ชีวิต
แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว

แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว
เรื่องการท่องเที่ยวนี่ก็เป็นเหมือนเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคนเลยทีเดียว การได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆที่ไม่เคยไป การได้ไปผจญกับภัยในที่ที่ไม่เคยพบเห็น เป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่หลายคนอยากสัมผัสด้วยตัวเอง และแม้แต่การท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนสนองกิเลสก็ยังเป็นความฝันก็ใครหลายคนด้วยเหมือนกัน
ผมเองก็เป็นคนที่เคยรักการท่องเที่ยว แม้จะไม่ได้ไปบ่อยนักแต่จากประสบการณ์ก่อนนั้นก็ชอบที่จะเดินไปตามแนวภูเขา ทุ่งกว้าง ชอบขึ้นภูเขา หน้าผา ทะเลตามสมัยนิยม ก็ชอบเหมือนกันกับคนอื่นเขานี่แหละ มีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อปี ๒๕๕๔ ซึ่งมีน้ำท่วมถึงกรุงเทพ ผมก็เป็นอีกคนที่หนีน้ำท่วมออกจากบ้านไป(แต่น้ำไม่ท่วมนะ หนีก่อนปลอดภัยไว้ก่อน) และใช้โอกาสนั้นในการท่องเที่ยว ผมเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี เมืองพัทยา ประจวบคีรีขันธ์ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เขามีให้เที่ยวโดยใช้การพักแรมที่บ้านเพื่อนบ้าง บ้านญาติบ้างตามโรงแรมรีสอร์ทบ้าง
ด้วยความที่ตัวเราก็ชอบถ่ายรูปอยู่มากเหมือนกัน เรียกได้ว่าสนุกกับการถ่ายรูปเลยก็ว่าได้ ดังนั้นการไปเที่ยวและเก็บภาพบรรยากาศต่างๆจึงเป็นกิจกรรมที่ไปด้วยกันได้ ซึ่งผมเคยมีความสุขกับกิจกรรมเหล่านั้นมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง….
….วันหนึ่งผมได้มีนัดพบปะเพื่อนฝูง ในกลุ่มเพื่อนก็จะมีคนที่ชอบท่องเที่ยวเป็นประจำ เที่ยวไปในที่ต่างๆมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบกเป้ลุยเที่ยวก็เป็นเรื่องปกติของเขา ซึ่งเขาก็ได้เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวจีน ซึ่งการเดินทางในแถบนั้นดูจะลำบากและอันตราย เขาเล่าว่ามีครั้งหนึ่งตอนขึ้นรถที่ขับไปทางริมเขาก็เกือบจะตกเขาด้วยความที่เส้นทางนั้นลาดชันและไม่สมบูรณ์สักเท่าไรนัก
พอได้ฟังเขาเท่านั้นแหละ ความอยากท่องเที่ยวมันหายไปในพริบตา หลังจากที่ได้พิจารณาตามเขาซ้ำๆ ทำไมเราต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้น การได้เที่ยวมันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วต้องไปอีกกี่ที่ถึงจะพอใจ ได้เที่ยวไปทั่วโลกแล้วยังไง ได้เห็นทั้งโลกแล้วมันยังไง จะมีความสุขจริงหรือ แค่ฟังก็รู้สึกลำบากแล้ว ยิ่งถ้าไปเสียชีวิตจากการท่องเที่ยวแล้วจะมีใครยินดีกับเราบ้าง มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะแลกความสุขกับความเสี่ยงขนาดนั้น
….ความอยากมันตายลงบนโต๊ะนั่นแหละ กิเลสมันตายกลางวนสนทนา เป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายที่ผมรู้สึกลึกๆอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพื่อนๆยังคงสนุกกับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว ความฝันว่าอยากไปที่นั่นที่โน่น ผมก็ยังนั่งฟังและคุยตามปกติแต่ในใจเราไม่ได้คล้อยตามเขาไปอีกแล้วมันจบไปแล้ว
หลังจากนั้นก็มักจะมีคำชวนจากครอบครัวให้ไปเที่ยวด้วยกันต่างจังหวัด เช่นไปเกาะกูด ไปฟรีนะเขาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไป ชวนกี่ครั้งก็ไม่ไป เพราะมันไม่ได้อยากไปแล้ว ถ้าเป็นตัวเราแต่ก่อนนี่ก็คงจะตอบตกลงแน่นอน เพราะไปฟรี กินฟรี นอนฟรี จะมีอะไรดีกว่านี้อีก แล้วมันก็มีดีกว่าจริงๆนั่นคือไม่ไป…
สภาพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญและไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ความยินดีที่จะไม่เสพโดยที่ยังมีความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว คงต้องขอบคุณตัวผมเอง ขอบคุณกรรมของผมเอง ที่หัดพิจารณาเรื่องนี้สะสมมาหลายภพหลายชาติ ผมคงเคยเป็นคนที่เที่ยวมาทั่วโลกมาแล้วไม่ชาติในก็ชาติหนึ่ง เที่ยวจนเบื่อ เที่ยวจนทุกข์ เที่ยวจนเกิดโทษ มาถึงชาตินี้พอมีเหตุการณ์ให้พิจารณาเพียงนิดหน่อยก็หลุดจากกิเลสตัวนี้ได้ และหลุดอย่างถาวรไม่อยากเที่ยวอีกเลย เพราะรู้ชัดแจ้งแล้วว่าเที่ยวไปก็เหมือนเดิมมีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ พระอาทิตย์ขึ้นก็เหมือนเดิม ตกก็เหมือนเดิม หนาวก็หนาวแบบนั้น วิวสวยมันก็เป็นของมันแบบนั้น เราไม่ได้สุขจากการเสพสิ่งพวกนี้อีกแล้ว และยังเห็นโทษด้วยว่าไปก็เปลืองเงิน เปลืองเวลา เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แถมเวลาที่ไปเที่ยวถ้าเอามาทำประโยชน์ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นมากกว่า เช่นถ้าไปเกาะกูด 3 วัน 2 คืน คงได้บทความดีๆมาอย่างน้อย 1-2 บทความแล้ว อันนี้มันเห็นประโยชน์ของการไม่เที่ยวอย่างชัดเจน
ถ้ามองในเรื่องของประสบการณ์ซึ่งถ้ามันจำเป็นต้องเก็บประสบการณ์นั้นจริงๆมันก็ต้องไป แต่ถามว่าอยากไปไหมก็คงไม่อยาก ถ้าให้หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้ก็คงใช้ทางนั้นจะดีกว่า ไปให้มันลำบากกายลำบากใจไปทำไม คนที่มันไม่มีความอยากแล้วไปให้ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์นี่มันจะไม่อยากไปนะ มันจะเมื่อยๆ เฉื่อยๆ เบื่อๆ ไปอย่างนั้นเลย การที่เราไม่ได้เที่ยวนี้มันไม่ทุกข์นะ มันสุขแสนสุขเลย แม้ไม่ได้ไปเที่ยวก็สุขมันก็สุขตลอดเวลาเพราะไม่ได้มีความทุกข์จากความอยากไปเที่ยว
ผมเข้าใจว่าเวลาที่คนเราอิ่ม มันจะพอเอง พออิ่มจนเสพไม่ไหว รู้ว่าเสพต่อไปมันจะทรมานถ้ามีสติปัญญาพอ มันก็จะพอของมันเอง เหมือนกับการเที่ยวถ้าใครยังไม่อิ่ม ยังอยู่กับโลกไม่อิ่ม ยังชื่นชมโลกไม่พอ ยังเสพกิเลสไม่พอก็คงต้องกินให้อิ่มเสียก่อน อิ่มแล้วอยากกินต่อมันก็กินจนทรมาน ทรมานแล้วก็เห็นทุกข์ เห็นทุกข์ก็คงเห็นธรรมเองสักวัน
– – – – – – – – – – – – – – –
26.11.2557
อิสรภาพทางการเงิน

อิสรภาพทางการเงิน
อิสรภาพทางการเงิน เป็นคำที่ได้ยินกันจนคุ้นหูในยุคนี้ เป็นความฝันทางทุนนิยม เป็นคำนิยามที่สวยหรู เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามที่แต่ละคนจะคิดหรือปรุงแต่งไปเอง ปั้นแต่งให้สวยงามเลิศหรูไปตามกิเลสของแต่ละคน
เขาเหล่านั้นมักมีความเข้าใจเกี่ยวกับอิสรภาพทางการเงินดังเช่น การมีอิสระในการใช้เงิน ,มีเงินมากพอจนไม่ต้องไปเสียเวลานั่งทำงาน , ให้เงินทำงานแทนเรา , มีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเหตุฉุกเฉิน เป็นความเข้าใจที่เหมาะกับยุคทุนนิยม แต่ไม่เหมาะกับความเป็นจริงเท่าไรนัก
การมีเงินใช้จ่ายอย่างไม่จำกัดไม่ได้หมายความว่าชิวิตจะมีอิสรภาพหรือจะมีความสุข เงินไม่ได้เป็นตัวประกันความมั่งคั่ง หรือความสมบูรณ์แบบในชีวิตเลย เป็นเพียงแค่ของหยาบที่คนหยาบมักเอาไว้ใช้วัดคุณค่าของคน วัดความสำเร็จ เป็นวัตถุที่จับต้องได้ เข้าใจได้ง่าย เขาเหล่านั้นจึงมักจะใช้เงินเป็นเป้าหมายหนึ่งของชีวิต เป็นความมั่งคั่ง เป็นความสุข
เรามักจะมีเหตุผลมากมายที่จะทำให้เราเชื่อว่า เราสามารถมีความสุขได้จากการมีเงิน เรามักจะไม่ได้มองเงินเป็นหลัก แต่มักจะมองสิ่งที่ได้จากเงินเช่น เราอยากได้อะไรก็ได้ เราอยากมีอะไรก็มี อยากซื้อของที่อยากได้ อยากซื้อรถคันใหญ่ อยากมีบ้านหลังโต อยากมีเงินเลี้ยงพ่อแม่ อยากมีเงินส่งเสียลูก อยากมีเงินแต่งเมีย เพราะเหตุนั้น เราจึงคิดว่าเราจะต้องมีเงิน จึงจะสามารถสนองตามความอยากของเราได้ เมื่อได้สนองจนสมใจอยาก เราจึงจะได้พบกับความสุข
การได้มาซึ่งความมั่งคั่งนั้นมีมิติที่ซับซ้อนมากกว่ากิจกรรมที่เราเห็นมากนัก ประกอบไปด้วยกรรมปัจจุบันและกรรมเก่า พวกที่มีกรรมเก่ามากก็อาจจะเกิดมาบนกองเงินกองทองเลย หรือไม่ก็คนประเภทที่ว่าในชาตินี้แม้จะเกิดมาจน แต่พอจับอะไรก็รวยได้ทันที อันนี้ก็มีปัจจัยหนุนนำมากกว่าเรื่องที่มองเห็น
เหมือนกับเรือใบจะแล่นได้เพราะมีลม ความสามารถ หรือกรรมปัจจุบันคือการบังคับเรือให้เหมาะกับลม แต่ลมนั้นคือกรรม คือสิ่งที่คำนวณไม่ได้ คนบังคับเรือเก่งแต่ไม่มีลมก็ไปไม่ได้ คนบังคับเรือไม่เก่งแต่มีลมที่ดีพัดมาตลอดก็ไปถึงฝั่งฝันได้ง่าย
นั่นหมายความว่า การที่เราจะขยันทำงานหรือขยันหาเงินลงทุน ทุ่มเทเวลากับการทำธุรกิจ กิจการร้านค้า ลงทุนเล่นหุ้น ฯลฯ ไม่ได้หมายความว่าเราจะพบกับความมั่งคั่งหรืออิสรภาพทางการเงินเสมอไป อาจจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างคอยเข้ามาขัดขวางไม่ให้เราได้พบกับความมั่งคั่งทางทุนนิยมเหล่านั้น ซึ่งนั่นอาจจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ได้
นั่นเพราะแท้จริงแล้ว การมีเงินไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุข แต่การที่เราสามารถสนองต่อกิเลสของเราได้ต่างหากคือสิ่งที่เราเรียกว่าความสุข แต่ความสุขแบบนี้ก็เป็นความสุขที่หลอกลวง เป็นสุขจากกิเลส เป็นสุขที่เสพไม่นานก็หายไป แม้จะเสพมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ มักจะต้องการเสพเพิ่ม หามาเพิ่ม เพื่อที่จะได้ลิ้มรสสุขที่มากกว่า
ทั้งที่จริงแล้ว เงินไม่ใช่ความสุข จะลองดูก็ได้ ลองไปใช้ชีวิตอยู่ในเกาะร้าง มีเงินวางไว้ใช้บนเกาะสักพันล้าน จะมีความสุขไหม? เมื่อเทียบคุณค่าของเงินกับเพื่อนสักคนหรืออาหารสักจานอะไรจะดีกว่า?
ความสุขที่ว่านั้นเกิดจากการได้เสพสมใจในกิเลส เป็นการสนองความโลภของตัวเองด้วยการแสวงหาทรัพย์อันไม่มีจำกัด เหมือนกับคนที่ตามล่าหาสมบัติเพื่อจะทำให้ตัวเองรวยไปทั้งชาติ เหมือนกับคนที่ตามหาชีวิตอมตะ เหมือนกับคนที่คิดฝันไปเอง
แม้ว่าเราจะได้เงินที่ไม่จำกัดต่อการสนองกิเลสเหล่านั้นมาครอบครอง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถคงสภาพเช่นนั้นไปได้ตลอด พอมีเงินแล้วก็มักจะมีความอยากเสพมากขึ้นตามมาด้วย จากที่เคยประหยัดก็หันมากินและใช้จ่ายแพงๆ จากที่เคยเป็นโสด ก็ไปหาใครสักคนมาเสพสมกิเลสร่วมกัน จากที่เคยอยู่เป็นคู่ก็สร้างทายาทมาเสริมกิเลสแก่กัน มาช่วยกันใช้ทรัพย์นั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง เริ่มสะสมคนมีกิเลสมากขึ้นๆ ในขณะที่ทรัพยากรนั้นมีอยู่อย่างจำกัด เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งทุกอย่างก็จะพังทลายลงในพริบตา ทรัพย์สมบัตินั้นหายไป เหลือไว้แต่คนที่เต็มไปด้วยความโลภ เต็มไปด้วยปริมาณกิเลสก้อนใหญ่…สภาพหลังจากนั้นก็ลองหาดูตัวอย่างชีวิตของผู้มั่งคั่งที่ล้มละลาย
ความไม่เที่ยงนั้นคงอยู่คู่กับโลกเสมอ แม้เราจะพยายามเก็บเงินนั้นไว้ ประหยัดและวางแผนไว้ดีเท่าไหร่ ก็จะมีเหตุให้เราต้องพรากจากความมั่งคั่งนั้นไป ไม่ว่าจะอุบัติเหตุ ความเจ็บป่วย การตาย การทำลายทรัพย์เหล่านั้นด้วยกิเลสของตัวเอง หรือแม้แต่การทำลายกันเองของเหล่าผู้มีกิเลสเช่นการปั่นหุ้น การสร้างข่าวลวง หลอกล่อให้ลงทุน และยังมีปัจจัยแวดล้อมที่จะช่วยแสดงให้เห็นความไม่เที่ยงเช่นภัยพิบัติต่างๆ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ ฯลฯ ดังจะเห็นได้ว่า ความมั่งคั่งสามารถถูกทำลายลงได้ทุกเมื่อ ความหมายมั่นตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเมื่อยามแก่ อาจจะพังทลายลงโดยที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย
……ยกตัวอย่างเช่น ทำงานอย่างหนัก ลงทุนในธุรกิจทุกอย่างจนมีเงินหมุนเวียน เกิดสภาพคล่องในชีวิต มีเงินปันผลให้ใช้อย่างเต็มที่ทุกปี สุดท้ายตรวจพบมะเร็งระยะสุดท้าย เงินยังมีอยู่นะ แต่ความสุขยังมีอยู่ไหม?
……หรือ ทำงานจนประสบความสำเร็จ มีเงิน แล้วก็ไปแต่งงาน สุดท้ายมาอยู่กันเป็นครอบครัว มีลูกมีหลาน วุ่นวาย ทะเลาะเบาะแว้งมีปัญหารายวัน เงินยังมีอยู่นะ แต่ความสุขยังมีอยู่ไหม?
……หรือ ทำงานจนประสบความสำเร็จ มีเงิน พอมีเงินก็ไปเที่ยวรอบโลกครั้งแรก ไปปีนเขา …แล้วก็ตกลงมาตาย เงินยังมีอยู่นะ แต่ชีวิตหายไปไหน?
มีกรณีศึกษาเกี่ยวกับคนรวยที่ยังไม่ทันได้ใช้เงินของตัวเอง หรือกระทั่งคนรวยที่ตกอับมากมาย แต่เรามักจะไม่เคยสนใจ เพราะเรามัวแต่แหงนมองไปที่คนรวยกว่า คนที่มั่งคั่ง คนที่เป็นบุคคลตัวอย่างทางการเงินทั้งหลาย จนไม่มองกลับมาถึงความจริงว่า สิ่งเหล่านั้นมันไม่เที่ยง
แต่ถึงกระนั้นคนผู้หลงมัวเมาในเงินก็มักจะไม่มองกว้างนัก เขาเหล่านั้นเหมือนม้าที่ถูกปิดตาให้มองเห็นแต่ทางแห่งความมั่งคั่งอย่างที่ใครสักคนบอกไว้อยู่ข้างหน้า โดยที่เขารู้เพียงว่า ถ้ามีเงินก็สามารถจะมีความสุขได้ ทั้งๆที่จริงแล้วความสุขกับเงิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย เป็นการตั้งสมการหรือสมมุติฐานในการดำเนินชีวิตที่ผิดเพี้ยนไป เพราะเอาเงินมาเป็นตัวตั้ง ทั้งๆที่ควรจะใช้ความสุขเป็นตัวตั้งแล้วหาเงินเพียงแค่พอเลี้ยงชีพและจุนเจือครอบครัวกิจกรรมการงาน
อิสรภาพทางการเงินในนิยามของยุคสมัยนี้นั้น มีรากมาจากความโลภและความขี้เกียจ ซึ่งเป็นกิเลสที่ร้ายและหยาบ
อิสรภาพทางการเงินที่แท้จริงนั้น คือ ไม่เป็นทาสของเงิน ไม่ทุกข์แม้จะไม่มีเงิน จะมีเงินก็ได้ไม่มีก็ได้ จะมีมากก็ได้มีน้อยก็ได้เป็นอิสระจากผลกระทบของเงิน เป็นอิสระจากความผูกพันของเงิน อิสระจากสิ่งสมมุติแห่งความมั่งคั่งที่เรียกว่า “เงิน”
อิสรภาพทางการเงินนั้น เมื่อเทียบกับอิสรภาพจากกิเลส ก็จะพบว่าเปรียบกันได้ยากยิ่ง เหล่าคนผู้มัวเมาไปด้วยกิเลสตัณหามักจะสะสมโลกียะทรัพย์ ทรัพย์ทางรูปธรรม สะสมเงิน ตำแหน่ง ชื่อเสียง สุขลวงๆ เพราะเขาเหล่านั้นเข้าใจว่าความมั่งคั่งด้วยทรัพย์จะเป็นหลักประกันให้ชีวิตของเขามีความสุข สามารถเสพสุขไปจนตายได้
แต่ในขณะเดียวกัน ผู้มีปัญญานั้นมักจะสะสมอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ทางนามธรรม ทรัพย์ที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มีอยู่จริง เขาสามารถที่จะใช้ทรัพย์เหล่านั้นในการสร้างความมั่งคั่งก็ได้ สร้างความสุขก็ได้ สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีก็ได้ สร้างอะไรก็ได้ตามกำลังทรัพย์ที่เขามี เป็นทรัพย์ที่ไม่มีวันหมด ยิ่งใช้ยิ่งสะสมก็ยิ่งเพิ่ม เป็นทรัพย์ที่อยู่ในธนาคารที่เรียกกันว่า“กรรม”
คนผู้มัวเมาในกิเลสมักหลงในคำว่าอิสรภาพทางการเงิน ลงทุนลงแรง เฝ้าหาเฝ้าเติมอยู่แบบนั้น เขาเหล่านั้นหาเงิน หาความมั่งคั่งมาเพื่อเสพสมใจในชาตินี้ พอชาติหน้าชีวิตหน้าก็ต้องเกิดมาหาแบบนี้ใหม่ เหมือนดังในชาตินี้ที่ต้องมานั่งแสวงหาความมั่งคั่ง
คนผู้มีปัญญานั้นจะเข้าใจในอิสรภาพจากกิเลส เขาจึงลงทุนลงแรง เรียนรู้ พัฒนา สะสมอริยทรัพย์ ซึ่งประกอบไปด้วย ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา…
…ศรัทธาคือความเชื่อมั่นอย่างสัมมาทิฏฐิ เป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญาไม่ใช่เชื่อแบบหลงงมงาย เป็นไปเพื่อลดกิเลส เป็นเหมือนไฟส่องทาง เป็นแผนที่ที่ทำให้ไม่มีวันหลงทาง จะเกิดมากี่ชาติก็ไม่มีวันไปหลงงมงาย เสียเวลากับการเดินผิดทาง เดรัจฉานวิชา ไม่หลงในลัทธินอกพุทธศาสนา
…ศีลคือ ข้อปฏิบัติในการเว้นจากการทำชั่ว เป็นไปเพื่อความสุขความเจริญ เมื่อมีศีลก็พ้นจากภัยต่างๆ ศีลเป็นเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยม ศีลวิเศษที่สุด จะเกิดมากี่ชาติ ก็จะมีความสามารถในการถือศีลในระดับที่เคยปฏิบัติได้ติดมาด้วย จะไม่หลงติดอยู่ในอบายมุขนาน แม้ตั้งศีลตั้งตบะแล้วก็สามารถทำลายกิเลสนั้นได้ไม่ยาก
…หิริคือ ความละอายต่อบาป ละอายต่อการทำชั่ว แม้คนอื่นหลอกเราว่าสิ่งชั่วนั้นดี แต่เราจะรู้สึกไม่อยากทำ เพราะเราเห็นว่าเป็นสิ่งชั่วจริงๆ รู้สึกจริงในวิญญาณของเรา เป็นความรู้สึกละอายที่สะสมมาข้ามภพข้ามชาติ
…โอตตัปปะคือ ความเกรงกลัวต่อบาป กลัวการทำชั่ว จะไม่ไปทำชั่วนั้นอีก เพราะรู้ถึงโทษภัยจากการทำชั่ว จึงเข็ดขยาดในการทำชั่วนั้น ไม่ว่าจะเกิดมาอีกกี่ชาติ ความรู้สึกนี้ก็จะติดมาด้วย คือจะไม่หลงไปทำชั่วตามที่คนอื่นเขาทำกัน เพราะรู้ได้ชัดในวิญญาณของตนถึงทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย เหล่านั้น
…สุตะ คือความตั้งใจฟัง คือการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ การยินดีรับความรู้ใหม่โดยไม่มีอัตตา สามารถฟังและจำแนกธรรมได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ เป็นการฟังอย่างเปิดใจโดยน้อมเอาสิ่งที่ฟังเข้ามาพิจารณาไว้ในใจโดยแยบคาย ซึ่งเป็นการฟังที่เป็นเหตุนำไปสู่สัมมาทิฏฐิ
…จาคะ คือ ความเสียสละแบ่งปัน เกิดจากการทำลายกิเลสอันคือความตระหนี่ถี่เหนียว จนเป็นความเสียสละที่ฝังไว้ในวิญญาณ จะเกิดกี่ภพกี่ชาติก็จะเป็นคนที่ใจบุญ เสียสละประโยชน์ส่วนตนให้กับประโยชน์ส่วนรวม ยอมเสียเปรียบให้คนอื่นได้ ยินดีที่จะได้รับน้อยกว่าคนอื่นก็ได้
…ปัญญา คือ ความรู้แจ้งเห็นจริง ชำแหละกิเลส กำจัดกิเลส ล้างกิเลสได้ เพราะมีความรู้ความเข้าใจในกิเลสนั้นว่าเป็นทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย อย่างแจ่มแจ้ง และเห็นประโยชน์ในการละกิเลสนั้นๆอย่างถ่องแท้ รู้ไปถึงกรรมและผลของกรรมของกิเลสนั้นๆ รู้ว่ากิเลสนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน
ปัญญาจึงเป็นสภาพที่เจริญและติดไปข้ามภพข้ามชาติ ดังจะเห็นได้ว่าคนทุกคนมีปัญญาไม่เท่ากัน มีการเสพกิเลสที่ต่างกัน มีความยึดมั่นถือมั่นไม่เท่ากัน เพราะเขาเหล่านั้นมีอริยทรัพย์ไม่เท่ากัน
เมื่อเห็นดังนี้ ผู้มีปัญญาจึงตามหาครูบาอาจารย์ผู้มีสัจจะแท้ เพื่อที่จะมาเป็นที่ปรึกษาและแนะนำในการลงทุน เพื่อความมั่งคั่งแบบข้ามภพข้ามชาติ เป็นทรัพย์ที่ติดตัวไปตลอดไม่ว่าจะไปเกิดที่ไหน ภพไหน ชาติไหน ก็จะมีศักยภาพเหล่านี้ติดไปด้วยเสมอ นำมาซึ่งทั้งอิสรภาพทางการเงิน และอิสรภาพจากกิเลส
เมื่อมีอริยทรัพย์ดังนี้ ความสุข ความสมบูรณ์ ความมั่งคั่งในชีวิต จะไปไหนเสีย..
– – – – – – – – – – – – – – –
1.10.2557
คุณค่าของแสงเทียน

คุณค่าของแสงเทียน
แต่ก่อนนี้ ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าการถวายเทียนพรรษามีความหมายอย่างไรในยุคที่มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคขนาดนี้ แต่เมื่อผมได้ลองใช้ชีวิตแบบไม่มีไฟฟ้าดู ผมกลับรู้สึกว่าความสว่างของเทียนหนึ่งเล่มนั้นมีคุณค่ามาก
แสงจากเทียนหนึ่งเล่มทำให้ผมสามารถใช้เวลา สรุปงาน คิดงาน เขียนแบบ รวมทั้งวางแผนงานในแต่ละวัน ขณะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสวนที่ปราศจากไฟฟ้า
เมื่อเรามีไฟฟ้าใช้ เราก็จะไม่เห็นคุณค่าของเทียน มันก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับที่เราใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เคยชินกับความสะดวกสบาย ทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของบางสิ่งบางอย่างหลงลืมบางอย่างไป มองการมีเป็นเรื่องปกติ ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องมีจึงจะดี
การที่เราเรียนรู้ที่จะเผชิญความขาดบ้าง ความพร่องบ้าง ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวเมื่อเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นจริง และทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว สิ่งใดที่สำคัญกับชีวิตเรา
วันหนึ่งก็คงจะมีไฟฟ้าเข้าไปยังบ้านสวนของผม แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ผมก็อยากจะซึมซับและเรียนรู้วิถีชีวิตที่ปราศจากไฟฟ้ากันให้เต็มที่ เท่าที่จะทำได้
…ก่อนจะถึงวันที่มีมากกว่านี้ ก็อยากจะเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่มีให้ได้ก่อน
– – – – – – – – – – – – – – –
25.8.2557
เกิดมาทำไม?

เกิดมาทำไม?
เกิดมาแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม… รู้แค่เกิดมาแล้ว มีสุข มีทุกข์ มีหน้าที่ตามที่เขาอยากให้ทำ และดำเนินชีวิตไปตามทางที่กิเลสจะพาไป จนวันหนึ่งมีคนถามคำถามนี้กับเรา… “เกิดมาทำไม?”
เป็นคำถามที่ชวนให้คิด… เกิดมาทำอะไร แล้วทำไมถึงเกิดมา…
เกิดมาทำอะไร?… ในเมื่อเกิดมาแล้วทั้งที จะต้องเรียนรู้ ทำงานไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เกษียณอายุงาน กลายเป็นคนแก่นั่งอยู่บ้านอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเห็นปลายทางแบบนั้นแล้ว มันก็ไม่เห็นจะน่าเดินไปตรงไหน ชีวิตในกรอบสังคมช่างน่าเศร้า เหมือนทุกข์ที่วนเวียนไม่รู้จบตั้งแต่เกิดจนตาย สุดท้ายก็ตายไปโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำอะไร
ทำไมถึงเกิดมา?… แล้วอะไรล่ะทำให้เราเกิดมาแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ นิสัยแบบนี้ มีครอบครัว และสังคมแบบนี้ อะไรเล่าเป็นตัวกำหนด จะตอบว่าความบังเอิญก็ดูจะมักง่ายและคลุมเครือเกินไป สุดท้ายก็ต้องไปตามหาคำตอบว่าเราเกิดมาได้อย่างไร
ใช้เวลาตามหาคำตอบกันอยู่นานหลายปี จนพบว่าเราเกิดมาเพื่อใช้เวลาที่มีเรียนรู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และวิถีปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ ซึ่งก็คือการล้างกิเลส เป็นหน้าที่หลักที่ต้องทำไปพร้อมกับสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและโลกในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วนทำไมเราถึงเกิดมานั้น “กรรม” เป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละชีวิตมีความแตกต่างกันออกไป และก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า หน้าที่มันยังไม่จบ ความอยากมันยังไม่หมดมันก็ต้องเกิดมาเสพต่อ เหมือนเราชอบขนม ถ้าวันนี้ได้กินขนม พรุ่งนี้มันก็อยากกินอีก…เกิดความอยากสะสมมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนต้องพยายามหามาเสพให้ได้ แม้จะตายก็ต้องเกิดมาสนองความอยากกันต่อไป ถ้ายังเหลือความอยากอยู่ก็ยังต้องเกิดอยู่เรื่อยไป
เกิดมาทำไม?

