ประเด็นทั่วไป
การนำเสนอภาพยนตร์ “อาบัติ” (2)
อ่านบทความก่อนหน้านี้ : การนำเสนอภาพยนตร์ “อาบัติ”
ผมเองไม่ได้มีความเห็นว่าควรฉายหรือไม่ควรฉายนะ โดยส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องโลก ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะสนใจ เพราะศาสนาไม่สามารถถูกทำลายด้วยภาพยนต์เรื่องเดียวหรอก ศาสนาไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น
เพราะถึงไม่สร้างหนังเรื่องนี้ ก็มีให้ดูตามข่าวกันอยู่เกือบทุกวันอยู่แล้ว มันแสดงให้เห็นความเสื่อมของศีลธรรมในสังคมมานานมากแล้ว
ศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมได้ก็เพราะคน ถ้าคนมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ต่อให้ทำอีกสิบหรือร้อยอาบัติมันก็เท่านั้นแหละ มันก็เป็นแค่สื่อสารคดีให้เขาคนมีปัญญาเขาศึกษาเท่านั้นเอง
ศาสนาคงอยู่ได้เพราะความบริสุทธิ์ของผู้ปฏิบัติ ถ้าเอากันชัดๆก็นักบวชนี่แหละ ที่เป็นตัวแสดงภาพลักษณ์ของศาสนา
ถ้ามันจะเสื่อมลงก็เพราะคน จะเจริญขึ้นก็เพราะคน ไม่ได้เกี่ยวกับสรรเสริญ( การสร้างหนังมาชม ) นินทา( การสร้างหนังมาสะท้อนปัญหา )อะไรเลย เพราะความเป็นจริงที่ผู้คนเห็นกันทุกวันนี้มันก็ชัดอยู่แล้ว
ถ้านักบวชส่วนรวมมีความประพฤติดี เขาก็ไม่กล้าสร้างหนังแบบนี้ขึ้นมาหรอก เพราะคนจะต่อต้าน หาเรื่องซวยเปล่าๆ แต่กระแสตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น น้ำหนักมันไม่ได้ไปในทิศทางเดียว มันมีทั้งต่อต้านทั้งสนับสนุน
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าให้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อรักษาภาพลักษณ์เพื่อให้ได้ลาภ สักการะ สรรเสริญ แต่ให้ปฏิบัติไปเพื่อการพราก เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลส ที่หวงลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุข
แล้วสิ่งที่ทำผิดทั้งหลายน่ะให้รีบแก้ไข ถ้ารีบแก้ไขมันก็จะไม่เสื่อม แต่ถ้าปล่อยไว้มัวแต่แก้ตัวหรือนิ่งทำเฉยมันก็จะเสื่อม ทุกวันนี้มีการแก้ไขกันเป็นตัวอย่างไหม? มีแต่อุ้มคนผิด เลี้ยงนักบวชทุศีล มันก็เสื่อมสิ พาเสื่อมปุ๊ปเดี๋ยวก็มีคนเอาไปตีแผ่อีก มันเป็นไปตามวิถีโลกอยู่แล้ว
ผมยืนยันเลยนะว่า ถึงจะฉาย”อาบัติ rate x” ( อย่างที่มีข่าวกันทุกวันนี้ ) พุทธก็ไม่เสื่อมไปจากคนที่มีของจริงหรอก ใครเขามีปัญญาเขาก็ศรัทธาอยู่แบบนั้น ส่วนใครสิ้นศรัทธาก็จากไป มันเป็นการคัดสรรโดยธรรมชาติเท่านั้นเอง
ศาสนาพุทธในมุมของผมนั้นไม่ลึกลับ เชิญใครมาดูก็ได้ว่าเราปฏิบัติเช่นนี้ เห็นเช่นนี้ ได้ผลเช่นนี้ ใครจะด่าจะว่า วิจารณ์ยังไงก็ได้ ศาสนาที่ไม่ยอมให้คนอื่นตินั้นไม่เจริญหรอก เช่นเดียวกันกับคนที่ไม่ยอมให้ใครวิจารณ์ เขาก็ยากจะเจริญเช่นกัน
ผมก็แอบสงสัยนะ ว่าการที่คิดจะแบนหรือปิดบังเนี่ย มันจะทำไปได้ตลอดหรอ ในเมื่อทุกวันนี้ก็เละเทะขนาดนี้แล้วเนี่ย
โดยส่วนตัวแล้วมองว่าถ้าปิดๆไว้ก่อนแล้วรีบแก้ไขสิ่งผิด มันก็พอเข้าใจได้ แต่ถ้าปิดไว้แล้วไม่แก้ไข ปล่อยให้ศีลธรรมเสื่อมแบบนี้มันจะบาปทะลักเอานะ
ภาพยนต์อาบัติ กับความเสื่อมของศาสนาพุทธ
การนำเสนอภาพยนต์ “อาบัติ”
เรื่องนี้ตอนแรกก็ไม่ได้มีกระแสอะไรมากมาย แต่พอถูกแบนด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่งาม ฯลฯ สรุปคือรับไม่ได้ที่จะเห็นภาพศาสนาพุทธเป็นเช่นนั้น ก็เกิดกระแสขึ้นมาในหลายๆที่
ผมได้เห็นเนื้อหาบางส่วนจากตัวอย่างแล้ว มองเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจากที่ศึกษาในพระไตรปิฎก เรียกว่าที่โหดกว่านี้ยังมีอีกเยอะ บรรยายถึงความเสื่อมไว้เป็นขั้นเป็นตอน
เช่น นักบวชในศาสนาชายหญิงเปิดของลับให้กันดู หมายจะให้อีกฝ่ายเกิดความใคร่อยากสมสู่กัน หรือนักบวชในศาสนาแม่ลูกสมสู่กัน และยังมีอีกหลายกรณีที่เข้าขั้นวิตถาร ก็มีให้ศึกษากันทั่วไปในพระไตรปิฎก
ซึ่งเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษา เพราะความเสื่อมในศาสนามีอยู่เสมอ และมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งถ้าเราไม่ศึกษา เราก็จะไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นอย่างไร และควรจะแก้ไขอย่างไร
ซึ่งจะทำให้ศาสนาพุทธค่อยๆกลายเป็นศาสนาแห่งความงมงาย เป็นเรื่องลึกลับ แตะต้องไม่ได้ กลายเป็นศาสนาเทพเทวดา นักบวชกลายเป็นผู้วิเศษ บริสุทธิ์ได้เพียงแค่ห่มผ้าเหลือง
ในสมัยพุทธกาลนั้นฆราวาสมีบทบาทมากกว่าในปัจจุบัน การคว่ำบาตรนักบวชทุศีล ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้ายังสรรเสริญ ถ้าฆราวาสไม่ดูแลศาสนา แล้วใครจะดูแล?
ข้อควรระวังในการศึกษา (กรณี ละครซีรีส์ พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก)
ข้อควรระวังในการศึกษา (กรณี ละครซีรีส์ พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก)
เป็นประเด็นที่ผมคิดหนักตั้งแต่แรกว่าจะใช้เรื่องนี้ในการช่วยนำเสนอธรรมะหรือไม่ เพราะหลายบท หลายเหตุการณ์ หลายคำพูดนั้น เรียกได้ว่าไม่ตรงกับที่ศึกษามา และหลายครั้งก็เรียกได้ว่าไม่ตรงกับสภาวะที่เกิดจากการปฏิบัติด้วย
เราสามารถดูเรื่องนี้บนพื้นฐานของความบันเทิงได้ แต่การจะนำมาอ้างอิงนั้นควรระวังให้มาก ดังเช่นในกรณีที่ผมยกเรื่องนี้มากล่าวอ้างในบทความต่างๆ จะนำมาเฉพาะในสภาวะที่ตนเองเข้าใจและปฏิบัติได้จริงเท่านั้น เรียกได้ว่าต้องมีความรู้ในตนก่อนจึงจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ยังมีความเสี่ยงในการสื่อสารที่อาจจะทำให้คนอื่นตีความผิดได้เช่นกัน
การนำหนังเรื่องนี้มาขยายบางบทบางตอนในบทความของเพจนี้นั้นมีความเสี่ยงมาก เพราะอาจจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเนื้อหาทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ก็เป็นได้ จากที่ผมประเมินดูด้วยภูมิของตัวเองนั้น หนังเรื่องนี้มีข้อพลาดมากกว่าข้อดี แต่การเลือกหยิบยกบางจุดมาอธิบายนั้นเพราะข้อดีเหล่านั้นยังพอใช้ได้
หนังเรื่องนี้สร้างบนพื้นฐานของพุทธประวัติก็จริงอยู่ แต่มาจากฉบับไหนก็ไม่รู้ และมีการใส่เนื้อหาบทบาทให้เกิดความน่าติดตาม น่าสนใจ อีกทั้งเนื้อหาในส่วนสำคัญบางตนยังถูกปรับให้เบาจนเสียสาระสำคัญไป ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะเป็นเรื่องของการตีบทละครให้ดูง่ายและน่าติดตาม
ดังนั้นผู้ติดตามควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม อย่าพึ่งยึดมั่นถือมั่นในข้อมูลที่ได้รับรู้มา ซึ่งมาบอกกันตอนนี้อาจจะช้าเกินไปสำหรับบางท่าน เพราะจำไปแล้ว เชื่อไปแล้ว เข้าใจเช่นนั้นไปแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องออกมารับผิดชอบเพราะเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่หนังเรื่องนี้
– – – – – – – – – – – – – – –
30.8.2558
น่าปวดหัวเรื่องผัวเมีย
จากกระทู้ในพันทิพในหัวข้อ “อายุ 25 แฟนไม่ทำการบ้านค่ะ !!!!!”
(http://pantip.com/topic/33980169)
ดูเอาเถอะใครที่ว่ามันไม่ทุกข์ นี่แค่ความอยากไม่เท่ากันนะ คนนึงไม่อยากสมสู่ คนนึงอยากสมสู่ พอสนองกันไม่ได้ชีวิตรักก็เริ่มร้าว
สุดท้ายส่วนใหญ่ก็มาตกม้าตายกันตรงความใคร่นี่แหละ พิจารณาให้ดีเถอะ เราหาคู่มาทำไม เอามาสนองความใคร่ของเราอย่างนั้นหรือ มันจะดีหรือที่เราฉุดเขาให้มัวเมาในกาม นี่มันการพากันลงนรกชัดๆ ไม่ใช่พากันเจริญเลยสักนิด
หลายคนให้เหตุผลที่ดูดีมากมายเพื่อมีรัก แต่กลับปกปิดเหตุผลที่แท้จริงไว้ข้างใน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอาย ไม่มีใครกล้าเปิดเผยกัน แต่ความจริงก็คือความจริง ความอยากมันก็ทำงานของมันไปเช่นนั้น สร้างทุกข์ไปเรื่อยๆเมื่อไม่ได้สมอยาก
นี่ถ้าไม่มีโลกออนไลน์ เราคงไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้กัน ต้องขอบคุณจริงๆ ที่เปิดเผยเรื่องราวกันได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน