ประเด็นทั่วไป
ภาพยนต์อาบัติ กับความเสื่อมของศาสนาพุทธ
การนำเสนอภาพยนต์ “อาบัติ”
เรื่องนี้ตอนแรกก็ไม่ได้มีกระแสอะไรมากมาย แต่พอถูกแบนด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่งาม ฯลฯ สรุปคือรับไม่ได้ที่จะเห็นภาพศาสนาพุทธเป็นเช่นนั้น ก็เกิดกระแสขึ้นมาในหลายๆที่
ผมได้เห็นเนื้อหาบางส่วนจากตัวอย่างแล้ว มองเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจากที่ศึกษาในพระไตรปิฎก เรียกว่าที่โหดกว่านี้ยังมีอีกเยอะ บรรยายถึงความเสื่อมไว้เป็นขั้นเป็นตอน
เช่น นักบวชในศาสนาชายหญิงเปิดของลับให้กันดู หมายจะให้อีกฝ่ายเกิดความใคร่อยากสมสู่กัน หรือนักบวชในศาสนาแม่ลูกสมสู่กัน และยังมีอีกหลายกรณีที่เข้าขั้นวิตถาร ก็มีให้ศึกษากันทั่วไปในพระไตรปิฎก
ซึ่งเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษา เพราะความเสื่อมในศาสนามีอยู่เสมอ และมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งถ้าเราไม่ศึกษา เราก็จะไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นอย่างไร และควรจะแก้ไขอย่างไร
ซึ่งจะทำให้ศาสนาพุทธค่อยๆกลายเป็นศาสนาแห่งความงมงาย เป็นเรื่องลึกลับ แตะต้องไม่ได้ กลายเป็นศาสนาเทพเทวดา นักบวชกลายเป็นผู้วิเศษ บริสุทธิ์ได้เพียงแค่ห่มผ้าเหลือง
ในสมัยพุทธกาลนั้นฆราวาสมีบทบาทมากกว่าในปัจจุบัน การคว่ำบาตรนักบวชทุศีล ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้ายังสรรเสริญ ถ้าฆราวาสไม่ดูแลศาสนา แล้วใครจะดูแล?
ข้อควรระวังในการศึกษา (กรณี ละครซีรีส์ พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก)

ข้อควรระวังในการศึกษา (กรณี ละครซีรีส์ พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก)
เป็นประเด็นที่ผมคิดหนักตั้งแต่แรกว่าจะใช้เรื่องนี้ในการช่วยนำเสนอธรรมะหรือไม่ เพราะหลายบท หลายเหตุการณ์ หลายคำพูดนั้น เรียกได้ว่าไม่ตรงกับที่ศึกษามา และหลายครั้งก็เรียกได้ว่าไม่ตรงกับสภาวะที่เกิดจากการปฏิบัติด้วย
เราสามารถดูเรื่องนี้บนพื้นฐานของความบันเทิงได้ แต่การจะนำมาอ้างอิงนั้นควรระวังให้มาก ดังเช่นในกรณีที่ผมยกเรื่องนี้มากล่าวอ้างในบทความต่างๆ จะนำมาเฉพาะในสภาวะที่ตนเองเข้าใจและปฏิบัติได้จริงเท่านั้น เรียกได้ว่าต้องมีความรู้ในตนก่อนจึงจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ยังมีความเสี่ยงในการสื่อสารที่อาจจะทำให้คนอื่นตีความผิดได้เช่นกัน
การนำหนังเรื่องนี้มาขยายบางบทบางตอนในบทความของเพจนี้นั้นมีความเสี่ยงมาก เพราะอาจจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเนื้อหาทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ก็เป็นได้ จากที่ผมประเมินดูด้วยภูมิของตัวเองนั้น หนังเรื่องนี้มีข้อพลาดมากกว่าข้อดี แต่การเลือกหยิบยกบางจุดมาอธิบายนั้นเพราะข้อดีเหล่านั้นยังพอใช้ได้
หนังเรื่องนี้สร้างบนพื้นฐานของพุทธประวัติก็จริงอยู่ แต่มาจากฉบับไหนก็ไม่รู้ และมีการใส่เนื้อหาบทบาทให้เกิดความน่าติดตาม น่าสนใจ อีกทั้งเนื้อหาในส่วนสำคัญบางตนยังถูกปรับให้เบาจนเสียสาระสำคัญไป ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะเป็นเรื่องของการตีบทละครให้ดูง่ายและน่าติดตาม
ดังนั้นผู้ติดตามควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม อย่าพึ่งยึดมั่นถือมั่นในข้อมูลที่ได้รับรู้มา ซึ่งมาบอกกันตอนนี้อาจจะช้าเกินไปสำหรับบางท่าน เพราะจำไปแล้ว เชื่อไปแล้ว เข้าใจเช่นนั้นไปแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องออกมารับผิดชอบเพราะเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่หนังเรื่องนี้
– – – – – – – – – – – – – – –
30.8.2558
กรณีการโต้แย้งต่างๆในบทความ “พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ จากความเห็นความเข้าใจจากผลการปฏิบัติธรรม”
หากใครได้ติดตามอ่านความคิดเห็นในบทความแล้วก็จะพบว่ามีคนจำนวนหนึ่งเข้ามาเห็นแย้ง ด้วยเหตุผลก็ตาม ด้วยอารมณ์ก็ตาม
ให้เรียนรู้ว่านี่แหละ ธรรมชาติของการปฏิบัติธรรม จะให้ทุกคนมีความเห็นเดียวกันไม่ได้หรอก แต่ละคนจะมีความเห็นไปตามกรรมของตน
หากอ่านบทความจะเห็นได้ว่าผมยกพระสูตรมาเยอะพอสมควร เพียงแต่ย่อมา และอีกส่วนเป็นสภาวธรรมซึ่งเป็นของส่วนตัว เป็นความเห็นส่วนตัว
แต่ก็ยังมีผู้ที่หวังดีเข้ามาพยายามปกป้องพุทธศาสนาและความเชื่อของเขาโดยการยัดเยียดความคิดเห็นของเขา และยัดเยียดความผิดมาให้ผม
จะสังเกตุได้ว่าผมก็อยู่ของผมดีๆนั่นแหละ แต่ก็มีคนแชร์เอาไปตีความ เอาไปข่ม เอาไปยำกันเสียสนุกเลย
ตรงนี้เองเรียกว่า “มานะ” คือความยึดดี การมีความยึดดีนี้จะไม่ยอมให้สิ่งดีของตัวเองด้อยค่าลงและมักจะยัดเยียดดีของตนให้ผู้อื่น
และยังมี “อติมานะ” คือการดูหมิ่นกัน จะสังเกตุได้ว่าบางคนก็ดูหมิ่นผมทั้งที่ยังไม่เคยศึกษา ไม่เคยรู้จักกันเลย บางคนก็ดูหมิ่นผิดเรื่องผิดประเด็น อาจจะเพราะเคยมีปมจากที่อื่น
บางคนยังมีอาการของ การโอ้อวด(สาเฐยยะ) หัวดื้อ(ถัมภะ) แข่งดีเอาชนะ(สารัมภะ) ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี (อิสสา) ร่วมเข้าไปด้วยอีกต่างหาก
ทั้งหมดนี้เป็นอาการของกิเลสทั้งนั้น ผมเองไม่เคยบังคับให้ใครเข้ามาอ่านหรือเข้ามาแสดงความคิดเห็น การกระทำเหล่านั้นเป็นเจตนาของแต่ละคน เป็นกรรมของแต่ละคน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นกรรมที่เกิดจากกิเลส
นั่นหมายถึงสิ่งที่พวกเขาได้รับคงหนีไม่พ้น อกุศลกรรม บาป เวร ภัย ฯลฯ สรุปแล้วคือเข้ามาพิมพ์โต้แย้งก็ไม่ได้มีผลดีเกิดขึ้นมาเลยสักอย่าง ซึ่งก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ทำไปก็ไม่มีผลเจริญอย่างใดเลย
เพราะไม่ว่าเขาจะมีความเห็นอย่างไร ก็ลบความจริงในการปฏิบัติของผมไม่ได้ มันเป็นของจริงในจิตอยู่เช่นนั้น การกระทำของผู้ที่เห็นแย้งเพื่อสนองมานะตนจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ กับใครเลย
ผมก็ยังมีความสุขกับการละเว้นเนื้อสัตว์อยู่เหมือนเดิม แต่เขากลับได้กิเลสเพิ่ม ยิ่งด่า ยิ่งข่ม ยิ่งดูถูก เขาจะยิ่งสะสมกิเลสมากขึ้น สะสมเชื้อทุกข์มากขึ้น เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นในเวลาเดียวกัน เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ไม่ควรทำ
…ที่ยกมานี้ก็เพื่อจะเตือนเพื่อนๆว่า เวลามีคนที่เสนอความเห็นที่ต่างให้ระวัง “มานะ” หรือความยึดดีถือดีของเราไว้ให้ดี ถ้าเรายังไม่สามารถปฏิบัติให้เกิดผลจริงจนเห็นด้วยตัวเองได้ ถ้าเราสักแต่ว่าฟังมา เราจะมีความเสี่ยงในการโอ้อวดสิ่งที่ไม่มีในตน แถมยังไปเบียดเบียนผู้อื่นอีก
การไปถกเถียงกับเขาจะยิ่งต่อความยาว สาวความยืด ยิ่งเพิ่มกิเลสของเขา ผมได้ลองให้เห็นแล้วในบทความนั้น ลองศึกษากันดู ไม่ว่าเราจะชี้แจงอย่างไรเขาจะไม่สนใจหรอก เขาแค่อยากแสดงให้เห็นว่าทิฏฐิของเขาถูก ของเราผิดเท่านั้นเอง
ดังนั้นเราจึงไม่ควรให้อาหารกิเลส ไม่ควรให้เขาเสพสมใจในกิเลส ถ้าเขาอยากข่มก็ปล่อยเขา เรายิ่งดิ้นเขายิ่งสะใจ ถ้าเขาอยากแข่งก็ไม่ต้องไปแข่งกับเขา ยิ่งแข่งยิ่งบาป ถ้าเขาจะหยาบมาอย่างไรก็เป็นกรรมของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
เรื่องของเราคือเรารักษาใจตนเองให้ผาสุกได้ไหม เขามายั่วยวนขนาดนี้เรายอมเขาได้ไหม ยอมเขาไปเถอะ เขาอยากทำกรรมอะไรก็เรื่องของเขา เราเอาแต่เรื่องกุศล เรื่องบาปเราไม่ยุ่ง
ถ้าเราจะเป็นคนดีที่คอยตีคนที่เห็นต่างจากตน มุ่งมั่นกับการปราบคนที่เห็นไม่ตรงกับที่ตนเข้าใจ เราจะกลายเป็นคนดีที่มีแต่ความทุกข์ไปตลอดกาล
ข้อสรุปจากบทความ “พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ จากความเห็นความเข้าใจจากผลการปฏิบัติธรรม”
เมื่อเผยแพร่บทความที่มีความเห็นชี้ชัดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ก็มักจะมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา ซึ่งเราควรพิจารณาเอาเองว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ
ผมจะนำเสนอเนื้อความตอนหนึ่งให้เพื่อนๆที่ติดตามได้มั่นใจมากขึ้น
“บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นอริยะ เพราะเหตุที่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง บุคคลที่เราเรียกว่าเป็นอริยะ เพราะไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง”
(พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ข้อ ๒๙)
พระพุทธเจ้าเองท่านก็เป็นพระอริยะ และเป็นพระอริยะที่ระดับสูงที่สุดคือพระอรหันต์ และด้วยปัญญาระดับผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง จึงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนที่เหนือกว่าผู้ใดในโลก
การมีความเห็นต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา การโต้วาทีก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนย่อมปกป้องทิฏฐิที่ตนยึดมั่นอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเราชี้แจงได้ก็ชี้แจงไป แต่ถ้ามันหนักมากไปก็ให้ปล่อยวางเสีย
เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือไม่ทะเลาะ ไม่ชวนทะเลาะ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปบีบบังคับให้ใครมาเห็นตามเรา บางคนเขาก็แค่มาบอกความเชื่อของเขา เราก็รับรู้ว่าเขาเชื่อแบบนั้น ถ้าเขาถามเราก็พิจารณาก่อนว่าจะตอบให้เกิดประโยชน์อย่างไร ไม่ใช่ตอบเพราะยึดมั่นถือมั่นว่าของฉันถูก
หากเราปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ เราย่อมไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่นด้วยการเถียงเอาชนะ การเบียดเบียนความเห็นผู้อื่นแม้ว่าสิ่งที่เขาเข้าใจนั้นจะผิดไปจากทางพ้น ทุกข์ก็ตาม ก็ยังเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งที่ชั่วอยู่
เราควรเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้ จนบางครั้งหมายถึงการปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง ปล่อยเขาไปตามบาปบุญของเขา สุดท้ายวันใดวันหนึ่งเขาก็จะเรียนรู้ได้เอง โดยที่เราไม่ต้องไปยัดเยียด ไปบังคับ หรือไปสั่งสอนผิดถูกแต่อย่างใด

