กินมื้อเดียวแล้วเป็นอย่างไร
กินมื้อเดียวแล้วเป็นอย่างไร?
หลายคนคงจะสงสัยว่ากินมื้อเดียวนั้นดีอย่างไร? กินแล้วเป็นอย่างไร? จะมีแรงไหม? จะเป็นโรคกระเพาะไหม? จะขาดสารอาหารจนป่วยไหม?
ในโลกปัจจุบัน การกินอาหารมื้อเดียวนั้นดูจะขัดกับความรู้ที่เราได้เรียนหรือใช้ชีวิตมา ซึ่งส่วนใหญ่เราก็กินสามมื้อกัน แล้วเราก็เชื่อว่ามันดี อันนี้เป็นข้อมูลจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์อะไรก็ว่ากันไป แต่เมื่อ 2600 กว่าปีก่อนพระพุทธเจ้าท่านได้บอกไว้ว่า กินมื้อเดียวดีที่สุดในโลก (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก : จุลศีล ข้อ 9 และประโยชน์ของการกินมื้อเดียว ๕ )
รู้ขนาดนี้แล้วมันก็ต้องลองทำตามกันหน่อย!! เพราะมีข้อมูลจากพระไตรปิฎกว่ากินมื้อเดียวจะทำให้ เจ็บป่วยน้อย ลำบากกายน้อย เบากายเบาใจ มีกำลัง อยู่อย่างผาสุก
เมื่อลองบากบั่น พากเพียร พยายามจนสามารถเข้าใจถึงผลของศีลข้อนี้ได้ ก็พบว่ามันดีอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าจริงๆ ผลที่เห็นได้ทั่วไปก็คือ น้ำหนักลด มีเวลาเพิ่ม ประหยัด สบายตัว ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือกิเลสก้อนใหญ่ก็ลดลงไปด้วย
สุดท้ายก็จะรู้สึกไม่ลำบากใจที่จะไม่ได้กินหลายมื้อ ยินดีเต็มใจที่จะได้กินมื้อเดียวอย่างมีความสุข ถึงจะมีคนจัดมาให้ก็จะยินดีที่จะไม่กิน ความอยากกินหลายมื้อจะหายไป มีความตั้งมั่น มั่นคงว่ามื้อเดียวนี่แหละดีที่สุดในโลก กินตลอดชีวิตกันไปเลย รู้ได้ตามจริงเลยว่ากินหลายมื้อนี่มันลำบากจริงๆ รู้สึกเบื่อ ลำบาก ขยาด…ที่จะต้องไปกินหลายมื้อ และรู้ได้เองว่าเรานี่แหละพ้นความลำบากที่จะต้องกินหลายมื้ออย่างไม่มีวันที่จะกลับไปกินแบบนั้นอีกแล้ว
อันนี้ก็เป็นผลจากการพากเพียรปฏิบัติอย่างตั้งมั่น ถ้าเราทำมากก็สำเร็จไว ทำน้อยก็ช้าหน่อย บางคนไม่ทำก็ไม่ได้เลย แล้วก็มานั่งสงสัยว่าคนกินมื้อเดียวอยู่ได้อย่างไร? คนกินมื้อเดียวเขาไม่หิวหรอ? เขาจะมีแรงหรอ?อันนี้ก็ตอบให้เลยว่าดีกว่ากินสามมื้อทุกอย่าง
แต่บางคนทำก็ผิดๆถูกๆ ไม่มาไม่ไป เดินหน้าถอยหลังอยู่อย่างนั้น กินมื้อเดียวได้แต่ก็ยังอยากกินหลายมื้ออยู่ เห็นเขากินก็ยังอยากกินอยู่ ไม่มีความสุข ได้แต่กดข่มความรู้สึกไว้ หรือไม่ก็ชอบหาข้ออ้างให้ตัวเองได้กินหลายมื้อก็ว่ากันไป ถือศีลบ้างไม่ถือบ้างตามเหตุปัจจัยของสังคมและโลก ถ้าเกิดอาการนี้ก็คงต้องหาที่ปรึกษา หาผู้รู้ หาโค้ชกันหน่อย เพราะการปฏิบัติที่ไม่มีผู้รู้นี่ก็เหมือนคนไปเที่ยวป่าไม่มีคนนำทาง หลงทางกันเข้ารกเข้าพง เสียเวลาเปล่าๆแต่ใครชอบชมนกชมไม้ก็ไม่ว่ากัน
แต่ก็อย่างว่า… บางคนเขาไม่รีบก็ไม่เป็นไร สบายๆกันไป แต่ก็ต้องบอกตามจริงว่าความสุขที่มากกว่ากินสามมื้อก็คือกินมื้อเดียวนี่แหละ ดีที่สุดในโลก
– – – – – – – – – – – – – – –
29.7.2557
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ตั้งใจลองครั้งแรก ขนาดมื้อเย็นที่เคยทานเวลา 5-6 โมงเย็น วันนี้ทดลองกินมันเทศขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไป 1 ชิ้นแทน แล้วออกไปวิ่งจ็อกกิ้งตามปกติเวลาทุ่มครึ่งใช้เวลาวิ่งประมาณชั่วโมงกว่า ขณะวิ่งรู้สึกโหวงๆ เหมือนจะเป็นลม ไม่เหมือนปกติที่รู้สึกมันๆ กระปรี้กระเปร่า แต่วันทดลองรู้สึกหิวมาก วิ่งเสร็จกลับบ้านรีบกินอาหารแทบไม่ทัน (นี่ขนาดไม่ได้อดมื้อเย็นเสียทีเดียวนะครับ เพราะยังรองท้องด้วยมันเทศ)
จึงอยากรบกวนขอคำแนะนำครับ
ถ้าฝึกกินมื้อเดียวแล้วกินอาหารไม่พอเหมาะมันจะโหยมาก ปัญหาโดยหลักๆจะมี 3 ส่วนคือ 1.อาหาร 2.ร่างกาย 3.ใจ
อาหารนี่เราต้องฝึกกินให้เป็น กินให้ช้า เคี้ยวให้ละเอียด โปรตีนจากถั่วก็ต้องมี ข้าวกับผักก็ต้องเต็ม จำเป็นต้องทดลองกินจนเจอปริมาณที่เหมาะสม ต้องอดทนไปสักระยะอาจจะเริ่มจากมากไปน้อยจะง่ายกว่าน้อยไปมาก เพราะอิ่มจนอึดอัดทรมาณน้อยกว่าหิวจนโหย
ร่างกาย นี่ต้องใจเย็น เพราะเขามีระบบของเขา กระบวนการของเขา สัญญาของเขา น้ำย่อยจะหลังมาตามเวลาที่เคยกิน ถ้ากินมื้อเดียวได้นานๆแล้วจะไม่มีอาการน้ำย่อยหลั่งให้ปวดท้องตอนเย็นแล้ว ต้องให้เวลากับร่างกายได้ปรับสภาพ ต้องอดทนพอสมควร ค่อยๆลด อย่าหักโหม เพราะร่างกายไม่ได้ปรับไวเหมือนใจ
ในส่วนของใจคือตัวคุมทุกอย่าง ถ้าเราไม่มั่นใจว่ากินมื้อเดียวดีจริง ไม่รู้ประโยชน์จริง เราจะลังเล ความไม่มั่นใจนี้เองที่จะกินพลังงานทำให้เสียพลังงานที่มีอยู่จำกัดไป และใจนี้เองสามารถสร้างความหิวลวงๆได้เช่นกัน สร้างความอยากอาหารได้เช่นกัน การฝึกใจนั้นยากที่สุด ลึกที่สุด แต่ส่งผลมากที่สุด
…ลองพยายามปรับองค์ประกอบของทุกอย่างดูนะครับ จนกว่าจะเจอที่มันลงตัว นั่นหมายถึงเราเพียรจนได้ปัญญาที่เป็นผลแล้ว
เรากินอาหาร1มื้อ1เวลามาได้1วัน วันนี้วันที่2แล้ว อาหารที่กินก็เป็นมังสาวิรัติ แบบ โอโว-แลกโต-เวกเจทเทเรี่ยน
วันแรกรู้สึกเพลียและหิวนิดๆ แต่ก็ทนไหว
วันนี้กินไปหาข้อมูลไป
กินไปเรื่อยๆจนกว่าจะอิ่ม
อิ่มแล้วพรุ้งนี้สายๆค่อยกินต่อ อิอิ
ดีแล้วครับ พากเพียรต่อไป ร่างกายจะปรับตามจิตใจที่เปลี่ยนแปลงจนเป็นปกติได้เอง