ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

November 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,897 views 9

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

เราอยู่ในยุคสมัยที่อุดมไปด้วยความรู้ที่ช่วยให้สนองกิเลสได้ง่ายเพียงแค่ควักเงินจ่าย อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อ ไม่ว่าจะความสุข ความสวยความงาม หรือแม้แต่ความดีก็ตาม

การปรับแต่งรูปร่างหน้าตาในยุคปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมยอมรับ เราสามารถผ่าตัดปรับเปลี่ยนหน้าได้ตามต้องการเท่าที่กำลังเงินจะอำนวย จึงมีคำกล่าวที่ว่า “ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้” ข้อความนี้จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ลองมาอ่านบทวิเคราะห์กันดู

ในพระพุทธศาสนานั้นมีความรู้ที่จะช่วยให้บุคคลผู้ต้องการความงามนั้นสร้างความงามอยู่เช่นกัน นั่นคือการเจริญพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะทำให้มีโภคทรัพย์มาก โดยทั่วไปหมายถึงทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะฐานะ มิตรสหาย หรือกระทั่งองค์ประกอบทางด้านร่างกายก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์ทางโลกุตระ

และการเจริญพรหมวิหารนั้นไม่ได้หมายความว่า ทำชีวิตนี้แล้วไปให้ผลในชีวิตหน้า แต่หมายถึงทำเท่าไหร่ก็ให้ผลเท่านั้นทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่นๆต่อไป นั่นหมายความว่า ถ้าเราเจริญพรหมวิหารเราก็จะมีโภคทรัพย์ที่จะเจริญไปโดยลำดับ เราอาจจะเคยสังเกตเห็นคนที่เขาไม่สวยไม่งาม แต่กลับมีเสน่ห์ น่าเข้าใกล้ น่าพูดคุย น่าคบหา เหมือนมีธรรมรังสีเปล่งประกายออกมา จนบางครั้งหลงชอบใจทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบทางร่ายกายของเขาไม่ใช่สิ่งที่เราเคยชอบใจเลยสักนิด

จึงสรุปไว้ก่อนเลยว่า “ทำบุญชาตินี้ ก็งามในชาตินี้แหละ

แต่หลายคนรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องทำดีเพื่อรอรับผล ไม่ยินดีรอเวลา ใจร้อน หรือเรียกว่า “โลภ” อยากให้ดีเกิดมากกว่าเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็น ที่มันไม่สวยไม่งามมันก็ฟ้องอยู่ในตัวแล้วว่า “เป็นผู้ที่มักโกรธ ผูกโกรธ พยาบาท” ไม่มีพรหมวิหาร ก็ควรจะเร่งสร้างความเจริญขึ้นในจิตใจ

แต่คนส่วนมากไม่ทำเช่นนั้น เขามองข้ามความเจริญทางจิตวิญญาณ แล้วไปสนใจเพียงแค่ร่างกาย บางคนเกิดมามีวิบากกรรมที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะร่างกายไม่สมประกอบ การจะผ่าตัดตกแต่งให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกตินั้นก็สามารถเอื้อกันได้โดยไม่ผิดอะไร แต่คนที่มีรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์ตามปกติดีอยู่แล้ว จะไปเสริมเติมแต่งให้มันมากขึ้น ให้มันสวยขึ้น ให้มันสมใจยิ่งขึ้น อันนี้มันก็เป็นการสนองกิเลส

ซึ่งการสนองกิเลสในระดับที่ไปผ่าให้มันสวยขึ้น ไปเติมให้มันใหญ่ขึ้น ฯลฯ เป็นกิเลสในระดับที่หยาบมาก รองลงมาคือพวกที่แต่งเนื้อแต่งตัว รองลงมาก็พวกที่แต่งหน้าแต่งตา ถ้าให้ดีก็ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาให้มันเสียเงินเสียเวลาก็จะดีที่สุด

เพราะคนนั้นไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี แล้วหลงว่าร่างกาย เนื้อหนังนั้นเป็นสิ่งเลิศ จึงเกิดการแส่หา ไขว่คว้าสิ่งที่ตนอยากได้อยากเสพมาเป็นของตน ในขั้นเริ่มต้นก็มักจะแต่งหน้า โพสท่า แล้วแต่งรูปให้ดูดี แต่ถ้าสะสมกิเลสไปมาก ๆ ก็จะเริ่มไม่พอใจ จะแต่งหน้าแต่งตาไปทำไม? ผ่าตัดให้มันสวยทีเดียวไปเลยดีกว่าจะได้เสพสมใจ

แท้จริงแล้วมันมีความซ้อนในการเสพความสวยงามอยู่ เพราะถึงจะผ่าตัดมาให้สวยปานใด น้อยคนนักที่จะใช้เวลาทั้งวันในการมองหน้าตาและรูปร่างของตัวเอง โดยส่วนมากก็จะแต่งไปให้คนอื่นเขามองมากกว่า ซึ่งมันมีความหลงโลกธรรมซ้อนเข้าไปว่า สนใจฉันสิ มองฉันสิ ชมฉันสิ จนกระทั่งฝังลึกกลายเป็นอัตตาว่า ฉันสวย ฉันน่าสนใจ ฉันมีคุณค่า แล้วก็หลงมัวเมากับความสุขลวงในคุณค่าของเนื้อหนังเช่นนั้นต่อไป

หลอกตัวเองยังไม่พอ ยังเอากาม (ความสวยงาม) เหล่านั้นไปหลอกคนอื่นต่ออีก ให้เขารัก ให้เขาทุ่มเท ให้เขาหลงงมงายอยู่กับเนื้อหนังที่ถูกตัดต่อปรุงแต่งขึ้นมา อีกฝ่ายก็หลอกซ้อนเข้าไปอีกว่าเนื้อหนังนั้นคือคุณค่า เนื้อหนังนั้นน่าสนใจ ก็บำเรอกิเลสกันไป มันก็เลยหลงวนเวียนกันทั้งสองฝ่าย แก้กันไม่ได้ง่าย ๆ

การทำรูปร่างหน้าตาให้สวยขึ้นเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามกิเลส จริงอยู่ที่ว่า “ทำหน้าสวยชาตินี้” มันก็ดูสวยขึ้นได้จริงตามสมมุติโลก แต่มันก็มีวิบากบาปซ้อนเข้าไปอีก เพราะถูกเติมแต่งด้วยกิเลส ทีนี้พอเริ่มต้นด้วยกิเลส แล้วเอาไปสนองกิเลส สุดท้ายก็เมากิเลส มันจะมีที่ไปที่ไหน มันก็มีแต่นรก(ความเดือดเนื้อร้อนใจ) เท่านั้น

พอไม่ได้ศึกษาธรรมะก็มักจะมองว่าคุ้ม ฉันขอสวยไว้ก่อน เพราะถ้าฉันสวยฉันก็จะได้เสพอะไรอีกหลายอย่าง เช่น หาคู่ได้, มีคนชม, มั่นใจ ฯลฯ นั่นกิเลสทั้งนั้น เป็นการลงทุนที่สุดท้ายยังไงก็ต้องขาดทุน มีแต่เสียกับเสีย มีแต่สุขลวงกับทุกข์แท้ๆ แต่ก็ยังอยากได้อยากมีกัน นี่แหละที่เขาเรียกว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

คุณค่าของคนมันไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่คุณงามความดีที่ทำ เป็นคนเบียดเบียนโลกหรือทำประโยชน์ให้โลก บ้านเมืองไม่ได้ต้องการคนสวย แต่ต้องการคนดี ถ้าคนดีไปมัวแต่ห่วงสวยแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำดี ก็มีแต่คนดีที่ยังโง่อยู่เท่านั้นแหละ จึงยอมเสียเวลาอันมีค่าไปกับการมัวเมาในเนื้อหนังที่เสื่อมไปตามธรรมชาติทุกวันๆ

– – – – – – – – – – – – – – –

7.11.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

Related Posts

  • กินมังสวิรัติด้วยเมตตาหรืออัตตา กินมังสวิรัติด้วยเมตตาหรืออัตตา การปฏิบัติสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนนั้นมีหลากหลายวิธี มีความยากง่ายรายละเอียดซับซ้อนแตกต่างกันไป แม้ว่าสุดท้ายแล้วผลทางรูปธรรมที่เห็นได้คือเราสามารถกินมังสวิรัติได้เหมือนกันทุกคน […]
  • ความงามกับความรัก ความงามกับความรัก ในสังคมปัจจุบัน ความงามกับความรักปนเข้าไปด้วยกันเป็นเนื้อเดียวกันจนแทบจะแยกไม่เอาว่า เรารักเพราะความงามหรือรักเพราะอะไรกันแน่... ในบทความนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลง... หน้าจริง : […]
  • เกิดมาสวย ใช่ว่าดี เกิดมาสวย ใช่ว่าดี หลงรูปตัวเองก็ทำให้ตนเองเสียเวลา คนอื่นมาเห็นแล้วหลงรูปก็ทำให้คนอื่นเสียเวลา ทำให้คนอื่นหลงรูปก็ทำให้คนอื่นเสียเวลา .... การทำให้ตนเองและผู้อื่นหลงอยู่ในกามคุณเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย […]
  • สวยสมัยนิยม สวยสมัยนิยม ...ความสวยงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัยตามกิเลสของคน ในแต่ละยุคสมัยนั้นคนเรามักมีนิยามความสวยต่างกันไป เช่นยุคเรเนซองส์เขาก็มักจะมองผู้หญิงอวบอ้วนสมบูรณ์ว่าสวย แต่ในยุคสมัยนี้กลับไม่คิดเช่นนั้น […]
  • อย่ามัดใจชายด้วยความงาม อย่ามัดใจชายด้วยความงาม             ความงามของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อมัดใจชายมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้ชายนั้นลุ่มหลงมัวเมา อยากได้อยากครอบครองหญิงงาม แต่ทันทีที่เธอหลงใช้ความงามมัดใจชายใด […]

Comments (9)

  1. เคยมีคำถามประมาณว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเราโสดจริงๆ (คือจิตใจตั้งมั่นอยู่ในความโสดได้บริสุทธิ์สมบูรณ์จริงๆ)

    ถ้าผมจะตอบแบบสั้นๆคือจะมีความเห็นในเชิงที่ว่า “ไม่รู้จะไปมีคู่เพื่อหาประโยชน์อะไร” (งมเข็มในทะเลยังอาจจะเจอเข็ม แต่หาประโยชน์ในการที่เราจะไปมีคู่นี่มันไม่มีเลย) แน่นอนว่ารายละเอียดในการตรวจสอบยังมีมากกว่านี้ จะยกเรื่องหนึ่งที่เป็นตัวตรวจสอบให้

    คือการแต่งหน้าแต่งตัวนี่แหละ คนที่คิดจะเป็นโสดจะไม่เสริมความงามของตัวเองเลย จะไม่ยินดีพอใจในการแต่งเติมใดๆ เพราะรู้ดีว่าจะไปยั่วให้คนอื่นเกิดความอยาก พอเขามาชอบมาถูกใจเรา มันก็เป็นภาระของเรา ต้องคอยปฏิเสธ

    ถ้าเป็นผู้หญิง แบบทั่วไปก็ไว้ผมยาว ปะแป้ง อันนี้ก็อยู่ในฐานที่ไม่หนักหนานัก ถ้าหนักขึ้นมาก็พวกแต่งหน้าจัดๆที่ต้องทาลิปติก ต้องมีขนตาปลอม แต่งตัวจัด ถ้าหนักสุดๆก็ไปศัลยกรรม ปรับแต่งตรงนั้น เพิ่มตรงนี้ แต่งตัวโป๊เปลือย ซึ่งเรื่องพวกนี้มันจะโตไปตามกาม กามมากการปรับแต่งก็มาก

    ซึ่งมันจะเป็นตัวสะท้อนถึงความอยากมีคู่ของคนนั้น แม้เจ้าตัวจะบอกว่าตั้งใจโสด แต่ถ้ายังมีลักษณะดังที่ว่ามา แสดงว่ายังไม่พ้น เพียงแค่คิดเอาเท่านั้นว่าตนเป็นโสด แต่กิเลสมันไม่โสดตาม มันแค่สงบเหมือนเสือหมอบรอกินเหยื่อเฉยๆ

    ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๓ “สังโยคสูตร” ข้อ ๔๘)
    และฝากเรื่องนี้ไว้อ่านเพลินๆ เนื้อหาน่าจะเข้ากันได้อยู่นะ~

  2. คน

    บทความนี้มองคนในแง่ร้ายไปไหมค่ะ ทุกคนบนโลกมีกิเลสหมดค่ะ ความดี วัดภายนอกได้ด้วยรือต่ะ ขอถาม

    • มีกิเลสก็มันก็แสดงออกมาข้างนอกได้ เช่น แต่งหน้าแต่งตา ศีล ๘ ก็มีไว้ชี้อยู่แล้วว่ามันเป็นกิเลส

      ส่วนความดีวัดภายนอกได้หรือไม่นั้น ควรจะศึกษาว่าภายนอกนั้นเกิดจากอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่าใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง สิ่งต่างๆ เกิดจากจิตสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร มันเป็นมาโดยลำดับ ถ้าจิตไม่มีกิเลส ร่างกายจะไม่สร้างการเติมแต่งที่เกินความจำเป็น

      ถ้าจะบอกว่าการแต่งหน้าแต่งตานั้นไม่มีกิเลสนั้นคือความลำเอียงอย่างแท้จริง คือมองไปเห็นตามด้านกิเลส พอเอียงไปมองจากฝั่งกิเลส อะไรที่มันดีๆ เป็นกลางๆ ก็จะดูเป็นอคติไปเสียหมด ในสายตาคนที่ลำเอียง

      • คน

        จิงค่ะ การปรุงแต่งขึ้นมาทำหน้าที่ของกิเลส ถ้าเหมารวมหมดก็ไมาใช่นะค่ะ บางคนทำไป
        เพราะกน้าที่การงาน จิตใจเค้าย่อมสะอาดกว่าคไม่แต่งก็มีค่ะ กิเลสมีทุกคนค่ะ อยู่ที่บุคคลจะปนกิเบสด้านไหน ถ้ารวมคนทั้งโลก เห็นด้วยกัยบทความนะค่ะ แต่มีบางกลุ่มที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นก็มีค่ะ

        • หน้าที่การงานที่ต้องไปแต่งตัวยั่วกิเลส ก็ยังอยู่ในขีดมิจฉาอาชีวะ ในข้อมอบตนในทางที่ผิดครับ คือแม้ตนเองจะไม่ได้หลงติดหลงยึดการแต่งตัวก็ตาม แต่ก็ยังไปอยู่ในสังกัดที่มันไม่เอื้อให้เกิดกุศลสูงสุด เช่น คุณไม่สามารถดันตัวเองให้เกินศีล ๕ ไปได้

          ถึงคุณจะพยายามบอกว่าคนแต่งโดยไม่ติดก็มี มันก็อาจจะมี แต่เป็นส่วนน้อยมาก ซึ่งคนที่รู้จริงๆ จะไม่ทำครับ เพราะเป็นอกุศลวิบากแบบฟรีๆเลย มันไม่คุ้มที่จะแลกมา แม้จะได้เงินก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะพ้นจากเรื่องนี้ได้ครับ วิบากมันจะกันไม่ให้ออก ต้องกล้าหาญปฏิบัติธรรมแบบถวายชีวิตจริงๆ ถึงจะหลุดได้ ไอ้แบบสมดุลโลกธรรม เหยาะแหยะไปวันๆ นี่ไม่รอดหรอกครับ …ยาก

          บทความนี้ผมค่อนข้างตั้งมาตราฐานสูงครับ คุณจะแย้งก็ได้แต่ผมบอกตรงๆว่าผมเขียนขึ้นในฐานของศีล ๘ นั่นหมายถึงคนที่ไม่สามารถตั้งตนอยู่ในศีล ๘ ได้ เขาก็มีกิเลสเป็นเครื่องกั้นทุกคนนั่นแหละ บทความนี้คนต่ำกว่าศีล ๘ โดนทุกคนครับ

  3. คน

    ภายนอกที่แต่งคือกิเลส คนเขียนไม่เคยแต่งตัวออกทำงาน รือออกไปข้างนอกรือค่ะ จิงค่ะภายนอกวัดที่กิเลส แล้ววัดภายในไหมค่ะ ว่าสักแต่ว่าแต่งหน้า แต่งตัว คนที่ไม่ได้ยินดีกะการแต่งหน้า แต่งตัว มีนะค่ะ ช่วยเปนบทวามที่ขยายกว้างๆหน่อยค่ะ อ่านแล้วสะท้อนมุมเดียว

    ไม่อยากให้มองคนในแง่ดียวเสมอไปค่ะ

    • ไม่ยินดีแล้วจะแต่งไปทำไมล่ะครับ ถ้าแต่งเพราะกลัวเขาว่า เกรงใจเขา กลัวเขาถือสา มันก็ติดโลกธรรมเท่านั้นแหละ มันก็กิเลสอยู่ดี แค่แต่งตัวในขีดถูกกาลเทศะผมว่าคนทั่วไปเขาอ่านแล้วพอเข้าใจได้นะ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปจะเข้าใจว่าอะไรมันเหมาะสมและอะไรเป็นส่วนที่เกิน

      คนที่เขาไม่ได้ยึดติดกับการแต่ง เขาจะไม่เดือดร้อนใจครับ เพราะเขารู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาแต่งเพื่อสนองกิเลส แต่เป็นการอนุโลมไปตามโลก ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องขยายให้คนที่มีสภาวะเช่นนั้นเข้าใจ เพราะเขาจะเข้าใจของเขาเองอยู่แล้ว

  4. ส่องใจ

    ขอบคุณบทความดีๆน่ะค่ะ ส่วนตัวแล้วเป็นแบบที่คุณเขียนจริงๆค่ะ อ่านแล้วสะท้อนตัวตนออกมาเป็นเสี่ยงๆเลยค่ะ กิเลสยังหนาอยู่มาก ได้แต่สวดมนต์ นั่งสมาธิบ้างตามแต่กำลังใจจะตั้งมั่น ก็หวังว่าสักวันจะทำได้ค่ะ

  5. รับความจริง

    เห็นด้วยกับบทความ คนที่ไม่ยึดติดกับการแต่งตัว ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร แค่ปล่อยวางการแต่งตัวไม่ได้จะละกิเลสตัวอื่นได้อย่างไร

ฝากความคิดเห็น : Leave a Reply