สังคม สิ่งแวดล้อม

STRONGER TOGETHER เราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน

August 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,580 views 1

STRONGER TOGETHER เราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน

STRONGER TOGETHER เราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน

ความรุนแรงและการก่อการร้ายนั้นได้ยกระดับและเข้าใกล้กับชีวิตคนเมืองกรุงมากขึ้นทุกขณะ คอยเตือนให้เราได้ระลึกว่าชีวิตนั้นไม่แน่นอนอย่างไร เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้จิตใจของเราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะก้าวผ่านสถานการณ์เหล่านี้ไปได้

เราอาจจะเคยได้ยินข่าวการก่อการร้าย การวางระเบิด ที่มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายในภาคใต้ของไทย ซึ่งสำหรับคนกรุงเทพแล้ว ก็คงจะเป็นอะไรที่ไกลตัว แม้ได้ยินก็ยังไม่เข้าใจ แม้จะเห็นภาพก็ยังไม่ค่อยรู้สึก แต่ในตอนนี้ได้มีเหตุก่อการร้ายขึ้นที่กลางกรุง ในจุดที่ผู้คนพลุกพล่าน เราได้เห็นภาพ ได้รู้สึก และได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าความรุนแรงของการก่อการร้ายนั้นส่งผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างไร

การระเบิดนั้นไม่ได้สร้างแค่ความเสียหายต่อชีวิตและจิตใจของผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น แต่กระจายออกไปยังคนกรุงเทพ คนไทย และอีกอื่นๆอีกหลายคนบนโลก

ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นได้ทำลายชีวิตและความปกติสุขในจิตวิญญาณของหลายๆคนไปในทันที หลายคนต้องพบกับความหวาดกลัวในการเดินทาง หลายคนต้องเสียเวลาไปกับข่าวสารที่มากมายมหาศาล โดยไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนหลอก หลายคนต้องเสียสติไปกับกระแสของความโลภ โกรธ หลง หรือกิเลส

ซึ่งกิเลสนี้เองคือสิ่งที่ทำให้เราหวาดกลัว ทำให้เราแสวงหาข้อมูลเกินความจำเป็น ทำให้เราเร่งเร้าอยากจะให้จับคนร้ายได้ไวๆทั้งที่หลักฐานและเหตุปัจจัยยังไม่เหมาะสม ทำให้เราโกรธคนร้าย โกรธคนนู้น โกรธคนนี้ โกรธใครก็ตามที่เราคิดว่าผิด ทำให้เราหลงมัวเมาว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สมควรในขณะนั้นก็ได้ ซึ่งกิเลสนี้เอง คือสิ่งที่ทำลายความสามัคคี ทำลายความแข็งแกร่งของจิตใจ ทำให้เราถดถอยและอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ

การที่เราจะสามารถเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกันได้ คือการร่วมสร้างสังคมที่มีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ ไม่ตื่นตระหนกต่อสิ่งเร้า ไม่ไหลตามกระแสแห่งกิเลส แต่ก็ไม่ลอยเหนือปัญหาจนไม่เอาภาระบ้านเมือง

ซึ่งสิ่งแรกที่เราควรจะทำคือรับรู้ความจริงตามความเป็นจริง เพียงแค่รับรู้ ยังไม่ต้องรีบวิเคราะห์ เพราะเพียงแค่เรารับรู้ข้อมูลต่างๆที่ประดังเข้ามา กิเลสก็จะสั่งให้เราคิด พูด และทำลงไปตามใจกิเลส เช่นเราเข้าใจว่าคนคนหนึ่งน่าจะเป็นคนสั่งการ เราจึงวิเคราะห์ตามข้อมูลที่เรามี และเผยแพร่ความคิดของเราออกไป นั่นหมายถึงเรากำลังเดาเอาล้วนๆ ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงตามความเป็นจริง เพราะเราไม่ได้มีข้อมูลความจริงทั้งหมด เรารู้ความจริงบางส่วน แล้วเอามาผสมกับความจำของเรา ปรุงออกมาเป็นข้อมูลใหม่ที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นจริง และสุดท้ายเราก็เชื่อมั่นว่ามันเป็นจริงเสียด้วย และนั่นคือการทำงานของกิเลสที่สัมฤทธิ์ผล

เชื้อของความอ่อนแอในสังคมไม่ได้เกิดขึ้นจากระเบิด แต่เกิดขึ้นจากกิเลสในจิตใจของเรา หากว่าเราส่งเสริมกันด้วยถ้อยคำของกิเลส พยายามวิเคราะห์ ชี้นำ ชักนำให้เกลียดคนนั้นชอบคนนี้ พยายามหาคนผิดทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน พยายามเสนอความเห็นทั้งที่ไม่รู้จริง พยายามคาดเดาเหตุการณ์ ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินกรรมคนอื่น เป็นผู้พิพากษาคนอื่น ซึ่งเกิดจากความหลงยึดดีในตนเอง อาการเหล่านี้เองที่จะทำลายสังคมได้รุนแรงกว่าระเบิดหลายเท่านัก

ระเบิดหนึ่งลูกอาจจะพรากชีวิตคนได้หลายสิบคน แต่การระเบิดของกิเลสในจิตใจของแต่ละคน ที่แพร่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น ได้ทำลายจิตวิญญาณแห่งความผาสุก ทำลายสติ ทำลายปัญญา ทำลายความเมตตา ทำลายความดีงามทั้งหลายของตนเองและผู้อื่นได้อีกนับไม่ถ้วน

การเติบโตและความแข็งแกร่งที่แท้จริง คือการทนได้แม้อยู่ในสภาพที่ไม่น่าจะทนไหว ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการกำเริบของกิเลสเช่นนี้ เราสามารถหาความเจริญได้ ใช้โอกาสนี้พัฒนาให้จิตใจของเราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการอดทน ข่มใจ ไม่ปล่อยตัวให้ไกลไปตามกระแสของความโลภ โกรธ หลง ที่จะชักนำให้เราไหลลงสู่ความเสื่อมและความอ่อนแอทั้งหลาย

กิเลสนั้นนำมาซึ่งความชั่ว ความแตกแยก ความถดถอย ความอ่อนแอ ความทุกข์ โรคภัย ฯลฯ ดังนั้นเราจึงควรเว้นขาดจากการส่งเสริมกิเลสซึ่งกันและกัน ไม่กล่าวถ้อยคำหรือแสดงความเห็นที่ทำให้กิเลสกำเริบ ทำให้เกิดความโกรธ อาฆาต ชิงชัง รังเกียจใครเลย

ซึ่งการไม่ไหลไปตามกิเลสนี้ไม่ได้หมายถึงการไม่เอาภาระ หรือไม่ทำหน้าที่พลเมืองดี เราปล่อยวางเฉพาะในเรื่องกิเลส เราไม่ไหลตามกระแสของความโลภ โกรธ หลง แต่เรายังจะทำหน้าที่ของคนที่อยู่ในสังคม ถ้ามีภัยเราก็ช่วยกันแก้ ช่วยกันป้องกัน แต่เราจะไม่ช่วยปลุกปั่น ไม่ยุยงส่งเสริมให้ใครเกลียดใคร เราสามารถรังเกียจกิเลสได้แต่อย่าเกลียดคนมีกิเลส

ดังนั้นการจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกันได้คงจะไม่มีทางอื่นนอกจากจะหยุดตัวเองจากการไหลตามกระแสของความมัวเมาในกิเลสทั้งหลาย เรียนรู้ที่จะพาตัวเองออกจากกระแสเหล่านั้นจนกระทั่งหลุดออกมาได้สำเร็จ แม้เข้าไปในกระแสแต่ก็ไม่ปนไม่เปื้อนและไม่หลงติดหลงยึด สามารถกลับเข้าไปและออกมาได้อย่างอิสระ สุดท้ายคือช่วยเหลือผู้อื่นให้หยุดชั่ว หยุดไหลไปตามกระแสกิเลส จนกระทั่งแนะนำวิธีให้ออกจากกระแสแห่งความเสื่อมเหล่านั้นได้และนี่คือที่สุดของความแข็งแกร่งในมหาจักรวาล

– – – – – – – – – – – – – – –

18.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

แมวตัวนั้น

August 16, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,817 views 1

แมวตัวนั้น

แมวตัวนั้น

ระหว่างที่ค้นหาภาพประกอบบทความ ก็ไปเจอกับภาพหนึ่งที่เคยถ่ายไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นภาพแมวเด็กตัวหนึ่งที่กำลังหลบหลังเสาและจ้องมองมาที่กล้อง

ผมเคยเลี้ยงแมวและผูกพันกับแมวมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ แต่หลังจากแมวตัวสุดท้ายได้ตายจากบ้านไปเมื่อปลายปี 2555 ก็ไม่ได้นำสัตว์ใดๆเข้ามาในชีวิตอีกเลยซึ่งในใจก็ไม่ได้คิดอยากจะเลี้ยงอีก แม้ว่ามันจะดูน่ารักแต่มันก็เป็นภาระให้เราต้องคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ

หลังจากนั้นผมก็ได้พบเจอแมวตามสถานที่ต่างๆ ก็มักจะให้ความสนใจกับมัน ทักทายมันบ้าง ถ่ายรูปมันบ้าง หรือแม้แต่จับมันบ้าง ซึ่งตอนนั้นก็คิดว่าคงไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยอะไรมากสำหรับความชอบแมวในระดับนี้

จนผมได้พบกับลูกแมวในภาพ มันอยู่ในวัด เล่นอยู่กับแม่และพี่น้องของมัน ด้วยความที่ผมชอบแมว ผมก็เลยเดินเข้าไปถ่ายรูป และคิดจะไปเล่นกับมัน แต่มันก็วิ่งหนี วิ่งไปสักพักก็หันมามอง เราก็เดินตามไป มันก็วิ่งหนีแล้วก็หันมามองอีก เราก็แอบนึกสนุก เลยตามมันไปสักพักใหญ่

สุดท้ายแล้วมันก็มาถึงทางตัน มันวิ่งขึ้นบันไดและพบกับลูกกรง ผมเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังกลัว และกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันโดนพรากจากพี่น้องและแม่ของมันมา เพราะผมไปเดินตามมัน เราอาจจะไม่ได้คิดอะไรเพราะคุ้นเคยกับแมว แต่แมวเด็กตัวนี้ไม่คุ้นเคยกับเรา ไม่เคยเจอเรา มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา

มันเริ่มร้องส่งเสียงดัง ผมรู้ชัดเจนว่าควรจะหลีกออกไปได้แล้ว หากยังยืนอยู่มันก็คงไม่ได้ไปหาแม่ของมัน แต่ก็ยังแอบหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพ ภาพของแมวเด็กที่หลบหลังเสา แล้วโผล่หน้ามามองว่าคนแปลกหน้าคนนี้ไปรึยัง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเดินตามแมวเพราะหมายว่าจะจับมัน ด้วยความหลงและความเคยชิน

หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยได้ยุ่งกับแมวสักเท่าไหร่ ถ้ามันเดินผ่านก็จะจับมันบ้าง ลูบมันบ้าง แต่ไม่ถึงกับเดินเข้าไปหามันเหมือนเมื่อก่อน ตัวไหนที่เดินเข้ามาใกล้จึงจะไปยุ่งกับมัน

ต่อมาไม่นานนัก ผมได้คลายความหลงในตัวแมวลงเป็นลำดับ ผมเลือกที่จะไม่ยุ่งกับมัน เลือกที่จะมองมันเฉยๆ มองให้มันเดินผ่านมาและเดินผ่านไป แต่ก็ยังมองมันอยู่ ยังเห็นว่ามันน่ารักอยู่ ยังคิดถึงขนนุ่มๆที่เคยจับอยู่ แม้แต่การดูรูปแมวที่เขาโพสลงในอินเตอร์เน็ตทั้งหลายผมก็ยังมองว่ามันน่ารักดีอยู่เหมือนเดิม

จนกระทั่งตอนนี้ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าการที่เราไปหลงชอบใจในแมวนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ควรเลย ในแง่ที่ร้ายที่สุดก็คือเราจะไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมัน ไปควบคุมมัน และเอามันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราด้วยความหวังดีที่ไร้เดียงสา ไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นเป็นการเบียดเบียนมัน เบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ รวมถึงการเข้าไปยุ่งวุ่นวายในวิถีแห่งกรรมของมัน

ในแง่ร้ายที่ลึกยิ่งกว่าคือการไปหลงรักหลงชอบใจในสัตว์นั้นเอง คือจิตที่เราจะไปผูกกับสัตว์นั้น ไปหลงเสพหลงสุขจากมัน เอามันเป็นตัวตนของเรา ถ้าได้ดู ได้จับ ได้อุ้ม ฉันจะเป็นสุข ถ้าไม่ได้สิ่งเหล่านั้นฉันจะเป็นทุกข์ มันทุกข์ตรงที่อยากเสพ พออยากเสพจึงพยายามหาทางให้ได้เสพอย่างที่ต้องการ ทีนี้มันจะหยุดไม่ได้ มันจะต้องทำให้ได้เพื่อที่จะเข้าไปดู ไปจับ ไปอุ้ม ซึ่งความอยากนี้ก็ว่าเป็นทุกข์แล้ว ถ้าไม่ได้สมอยากก็ทุกข์อีก นี่แหละคือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง

ผมคงจะเร่งทำลายความหลงในแมวในเร็ววันนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ไปเบียดเบียนมันด้วยท่าทาง ด้วยสัมผัส ด้วยวาจา ด้วยสายตา และไม่เบียดเบียนตนเองด้วยจิตใจที่ปนเปื้อนกิเลสนี้เช่นกัน

– – – – – – – – – – – – – – –

16.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

การชวนคนลดเนื้อกินผัก กับการตอบความเห็นต่าง

August 9, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,377 views 0

ผมเป็นคนที่ลดเนื้อกินผักคนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ชวนใครมากินตามสักเท่าไหร่นะ อย่างมากก็แค่แนะนำ แค่บอกข้อดี โดยเฉพาะญาติพี่น้องมิตรสหายนี่ผมแทบไม่แตะเลย

เพราะถ้าเขายังไม่เห็นประโยชน์ เขาก็ไม่เข้ามาเอาหรอก พูดให้ตายยังไงเขาก็ไม่เอา ยัดเยียดไปก็มีแต่จะทะเลาะกัน เขาก็ยังอยากกินเนื้อของเขาอยู่อย่างนั้นแหละ

เหมือนกันกับคนที่เข้ามาเห็นต่างเกี่ยวกับบทความลดเนื้อกินผักของผมในบาง ครั้ง ผมก็ชี้แจงไปตามเหตุปัจจัยนะ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา เขาอยากกินอะไรก็กิน อยากทำอะไรก็ทำ จะประกาศตัวว่าจะกินเนื้อสัตว์ หรือจะมองว่ากินเนื้อสัตว์นั้นถูกต้อง ถูกธรรม ไม่บาป มันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของผม ผมไม่บังอาจไปเปลี่ยนความเห็นของใครหรอก

จะทำให้ทุกคนมาลดเนื้อกินผักมันทำไม่ได้หรอก มันได้เฉพาะบางคนเท่านั้นแหละ คนที่เห็นว่าวิธีนี้ลดการเบียดเบียนได้ เป็นสิ่งดี มีประโยชน์ เขาก็มาเอา คนที่เขาไม่เห็นคุณค่า หรือยังอยากกินเนื้อ เขาก็จะไปตามทางของเขา

ทีนี้คนที่จะมาลดเนื้อกินผักนี่มันไม่เยอะนักหรอก มันลำบาก มันไม่สบาย มันยุ่งยากในการปรับตัว มันต้องอด ต้องฝืน ต้องศึกษา น้อยคนที่จะพยายามพัฒนาตนเองเพื่อลดการเบียดเบียน

ช่วงหลังผมก็เลยไม่รู้จะมานั่งตอบคนที่เห็นต่างทำไม ให้ผมไปตอบคนที่เห็นต่างทั้งหมดนี่เหนื่อยตายเหมือนกันนะ โลกนี้มีคนกินเนื้อสัตว์เยอะกว่าคนลดเนื้อกินผักอยู่แล้ว แล้วคนไม่ล้างกิเลสนี่นะ กามหนาอัตตาจัดกันสุดๆ

สรุปว่าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า เพราะส่วนมากเขาก็แค่มาแสดงความคิดเห็น มายั่ว มาข่ม มาอวด อะไรก็ว่าไป เขาก็สร้างวิบากบาปของเขาไป เราบอกได้ก็บอก แต่ถ้ามันหนักหนาจนไม่ไหวก็วางเฉยไปดีกว่า… จะเอาอะไร ก็กรรมตัวเองทำมาทั้งนั้น ในชาติที่ยังไม่ลดเนื้อกินผัก เมารสเนื้อสัตว์ก็คงจะไปทำอย่างนั้นมาไม่มากก็น้อยนั่นแหละ

คนหากิน สัตว์หากิน เราไม่เบียดเบียนกันและกัน

July 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,479 views 0

คนหากิน สัตว์หากิน เราไม่เบียดเบียนกันและกัน

นอนๆอยู่ก็นึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยิน เป็นประโยคที่ดีมาก เลยไปค้นว่ามาจากไหนก็ได้เจอเพลงนี้ เพิ่งจะเคยฟังเต็มๆ

แม้เพลงนี้จะกล่าวในขอบเขตของสัตว์ป่า แต่ประโยคนี้กลับขยายได้ไปถึงองค์รวมของการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์

ทำไมเราไม่หากินของเราไป และปล่อยให้สัตว์หากินของมันไป ไม่ต้องไปเบียดเบียนมัน เราจะเบียดเบียนกันและกันไปด้วยเหตุผลอะไรบ้าง ในเมื่อแท้จริงแล้วชีวิตที่ไม่เบียดเบียนกันก็สามารถดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข

“เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด” เป็นประโยคที่พระพุทธเจ้าผู้ไม่เบียดเบียน กล่าวกับ อหิงสกะ หรือองคุลีมาล จนเกิดดวงตาเห็นธรรม ตื่นจากความหลงผิด ความมัวเมาในคำลวงของผู้อื่น ที่ล่อหลอกให้ไปฆ่าคนมากมาย

ชื่อ อหิงสกะ แปลว่าผู้ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น ซึ่งแท้จริงแล้วท่านมีบารมีพร้อมจะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเพียงแค่แนะนำธรรมะที่มีพลังพอจะกระเทาะเปลือกแห่งโลกีย์ให้ จนเกิดปัญญารู้โทษชั่วของการเบียดเบียน บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

แม้ว่าในเมื่อวานเราจะยังหลงสุขกับการกินเนื้อสัตว์อยู่ แต่อาจจะไม่ใช่วันนี้ก็ได้….

เพียงแค่เราปลดเปลื้องเปลือกที่เคยห่อหุ้มไว้ ละทิ้งความหลงสุขที่พาให้เบียดเบียน ปลุกจิตวิญญาณที่มีเมตตาของตนขึ้นมา จนแผ่ไพศาลไกลออกไปมากกว่าความสุขในตัวเอง แผ่ไปสู่ความสงบสุขในสัตว์ทั้งหลายด้วย