินไป ผมเลือกเดินทางไปตามหามิติใหม่ หามุมมองที่ผมยังไม่เคยรู้จักให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในครั้งนี้ผมเลือกเดินทางไปใช้วิถีชีวิตแบบไทยๆพื้นบ้าน ในถิ่นของชาวนาต่างจังหวัดห่างไกลกรุงเทพฯ ผมเลือกที่จะไปเรียนรู้รากเหง้า ชาติกำเนิดของเราเพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการเกษตร น้ำเราดี ดินเราเยี่ยม เรามีต้นไม้มากมาย ไม่มีที่ใดในโลกที่เหมาะกับการเกษตรเท่านี้อีกแล้ว แต่ถึงจะมีผมก็คงจะไม่เดินทางไปให้ลำบากหรอก เพราะเมืองไทยนี่แหละ ดีพอแล้ว เมื่อเข้าใจว่าดีพอที่จะเรียนรู้เราก็ไปกันเลย
ปกติแล้วเวลาผมท่องเที่ยวเอง ผมก็จะพยายามใช้เวลาเดินดูเมือง คน วิถีชีวิต ต่างๆเท่าที่จะเห็นได้ตามเหตุและปัจจัย แต่ในครั้งนี้มีโอกาสดีกว่า ผมไปฝังตัวเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆจากกลุ่มชาวนาคุณธรรมรวม 17 วัน ได้ไปพักก็หลายบ้าน หลายอำเภอ กลุ่มชาวนาคุณธรรมเมตตากับผมมาก มีโอกาสมากมายให้คนเมืองอย่างผมได้เรียนรู้ ได้มอง ได้เห็น ได้เข้าใจ และได้ลงมือทำบ้าง ทำให้เห็นชีวิตที่แตกต่างไป
เราอาจจะคิดได้ว่า เราคนเมืองไปทำไร่นา เสาร์อาทิตย์ก็เหมือนกัน แต่จริงๆมันไม่เหมือนนะครับ ที่นี่เวลาแต่ละวันไหลช้า ไม่รีบเร่ง แต่มีการทำงานทุกวัน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้่อง มีแต่หน้าที่ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ กับผลผลิต เป็นผู้ผลิตที่รู้ที่มาที่ไปของแหล่งอาหาร ชีวิตที่มีอิสระจากระบบ ห่างไกลจากกิเลส มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมาก ไปคุยก็ไม่เข้าใจ ต้องเข้าไปคลุกวงใน
ที่ผมสามารถบอกได้แบบนี้เพราะไปมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนรอบนี้ ปกติจะไปกับทีวีบูรพา จัดเป็นทัวร์พามาเรียนรู้ แน่นอนข้อจำกัดมันเยอะมาก ผมเลยเลือกที่จะลดข้อจำกัดเหล่านั้นด้วยการเดินทางมาเองเสียเลย
มิติในชีิวิตที่เพิ่มขึ้น
มาถึงเนื้อหาหลักๆของเรื่องนี้จริงๆเสียที ที่บอกว่าเพิ่มมิติในชีวิตนั้น อธิบายได้ง่ายๆ ก็เหมือนเพิ่มขนาดพื้นที่ความปลอดภัยในความรู้สึกเรานั้นแหละ ผมรู้จักชีวิตชาวนา คนต่างจังหวัด อาหารท้องถิ่น ชีวิตแบบเกือบจะเสื่อผืนหมอนใบ แน่นอนถ้าชีวิตผมต้องมีเหตุให้เปลี่ยนแปลง ผมจะยังสามารถดำรงชีวิตในรูปแบบอื่นนอกจากวิถีคนเมืองได้ ในขณะที่คนเมืองอาจจะทุกข์ทรมาณกับการกินอาหารที่ไม่เคยกิน นอนที่ที่ไม่เคยนอน เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ให้นึกถึงน้ำท่วมปี 54 ที่ผ่านกันมา คนเมืองอย่างเราถูกจำกัดในสภาวะที่ของกินหายาก อาหารขาดแคลน น้ำไฟโดนตัด โชคดีหน่อยก็หนีได้ แต่ถ้าหนีไม่ได้จะทนอยู่อย่างไรไหว เครียดแย่เลย ไม่เคยหัดใช้ชีวิตลำบาก แน่นอนตามธรรมชาติของมนุษย์เราจะปรับตัวได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าใครปรับตัวได้ไวกว่า เข้าใจได้ไวกว่ามันก็ทุกข์น้อยกว่า มันวัดกันตรงนี้
ถ้าถามว่าทำไมต้องลงทุนเรียนรู้กันขนาดนี้ ถ้าเกิดค่อยทำแล้วกัน ในมุมมองผมก็จะตอบว่า “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฝึก”ลองคิดดูว่าคนที่ประมาทกับคนที่พร้อม คนไหนจะมีโอกาสรอดมากกว่ากัน
แต่การเพิ่มมิติในชีวิต ไม่จำเป็นต้องเป็นการปรับลดปัจจัยเสมอไป เราอาจจะลองเข้าไปอยู่ในสังคมที่คิดว่าใช้ปัจจัยในการดำรงชีวิตเยอะก็ได้ ก็เป็นการเพิ่มมิติ มุมมองในชีวิตได้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ว่าใครจะลองเพิ่มมุมไหน มุมไหนที่จะเป็นประโยชน์ มุมไหนที่ทำแล้วมันมีแต่จะแย่ลง ก็ลองเรียนรู้กันดูนะครับ
สวัสดี