Tag: หลงสุข
ความมัวเมาในรสรัก
ความมัวเมาในรสรัก เมื่อความหลงผิด ทำให้หลงสร้างบาป ท่ามกลางความหลงสุข
การที่คนเรานั้นไปหลงมัวเมากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นอกจากจะสร้างภัยอันน่ากลัวให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นเหตุให้ผู้อื่นพากันหลงผิด และนั่นคือบาปที่จะย้อนกลับมาเล่นงานผู้ที่หลงมัวเมานั่นเอง
คนที่หลงในความรักนั้น นอกจากที่เขาเหล่านั้นจะเสียเวลาที่สำคัญในชีวิตไปกับการหลงสุขในการมีคู่ ไปหลงสร้างบาป คือการเพิ่มกิเลสให้กับตนเองโดยแลกกับการเสพสุขลวงแล้ว เขาเหล่านั้นก็ยังเป็นสื่อให้ผู้อื่นได้หลงผิดมาเห็นดีเห็นงามกับเรื่องทางโลกด้วย
คนที่หลงในความรักนั้น บางคนก็หลงกันอยู่นานหลายปี สิบปี ยี่สิบปี หรือตลอดชีวิต และตลอดเวลาแห่งความหลงนั้น เขาก็ได้เป็นทูตแห่งความหลงที่คอยเผยแพร่ความเห็นที่ว่า การมีคู่นั้นดี การได้มีความรักนั้นดี การมีคนดูแลเอาใจนั้นดี ฯลฯ แต่ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกหรือเผยแพร่ความเห็นใดๆเลยก็ตาม แค่เพียงความเป็นไปของเขาเหล่านั้นก็ได้แสดงให้คนที่ไม่รู้เดียงสา ได้เห็นว่าการมีคู่นั้นน่าจะมีความสุขจริงอย่างที่ใครเขาว่า
เป็นบาปของคนมีคู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายั่วกิเลสคนอื่นตั้งแต่เราคบหาเป็นแฟนกับคู่ของเรา ทำให้ผู้อื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพบ้าง เรายั่วกิเลสคนอื่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเราแต่งงาน ทำให้คนอื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพมากขึ้นไปอีก และเรายั่วกิเลสคนอื่นยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อเราสร้างของรักใหม่ที่เรียกว่าลูก แสดงให้เห็นว่ารักนั้นได้เสพอะไร ให้เห็นว่ารักนั้นเป็นสุขอย่างไร ให้เห็นว่ารักนั้นเที่ยงแท้ยืนนานอย่างไร โดยผ่านความเป็นไปที่เราได้แสดงออกมาในชีวิตประจำวัน แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ใช่ความจริงเลย
ด้วยความหลงในสุขของเรา หลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการมีคู่ การอวดคู่ หรือการบูชาความรักที่เกิดจากความหลงนั้นเป็นโทษภัยอย่างไร ความหลงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่ทำให้เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงทำให้คนที่หลงในการมีคู่นั้นภูมิใจในสถานะที่ตนเองมี เพราะหลงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าเราคบหากันไป 10 ปี เราก็สร้างวิบากบาป กลายเป็นตัวอย่างของคนที่หลงสุขในกิเลส ให้คนอื่นเอาอย่างไป 10 ปี ถ้าเราคบไปร้อยปีก็เป็นตัวอย่างไปร้อยปี หลงนานเท่าไหร่ก็สร้างบาปให้ตัวเองและผู้อื่นมากเท่านั้น
ทีนี้คนที่มีคู่แล้วไม่ใช่ว่ารู้ถึงโทษภัยผลเสียต่างๆแล้วจะออกกันได้ง่ายๆ การเลิกกันด้วยความไม่ยินยอมทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การไม่ผูกพันกันด้วยความหลงเป็นสิ่งที่ดี คนที่มีคู่นั้นจะมีขอบเขตในการทำกุศลที่จำกัด แม้จะพากันออกจากความหลง ไม่สร้างอกุศลกรรม พากันถือศีล ไม่สมสู่ ไม่แตะเนื้อต้องตัว ไม่พูดจากันด้วยคำหวานของกิเลส ไม่เอาแต่ใจเพราะความยึดติด แม้จะทำได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ยังจะเป็นตัวอย่างให้คนหลงติดหลงยึดในความเป็นคู่อยู่ดี เพราะคนดีที่มัวเมาในความเป็นคู่รักก็ย่อมจะอยากได้คู่รักที่ดีเป็นตัวอย่าง
ดังนั้นการเป็นโสดแต่แรกจึงดีที่สุด ไม่ต้องไปผูกให้ต้องลำบากมาแก้กันทีหลัง เพราะเมื่อมีคู่ไปแล้ว มันผูกพัน มันแก้กันไม่ง่าย ถึงจะตัดทันทีก็จะมีวิบากกรรม แม้จะใช้ความติดดียึดดี เลิกกัน อย่าร้างกัน แต่กรรมก็จะไม่ยอมอย่างนั้น ถ้าอีกฝ่ายยังหลงในความรัก เขาก็ยังจะจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติอยู่ดี ดังนั้นคนที่มีคู่จึงไม่สามารถตัดความเป็นคู่ออกได้ง่ายๆแม้จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแค่ไหนก็ตาม
และเมื่อเขาเหล่านั้นยังมีภาพลักษณ์ของคนคู่ที่สวยงามอยู่ ก็จะเป็นสื่อให้คนที่หลงนั้น อยากได้อยากเสพในภพของคนดี อยากมีคู่รักแบบคนดี เช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นความเป็นสื่อแห่งบาป ที่จะต้องมารับวิบากบาปในภายหลัง เกิดมาชาติหน้าก็ต้องโดนคนอื่นเขามอมเมาว่ามีคู่แล้วทำดีด้วยกันได้ มีคู่แล้วพาเจริญด้วยกันได้ มีคู่แล้วปฏิบัติธรรมด้วยกันได้ ก็เลยหลงไปมีคู่ สุดท้ายก็ติดบ่วง ซ้ำไปซ้ำมา เป็นความเมาในรสรักที่ให้ผลสืบเนื่องหลายต่อหลายชาติ ต้องรับทุกข์ สร้างอกุศล สร้างบาปกันอย่างไม่จบไม่สิ้น
จนกว่าจะทุกข์จนเกินทน จนกว่าจะเห็นว่าการหลงมัวเมาในรสรักเหล่านั้นสร้างทุกข์ โทษ ภัย อย่างไร จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นภพคนโสด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกได้ง่ายๆขนาดนั้น แม้จะเกิดชาติไหนก็จะมีคนมายั่วกิเลส เอาความรักในอุดมคติมานำเสนอ เป็นคนดีก็มีความรักได้ พากันเจริญได้ ฯลฯ อีกทั้งคู่เวรคู่กรรมที่จ้องจะเข้ามาลากไปลงนรกกันทุกภพทุกชาติ
สรุปแล้วคนมีคู่ก็ต้องเรียนรู้ความจริงตามความเป็นจริงและรับกรรมตามที่ตัวเองก่อไว้ต่อไป ส่วนคนโสดก็เป็นโอกาสที่จะคิดทบทวน ตัดสินใจว่าจะเอาไหม? จะดีไหม? สุขลวงแป๊ปเดียวทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์เลยนะ ผูกนิดเดียวต้องตามไปแก้กันทุกภพทุกชาติเลยนะ จะเอาไหม? จะลองไหม? มันทุกข์มากนะ มันเป็นสุขลวงแต่นรกจริงๆนะ ยังจะเอาอีกหรือ?
– – – – – – – – – – – – – – –
23.8.2558
คนหากิน สัตว์หากิน เราไม่เบียดเบียนกันและกัน
“คนหากิน สัตว์หากิน เราไม่เบียดเบียนกันและกัน”
นอนๆอยู่ก็นึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยิน เป็นประโยคที่ดีมาก เลยไปค้นว่ามาจากไหนก็ได้เจอเพลงนี้ เพิ่งจะเคยฟังเต็มๆ
แม้เพลงนี้จะกล่าวในขอบเขตของสัตว์ป่า แต่ประโยคนี้กลับขยายได้ไปถึงองค์รวมของการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์
ทำไมเราไม่หากินของเราไป และปล่อยให้สัตว์หากินของมันไป ไม่ต้องไปเบียดเบียนมัน เราจะเบียดเบียนกันและกันไปด้วยเหตุผลอะไรบ้าง ในเมื่อแท้จริงแล้วชีวิตที่ไม่เบียดเบียนกันก็สามารถดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข
“เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด” เป็นประโยคที่พระพุทธเจ้าผู้ไม่เบียดเบียน กล่าวกับ อหิงสกะ หรือองคุลีมาล จนเกิดดวงตาเห็นธรรม ตื่นจากความหลงผิด ความมัวเมาในคำลวงของผู้อื่น ที่ล่อหลอกให้ไปฆ่าคนมากมาย
ชื่อ อหิงสกะ แปลว่าผู้ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น ซึ่งแท้จริงแล้วท่านมีบารมีพร้อมจะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเพียงแค่แนะนำธรรมะที่มีพลังพอจะกระเทาะเปลือกแห่งโลกีย์ให้ จนเกิดปัญญารู้โทษชั่วของการเบียดเบียน บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
แม้ว่าในเมื่อวานเราจะยังหลงสุขกับการกินเนื้อสัตว์อยู่ แต่อาจจะไม่ใช่วันนี้ก็ได้….
เพียงแค่เราปลดเปลื้องเปลือกที่เคยห่อหุ้มไว้ ละทิ้งความหลงสุขที่พาให้เบียดเบียน ปลุกจิตวิญญาณที่มีเมตตาของตนขึ้นมา จนแผ่ไพศาลไกลออกไปมากกว่าความสุขในตัวเอง แผ่ไปสู่ความสงบสุขในสัตว์ทั้งหลายด้วย
ทำอย่างไรดี ฉันอยากมีคู่
ทำอย่างไรดี ฉันอยากมีคู่
แม้ว่าจะได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับทุกข์ของการมีคู่มามากมาย ได้รู้ธรรมะที่ว่าการมีคู่นั้นสุขน้อยทุกข์มาก ทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ผูกพันเราอยู่ในวิถีโลกียะ จำที่เขาสอนได้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่สิ่งที่ว่างเปล่าไม่มีแก่นสาระอะไร แต่กระนั้นกิเลสข้างในก็ยังไม่ยอมรับความโสด ยังคงมีเหตุผลมากมายที่จะมาหักล้างความดีงามของความโสด จนความอยากมีคู่นั้นล้นทะลักออกมาเป็นความคิดที่ปักมั่นว่า “ฉันจะต้องมีคู่”
แล้วเราจะทำอย่างไรในเมื่อกิเลสนั้นทรงพลังมาก แต่ธรรมะที่มีนั้นอ่อนแอเสียเหลือเกินมองไปทางไหนเห็นคนมีคู่ก็สุขใจ ได้ยินเรื่องราวความรักก็แอบอมยิ้ม อิจฉา อยากได้อยากมีแบบเขาบ้าง
ก่อนที่เราจะพลาดพลั้งเสียทีให้กับกิเลสจนตัดสินใจที่จะต้อนรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต เราก็ควรจะศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการมีคู่ เพราะการมีคู่นั้นมีความเสี่ยงสูง ผู้ที่คิดจะมีคู่ควรตัดสินใจให้ถี่ถ้วนเสียก่อน และทั้งหมดนี้ไม่ใช่การลงทุน
1).เราหลงสุขในอะไร
ความอยากมีคู่นั้นคือผลที่สุกงอมของกิเลส ซึ่งอาจจะเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นว่ามนุษย์ต้องเกิดมาเพื่อสืบพันธุ์ มีครอบครัวจึงจะสมบูรณ์ หรือไม่ก็ในมุมที่อยากเสพสุขทางกามอารมณ์ใดๆสักอย่าง
การหลงว่าการสืบพันธุ์เป็นหน้าที่ คนเราต้องมีครอบครัว การมีคนรักคือเครื่องยืนยันความสมบูรณ์ ฯลฯ ความเห็นทั้งหลายเหล่านี้เป็นความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องโลก(โลกียะ) ซึ่งไม่แปลกอะไรถ้าใครจะเห็นเช่นนี้ แต่ความเห็นที่จะพาออกจากโลก (โลกุตระ) จะไม่เห็นเช่นนี้ เพราะรู้ดีว่าความเห็นเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เลย มีแต่จะทำให้หลงในสุขลวง หลงในความเชื่อ หลงวนเวียนในวิสัยแห่งโลกไปเรื่อยๆ
ในส่วนของความอยากเสพสุขในกามอารมณ์ใดๆ สักอย่าง อยากเสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรืออยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สนองอัตตาใดๆก็ตาม เป็นสาเหตุหลักที่ผูกคนไว้กับการมีคู่ ทำให้คนเหล่านั้นไม่ยอมปิดโอกาสในการมีคู่ของตน เพราะรู้ดีว่าถ้าโสดก็จะไม่ได้เสพ แต่ถ้ามีคู่ก็จะได้เสพอย่างที่ตนเองหวังไว้
โดยเฉพาะเรื่องของการสมสู่ เป็นเรื่องที่ติดกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะยากดีมีจน คนเลวคนดี ก็ล้วนเสพติดสุขจากการสมสู่ด้วยกันทั้งนั้น หากอยากจะลองดูว่าเราติดจริงไหมก็ให้ตั้งตบะเลิกสมสู่ทั้งชีวิตก็จะเห็นอาการของกิเลสที่ดิ้นรนหาเหตุผลให้ได้เสพ ไม่ว่าจะเป็นการสมสู่ตัวเองหรือกับคู่ครองก็ตาม
ทั้งหมดนี้คือความสุขที่เราเข้าใจว่าจะได้เสพต่อเมื่อมีคู่ครอง ดังนั้นเมื่อเราอยากเสพ เราก็ต้องหาคู่ครอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลสวยหรูงดงามแค่ไหน การมีคู่นั้นก็ยังเป็นสภาพที่จมอยู่ในกามภพ คือสภาวะที่ยังเสพสุขจากกามอยู่เป็นนิจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สมสู่กัน ก็ยังเสพสุขในการมีกันและกันอยู่ดี
2). โทษภัยของการมีคู่
แม้ว่าเราจะมองว่าการมีคู่นั้นจะทำให้เราได้เสพสุขจากกิเลสนั้นๆที่เรายึดติด จนทำให้เรามองข้าม ทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงสะสมผลของอกุศลกรรมที่ทำลงไปเรื่อยๆและรอวันให้ผล
ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ยังเป็นประโยคอมตะที่ไม่มีใครลบล้างได้ แม้เราจะหมายมั่นว่าเราสามารถยอมรับและจัดการทุกข์จากการมีคู่ได้ แต่กระนั้นก็ยังต้องวนเวียนทุกข์อยู่เรื่อยไป ไม่สามารถหนีพ้นพลังแห่งความจริงที่ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ได้ ในเมื่อยังมีความอยาก(ตัณหา) เกิดขึ้น ก็ยังมีอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) ภพ(ที่อาศัย) ชาติ(การเกิด) ชรา(ความแก่) มรณะ(ความตาย) โสกะ(ความเศร้าโศก) ปริเทวะ(คร่ำครวญรำพัน) ทุกข์ โทมนัส(เสียใจ) อุปายาส(ความคับแค้นใจ) เกิดขึ้นตามไปด้วย
และแท้จริงแล้วความสุขจากกิเลสนั้นเป็นความสุขลวง เป็นพลังงานที่เราสร้างขึ้นมาหลอกตัวเอง สร้างรสสุขให้ตัวเอง สร้างเองเสพเอง เสียพลังงานไปเปล่าๆ ทำให้ต้องแสวงหาสิ่งอื่นมาบำเรอเพื่อที่จะได้เสพสุขที่ตนหลงยึดมั่นถือมั่นว่าจะได้เสพจากสิ่งนั้น นั่นหมายถึงการมีคู่แท้จริงแล้วไม่มีรสสุขใดๆเลย สุขที่เห็นและเข้าใจว่ามีนั้น เป็นรสสุขที่เกิดจากพลังของกิเลสทั้งสิ้น
ถึงรสสุขจะเป็นสิ่งลวง แต่ทุกข์นั้นกลับเป็นของจริง ทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นทุกข์จริงๆที่ต้องรับทั้งหมด เพราะเป็นผลที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกิเลส เราอาจจะเคยชั่งน้ำหนักว่า ถ้ามีคู่ก็สุขครึ่งหนึ่ง ทุกข์ครึ่งหนึ่ง หรือไม่ก็สุขมากทุกข์น้อย ซึ่งในความเป็นจริงแท้ๆแล้วนั่น สุขไม่มีจริงเลย มีแต่ทุกข์แท้ๆอย่างเดียวเท่านั้น
การมีคู่นั้นสร้างทุกข์ให้มากมาย ทั้งการต้องคอยบำเรอคู่ วิบากกรรมที่ต้องร่วมรับ เช่นเขาไปทำความผิด ทำให้เราและครอบครัวต้องเดือดร้อน เขาต้องเป็นภาระให้เราคอยดูแล เป็นห่วงกังวล เขาล้มป่วยหรือตายก่อนถึงวันที่พร้อม ทำให้เราต้องประสบทุกข์อย่างมาก และยังมีเรื่องราวทุกข์จากการมีคู่ให้ได้เห็นอีกมากมายในสังคม
โทษภัยที่ร้ายที่สุดของการมีคู่คือการดึงรั้งกันไว้ในโลกีย์ ไม่ยอมให้ออกไปง่ายๆ ใช่ว่าคนหนึ่งปฏิบัติธรรมแล้วอีกคนจะยอมให้ทำได้อย่างอิสระ หรือถ้าปฏิบัติธรรมทั้งคู่ก็ใช่ว่าจะสลัดกันออกได้ง่ายๆ เพราะสิ่งที่ผูกกันไว้ใช่ว่าจะตัดกันได้ง่ายๆ สายสัมพันธ์ที่ถูกสอดร้อยด้วยกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นและยากจะแกะออกได้ แม้ว่าเป้าหมายของทั้งคู่คือการบรรลุธรรม แต่การครองคู่นั่นเองคือสิ่งที่ถ่วงและเหนี่ยวรั้งไม่ให้พบกับความเจริญ
3). ประโยชน์ของความโสด
หากเราจะกล่าวถึงประโยชน์ของความโสด ก็เรียกได้ว่ามีประโยชน์กว่าการมีคู่อย่างหาประมาณไม่ได้ แต่คนมักจะไม่ให้ค่าความโสด เพราะหากโสดแล้วก็จะไม่ได้เสพสุขจากการครองคู่ ทั้งที่จริงแล้วความโสดมีคุณประโยชน์มากมาย
ในชีวิตทั่วไป ความโสดทำให้เราคล่องตัวในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องผูกพันกับใครมากจนเป็นภาระ เปิดโอกาสให้เพื่อนได้เข้ามาช่วยเหลือจุนเจือ เป็นสังคมเกื้อกูลมากกว่าต้องพึ่งพากันในสภาพของคู่ครองอย่างที่สังคมมักจะทำกัน โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นประโยชน์ตนที่ทุกคนควรทำเป็นอันดับแรก
ความคล่องตัวในชีวิตหมายถึงความสามารถไขว่คว้าโอกาสในการเจริญได้ง่าย เช่นถ้ามีเพื่อนชวนไปทำสิ่งที่ดี คนโสดแทบจะไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เห็นประโยชน์แล้วปัจจัยพร้อมก็ไปได้ทันที แต่คนคู่นั้นมีปัจจัยที่ผูกพันมากกว่า จึงอาจเสียโอกาสในการเข้าถึงสิ่งที่ดีได้
ความโสดยังลดโอกาสในการสร้างวิบากกรรมชั่ว ที่หากยังครองคู่อยู่คงจะต้องสร้างบาปและอกุศลเช่นนี้เรื่อยไป เช่น สมสู่กันอยู่เป็นนิจ พากันเสพสุขลวงจากของอร่อย สถานที่ท่องเที่ยว การสะสม ฯลฯ ซึ่งเมื่ออยู่เป็นโสด จะไม่มีกำลังของกิเลสมากพอจะผลักดันให้ไปทำชั่ว แต่เมื่ออยู่เป็นคู่ คนมีกิเลสสองคนจะรวมพลังกิเลสกันแล้วร่วมใจกันเสพ จึงมีโอกาสทำชั่วได้ง่าย
ทั้งนี้การมองเห็นความดีความชั่วขึ้นอยู่กับฐานศีล ถ้าศีลต่ำก็มองไม่เห็นชั่ว ถ้าศีลสูงก็จะเห็นชั่ว แต่ถึงแม้เห็นหรือไม่เห็น ชั่วก็ยังเป็นชั่ว กิเลสก็ยังเป็นกิเลส มันก็เป็นพลังงานอกุศลของมันอยู่แบบนั้น
4). พรากออกห่าง
เมื่อศึกษาเหตุจากความหลงสุข โทษ และประโยชน์แล้ว แต่ยังไม่สามารถหักห้ามใจได้ ก็พยายามออกห่างจากสถานการณ์ที่ชวนให้กำหนัด ให้รู้สึกหลงรัก ให้เกิดความอยากมีคู่ สร้างระยะห่างขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองพลาดพลั้งให้กับพลังของกิเลสได้ง่าย
เพราะยิ่งอยู่ใกล้สิ่งที่อยากเสพมากเท่าไหร่ หากเราไม่มีกำลังสติมากพอ ก็อาจจะข่มใจไม่ไหว หลวมตัวหลงรัก ตกลงปลงใจคบหากันก็ได้ ยิ่งถ้าพูดถึงปัญญานี่ไม่ต้องห่วงเลย มันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะถ้ามีปัญญา ต่อให้มีกำลังสติน้อยมันก็ไม่คิดจะไปเอาใครเข้ามาเป็นคู่ครอง เพราะมันรู้แจ้งในโทษชั่วของการมีคู่แล้ว แต่โดยทั่วไปนั้นจะต้องใช้กำลังสติเป็นเครื่องยับยั้งใจ และใช้ศีลเป็นกำแพงขวางกั้น
5). กำแพงศีลธรรม
เราอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าผู้ที่จะคบหาเป็นมิตรกันได้นานนั้น จะต้องมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาเสมอกัน ซึ่งความเสมอนั้นไม่ว่าดีหรือชั่ว ต่ำหรือสูง เพียงแค่เสมอก็ทำให้สามารถเป็นมิตรผูกภพผูกชาติไปด้วยกันได้แล้ว
คนชั่วก็จะมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาระดับคนชั่ว คนดีก็จะมีระดับของคนดีเช่นกัน แล้วเราอยากให้คนชั่วหรือคนดีเข้ามาในชีวิตของเรา ถ้าเราอยากให้คนดีเข้ามาในชีวิตของเรา เราก็จะต้องพัฒนาองค์ประกอบทั้งหมดให้ยกระดับขึ้นไปอีก ถ้าในไตรสิกขาก็จะเริ่มด้วยอธิศีล คือศึกษาศีลให้ยิ่งกว่าเดิม
เช่นเราไม่เคยกินมังสวิรัติเลย แต่ก็ไม่อยากเจอคนไม่ดีเลยถีบตัวเองขึ้นไปกินมังสวิรัติด้วยกำลังของศรัทธาที่เห็นประโยชน์ในการลดเนื้อกินผักและเกิดปัญญาว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งดี มีจาคะพอที่จะสละความสุขลวงในความติดรสของตน
ถ้ารู้สึกว่ายังดีไม่พอ ยังเจริญไม่พอ กินมังสวิรัติแล้วยังเจอคนชั่วอยู่ ก็ให้ขยับอธิศีลขึ้นอีก มาศึกษาการกินมื้อเดียว พอมาฐานนี้จะเริ่มมีคนตามได้ยากแล้ว ใครจะปีนกำแพงศีลธรรมมาต้องแกร่งพอสมควร แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนทำได้ เราก็ก่อกำแพงขึ้นมาอีกเป็นศีล “อพรหมจริยา เวรมณี” คือละเว้นการประพฤติที่ไม่ใช่พรหม ที่เข้าใจได้ง่ายๆคืองดเว้นการสมสู่แตะเนื้อต้องตัวกัน พอมาฐานศีลนี้ก็จะป้องกันตัวเองจากคนกิเลสหนาและกามจัดได้มากขึ้นอีก ถ้าอยากปลอดภัยอีกก็มีศีลระดับสูงอีกมากมายที่จะป้องกันไม่ให้เราต้องเจอกับตัวเวรตัวกรรม
ทั้งนี้การศึกษาศีล หรือศึกษาไตรสิกขานั้นไม่ใช่จะกระทำได้ง่าย ใช่ว่าจะสำเร็จผลได้ง่าย หากเราถือศีลเป็นคราวๆก็จะได้กำแพงศีลเป็นคราวๆ ซึ่งไม่รู้ว่าวิบากกรรมชั่วจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราใช้การศึกษาศีลเพื่อให้เกิดปัญญาจนไปชำระกิเลสได้ ก็เรียกว่าได้กำแพงถาวร เกิดเป็นสภาพศีลที่มีโดยปกติ มีศีลได้โดยไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องพยายาม
6). กิเลสนี้เองคือไส้ศึก
แม้ว่ากำแพงศีลธรรมจะมีอยู่ แต่ก็มักจะมีผู้พลาดพลั้งเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเพราะมีไส้ศึก คือกิเลสซึ่งเป็นศัตรูร้ายที่อยู่ภายในจิตใจเรา ซึ่งจะคอยชักนำสิ่งที่ดีไม่งามเข้าสู่ชีวิตเรา
การที่มีใครสักคนหลุดทะลุเข้ากำแพงศีลธรรมมาได้โดยไม่ได้ผ่านมาตรฐานอะไรเลยนั้น ดังเช่นสภาพที่ว่า ไม่ได้ชอบแบบนี้แต่สุดท้ายก็ไปคบกับเขา ก็มักจะเกิดจากกิเลสซึ่งเป็นไส้ศึกลากศัตรูเข้ามาในช่องลับ หรือไม่ก็ทำลายกำแพงศีลธรรมเข้ามาเองเลย
การลากศัตรูเข้ามาในช่องลับคือการที่กิเลสของเราหาช่องทางเล็ดรอดให้พ้นกำแพงของศีลเพื่อที่จะให้ได้เสพสุขจากคนที่หมายนั้นโดยไม่ต้องผ่านการคัดครองของศีลแต่อย่างใด ทั้งนี้มักจะเกิดจากความอยากเสพในคนนั้นที่มากเกินควบคุมแล้วจึงหาข้ออ้าง หาช่องให้ได้เสพโดยที่ตนไม่ต้องรู้สึกผิดบาป
การทำลายกำแพงศีลก็คือเมื่อเจอกับคนที่ชอบแล้วก็ยอมลดศีลตนเอง เช่นปกติแล้วเป็นคนกินมังสวิรัติ แต่พอเจอกับคนที่ถูกใจแต่เขายังกินเนื้อสัตว์ก็จะเริ่มอนุโลมไปกินเนื้อสัตว์กับเขา ยอมลดศีลยอมเสพเนื้อสัตว์ไปพร้อมๆกับเสพสุขจากเขาเป็นต้น
7). วิบากกรรมเพื่อเรียนรู้
สุดท้ายเมื่อพยายามอย่างที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับพลังของกิเลส ซึ่งมาในรูปรวมของคำว่า”วิบากกรรม” หรือกรรมเก่า ซึ่งหมายรวมไปถึงกิเลสที่สะสมมาจนมีกำลังมากพอที่จะพาให้รู้สึกหลงรักจนคบหาได้เช่นกัน
สรุปได้ว่าเราไม่สามารถโทษกรรมเก่าแต่ปางก่อนได้เสมอไป เพราะมีกิเลสเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย แต่ถ้าคิดว่ากำจัดกิเลสได้จนสิ้นเกลี้ยงหรือไม่มีความอยากเสพใดๆปรากฏให้รู้ได้ทั้งสามภพ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพแล้ว การต้องรับคู่เข้ามาในชีวิตก็คือเรื่องของวิบากกรรมที่จำเป็นต้องรับไว้ด้วยองค์ประกอบทางโลกบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นภาระ แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องแบกไว้เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นบางอย่างเช่นกัน
คนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่ต้องรับใครเข้ามาในชีวิต ถึงเราจะมีคู่ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรที่สังคมให้ความสนใจ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดสิ่งดีงามอะไรขึ้นมา
นั่นหมายความการพ่ายแพ้ต่อแรงของกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการไปมีคู่ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ยากจะห้ามได้ ในเมื่อเขาเหล่านั้นไม่ได้มีกรรมดีที่ทำไว้มากพอที่จะช่วยดึงเขาออกจากนรกคนคู่ ซ้ำยังมีกรรมชั่วที่สั่งสมอุปาทานว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสุขไว้อย่างมากมาย เขาเหล่านั้นจึงต้องไปทดลองมีคู่เพื่อเรียนรู้วิบากกรรมกิเลสที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมานั่นเอง
มีคนจำนวนไม่น้อย มีคู่แล้วประสบทุกข์อย่างมาก ในตอนแรกก็คาดหวังไว้ว่านี้คือคู่ชีวิตที่จะรักและดูแลกันไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งคู่แต่งงานก็มักจะประกาศถ้อยคำที่มีนัยเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่สุดท้ายต้องตะเกียกตะกายออกมาจากนรกคนคู่ แม้จะพยายามปีนป่ายก็จะโดนวิบากกรรมลากกลับไปทุกข์อยู่ไม่จบไม่สิ้น
คนที่หลุดออกมาได้ก็จะมีสภาพบาดเจ็บ ถูกทำร้ายจิตใจ บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกายด้วย ส่วนคนที่ทุกข์แต่ยอมทนเพราะไม่กล้าพอจะแบกรับผลก็อยู่กันทั้งรักทั้งชัง หวานก็ไม่ค่อยมี ขมก็ต้องฝืนกลืน
คนบางพวกที่ยังประสบทุกข์น้อยสุขมากยิ่งน่ากลัว เพราะจะหลงว่าความรักดีๆสามารถสร้างได้ เช่นในกลุ่มคนดีก็มักจะสร้างกุศลกรรมเป็นแรงหนุนให้ได้เสพสุขอยู่ในรักร่วมกันจนแก่เฒ่า เป็นความประมาทที่ร้ายสุดร้าย เพียงเพราะหลงสุขลวงในชาตินี้เท่านั้น เหตุจากไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จึงมองการเสพสุขแบบโลกีย์เช่นนี้เป็นเป้าหมายในชีวิต
สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การรับใครเข้ามาในชีวิตด้วยกิเลสคือการสร้างหนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบไว้ว่า กามฉันทะ คือความเป็นหนี้ กามฉันทะนั้นกินความหมายกว้างมากไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเพศ แต่หมายรวมไปถึงความสุขจากการได้เสพทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะของกามภพ
นั่นหมายความว่าหากเรายังต้องคอยเสพสุขลวงจากการมีคู่อยู่ เราก็ต้องคอยใช้หนี้กรรมอยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น…
– – – – – – – – – – – – – – –
20.6.2558