Tag: หนี
อาการดูดดึง (เรื่องความรัก)
ก็มีคนเขามาเล่าว่า เจอคนที่มีอาการดูดดึง แต่จากที่เล่า เขาก็ไม่ชัดในอาการของตนเองสักเท่าไหร่นัก ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดได้กับผู้ประพฤติตนเป็นโสดมือใหม่ทุกคน
เมื่อเราตั้งใจแล้วว่าจะเป็นโสด ก็เหมือนเริ่มเกมตำรวจจับผู้ร้าย ทีนี้เราก็ต้องจับโจรให้ได้ จะจับได้ก็ต้องใช้สติ เพราะโจรมันทั้งไว ทั้งพรางตัว ถ้าสติเราไม่แกร่ง ไม่แม่น เราจะจับโจรหรืออาการเหล่านั้นได้ไม่ชัด
จะย่อสติปัฏฐาน 4 ที่เป็นเครื่องมือปฏฺิบัติในการตรวจจับกิเลสสั้น ๆ ให้พอเข้าใจกัน
กายในกาย – มีสติรู้อาการที่เปลี่ยนแปลงไป ที่เกิดขึ้นในร่างกาย เช่น หัวใจเต้นแรง , หันไปมองบ่อย , ประหม่า ฯลฯ
เวทนาในเวทนา – มีสติจับอาการสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดขึ้น มันจะมีไป 3 ทาง ถ้าเราเจอคนที่ชอบ มันก็จะสุข ก็ต้องจับทางให้ได้
จิตในจิต – มีสติจับตัวตนของกิเลส ว่าที่เกิดสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์นั้น ๆ เกิดเพราะเรามีความเห็นอย่างไร เราเห็นผิดอย่างไร (มิจฉาทิฏฐิ) ประเด็นไหน มุมไหน
ธรรมในธรรม – มีสติรู้ว่าจะต้องใช้ธรรมหมวดไหน ข้อไหน ประโยคไหน มาแก้สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นดี เป็นของน่าได้น่ามี เราก็ใช้ธรรมของพระพุทธเจ้าว่า เป็นลาภเลว ไม่น่าได้ ไม่พาพ้นทุกข์ ไม่ประเสริฐ เป็นต้น
ธรรมในธรรมนี้จะเป็นลักษณะของการสอนใจ หรือการดัดจริต จากมิจฉา(ผิด) ให้เป็นสัมมา(ถูก) ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีครูบาอาจารย์และมิตรดีสหายดีที่มีธรรมในเรื่องนั้น ๆ ช่วยเป็นมาตรฐาน หรือกรอบของความดีให้ปฏิบัติตามได้
… เมื่อเราจับอาการได้ บางครั้งเราอาจจะประมาณตัวเองไม่ถูก ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะแก้ไขเหตุการณ์ตรงหน้ายังไง ก็ให้ประเมินไว้ก่อนเลยว่า “สู้ไปก็แพ้แน่นอน” ดังนั้นการหนีจึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม
หนี แล้วห่างไว้ คือห่างจากสิ่งที่ทำให้ต้องกังวลและหวั่นไหว ในเมื่อเรายังไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับโจทย์นั้น เราก็ควรจะเลี่ยงออกมาก่อน แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมในเรื่องที่พอจะทำไหว สะสมกำลัง สะสมชัยชนะไปเรื่อย ๆ จะแกร่งขึ้น อินทรีย์พละจะสูงขึ้นจากการล้างกิเลสได้เป็นเรื่อง ๆ โดยลำดับ
ถ้ากำลังสติแกร่ง ๆ จะจับอาการได้ก่อนที่คอจะหันไปมอง ก่อนจะกลอกลูกตาไปดู จะจับความรู้สึกอยากจะเสพในใจได้ รู้ว่าอยากเป็นสุข ได้มองแล้วจะเป็นสุข เพราะหลงใน ? ของเขา แล้วใช้ธรรมมากำราบความกำเริบของกิเลสได้ทันที สู้วนไปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตัดกำลังกิเลสไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ ความเด็ดขาดจะขึ้นอยู่กับปัญญา (ความรู้จริงในโทษภัยของกิเลส) ไม่ใช่ความรู้ (ความจำตามที่เรียนมา) บางทีรู้มากแต่รู้ไม่ทันกิเลสก็มี ถึงเวลาที่กระทบควักความรู้ออกมาแทบไม่ทัน เผลอ ๆ เจอเขายิ้มให้ ความรู้หล่นกระจายหมด สติแตกกระเจิง แพ้ไปได้อีก
สภาวะดูดดึง รู้สึกแปลก รู้สึกพิเศษเหล่านี้ จริง ๆ มันก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก รู้แค่ว่าให้ระวังไว้ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวไว้ว่า “เจอปุ๊ปรักปั๊บนั่นแหละตัวเวร”
คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ ไปล่อลวงใครมาก็หลายคนและซ้ำซากมาหลายต่อหลายชาติ ดังนั้น ถ้ามันจะมีสัญญาณว่า “เริ่มต้นยกที่ 1” มันก็ไม่แปลกอะไร อย่าไปให้ความสำคัญ มันเป็นเรื่องธรรมดา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อย่าไปติดในใจ อย่าไปยึดไว้ ปล่อยเขาไปตามเวรตามกรรมของเขา เหมือนที่โบราณเขาว่า ได้ยินเสียงเรียกอะไรกลางค่ำกลางคืน อยากไปทักกลับ อาการพวกนี้ก็เช่นกัน อย่าไปหาสาระอะไรกับมันมาก ไปสนใจ ไปใส่ใจ เดี๋ยวของจะเข้าตัว เดี๋ยวไปรับเขาเข้ามาในชีวิตแล้วมันจะยุ่ง
ถ้าเราไม่ชัดเจนว่าจะรับมือไหว ทำเฉย ๆ ห่าง ๆ ไว้จะดีกว่า ที่เหลือคือจะเผลอเอาตัวเองไปคลุกกับเขาเหมือนก่อนรึเปล่าเท่านั้นเอง ไปหลงงมงายอีกชาติรึเปล่า มันก็ต้องใช้ความอดทนเหมือนกัน เพราะบางคนเขาก็ตามจีบเป็นสิบ ๆ ปี การประพฤติตนเป็นโสดก็ยากตรงนี้แหละ ตรงที่เจ้ากรรมนายเวรเขาขยันมาคอยทวงหนี้บาปที่เราได้ก่อไว้
พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบ กามราคะเหมือนเป็นหนี้ ถ้าเรายังมีความอยากมีคู่ เราก็จะต้องจ่ายหนี้เรื่อยไป ไม่จบไม่สิ้น เพราะเราต้องเอาเขามาเป็นของเรา เอามาเสพ เป็นตัวเป็นตน เราก็ต้องจ่ายหนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกข์ไปเรื่อย ๆ เจ็บช้ำไปเรื่อย ๆ
ถ้าใครปลดหนี้ก้อน “คู่ครอง” ได้ ชีวิตก็สบายไปเยอะ จะเหลือหนี้ เหลือกามเรื่องอื่น ๆ มันจะเบาลงมา ก็ใช่ว่าไม่เป็นภัย เพียงแต่หนี้มันน้อยลง ก็จ่ายดอกเบาลง มันก็คล่องตัวขึ้น
ใครอยากมีชีวิตหนี้ จ่ายไม่จบไม่สิ้นก็ไม่ต้องปฏิบัติตนเป็นโสด ปล่อยไหลไปตามโลก ไปตามกิเลส เดี๋ยวก็มีเจ้าหนี้มาทวงในวันใดวันหนึ่งเอง แล้วเขาก็ไม่ได้ทวงอย่างสุภาพหรอกนะ เขาทวงกันอย่างมาเฟีย อย่างอันธพาล ไปดูเถอะ ความทุกข์ในชีวิตคู่หนักขนาดไหน เจ็บ แค้น อาฆาต ทำร้าย ฆ่ากันตาย ก็เริ่มต้นจากเหตุแห่งความหลงในรสรักทั้งสิ้น
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
โจทย์ของคนโสดที่ต้องการชีวิตที่ผาสุก
ถ้าคนทั่วไปมีคนถูกใจเข้ามา เขาก็จะลองพูดคุย ลองคบหากัน ถ้าถูกใจจริงๆ ก็จะเพิ่มความสัมพันธ์กันต่อไป แต่สำหรับคนโสดที่อยากจะหนีออกจากวนเวียนของคนคู่นั้น ยาก…กว่า..ที่.คิด
ทันทีที่เราตั้งใจว่าจะโสด เพื่อความผาสุกที่ยิ่งกว่า ไม่ใช่โสดเพื่อรอเสพ โสดเพราะไม่มีให้เสพ หรือโสดให้ท่า คือโสดจริงๆ โสดไปจนตายเลย มีความเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่าโสดนี่แหละดี เราจะอยู่เป็นโสดตลอดไป ซึ่งแน่นอนว่าในขั้นนี้เรียกว่ามีความเห็นที่ถูกตรงแล้ว คือมีสัมมาทิฏฐิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีสัมมาสมาธิ เพราะยังเป็นเพียงแค่ความเห็น แต่ยังไม่มีธรรมะนั้นจริงในใจ คือยังอยู่ในขั้นเดินมรรค แต่ยังไม่ได้ผล
เมื่อเราตั้งจิตว่า เราจะโสด ฟ้า(ผลของกรรม) จะส่งโจทย์ เข้ามาทดสอบความจริง ทดสอบธรรมะของเราว่าแท้หรือไม่ และเป็นแบบฝึกหัดให้เราเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามไปอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่จะพ่ายแพ้ เพราะกิเลสนี่มันร้ายกว่าเรามาก ในสภาพที่ธรรมะของเรายังไม่เจริญเต็มที่ การจะไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราคาดว่าจะแพ้นั้น ไม่ใช่แนวทางที่ดีเลย ดังนั้นเราจึงมาชวนกันหนี! หนีจากตัวเวรตัวกรรม หนีจากโอกาสที่จะได้เสพสมใจกิเลส
เมื่อตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะอยู่เป็นโสด เราจะเจอโจทย์ที่โหดตามธรรมที่ควรของเรา ใครที่ยังติดความงามอยู่ ฟ้าก็จะส่งสาวสวยหนุ่มหล่อมา เขาจะเข้ามาในชีวิตเราแบบเนียนๆ เหมือนมาทางด่วนไม่ต้องฝ่ารถติดยังไงอย่างนั้น แล้วเราจะทนได้ไหม เราจะผ่านไปได้ไหม ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หนีก่อน อย่าเพิ่งเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จอย่างเดียว
ถ้าเราผ่านด่านความงาม (กาม) ก็จะมาเจอกับโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะมีใครสักคนที่อัญเชิญสิ่งเหล่านี้มา และทำให้เรารู้ว่าถ้าเราไปครองคู่เขา เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ตลอดชีวิต ถ้าหนักๆ ก็เรียกว่าทั้งหน้าตาดี ทั้งมีฐานะ มีความรู้ มีหน้าที่การงานดี ฯลฯ เข้ามาใกล้ชิด พาให้คิด พาให้เพ้อฝัน ณ จุดนี้เรายังจะโสดไหวอยู่รึเปล่า อุดมการณ์ของเรายังหนักแน่นอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็หนี!
ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันเช่น เราเคยคบกับคนหน้าตาดีมา เราก็หน้าตาดีและมีฐานะ เราอาจจะไม่อยากเสพสองสภาพแรกสักเท่าไหร่เลยผ่านมาได้ง่ายๆ แต่ถ้าเรามาเจอกับคนดีล่ะ คนดีที่เขามีชีวิตดีๆ พยายามทำดี พร้อมทั้งอุดมไปด้วยลาภ สักการะต่างๆ เราจะทนไหวไหม เขาก็เป็นคนดีนะ นิสัยดีนะ มีธรรมะด้วย เราจะหวั่นไหวไปร่วมหัวร่วมหางกับเขา หรือเราจะหนี!
สุดท้ายแม้เราเป็นคนที่ไม่สนใจหน้าตา ลาภ ยศ ความดี ฯลฯ อะไรเลยก็ตาม แต่ถ้าเรามาเจอคนที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ เพื่อที่จะบรรลุมรรคผลเหมือนเราล่ะ เขาจะเดินไปทางเดียวกับเราเลยนะ เราจะรับเขาเข้ามาในชีวิตของเราไหม เราจะเลิกพึ่งตนไปพึ่งเขาหรือไม่ หรือเราจะหนีห่างออกมาในระยะที่สมควร ไม่เกินเลยไปกว่าเพื่อน
ถึงจะบอกว่าหนี … แต่ในความจริงมันก็ยากจะหนีพ้น เพราะโจทย์จะเข้ามากระทุ้งกระแทกกระทั้นให้กิเลสนั้นออกอาการ คนปากหนักใจแข็งที่ไม่คิดว่าจะรักใครอีกก็อาจจะหวั่นไหวได้ เราหนีไปที่ไหนเขาก็จะตามไป ถึงคนหนึ่งไม่ตาม แต่ก็จะมีอีกคนหนึ่งตามมา จะมีคนเข้ามาใกล้ชิดเราอยู่เสมอ เราหนีเข้าป่า ก็จะมีคนเข้ามาหาในป่า เราหนีเข้าวัด เราก็จะเจอกับคนแบบนั้นในวัด เอาเป็นว่าไปไหนก็จะเจอ นั่นเพราะเรานั่นแหละที่เป็นตัวดึงดูดเขาเข้ามา เป็นผลของกรรมของเราเองที่จะเข้ามาทดสอบความแท้ ของความโสดของเรา
ดังนั้นในการปฏิบัติก็ควรจะหลีกเลี่ยงก่อนเป็นอันดับแรก เพราะยากนักที่ลูกหนูจะสู้กับสิงโตได้ ถึงจะใกล้ตัวก็ควรวางใจให้ห่างเอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้สู้ ถ้าวันหนึ่งเราเติบโต เรามีอินทรีย์บารมีแก่กล้า ก็ต้องกลับมาเผชิญหน้าสู้กันเพื่อพิสูจน์มรรคผลกันอยู่ดี
ใครที่ไม่แน่ใจก็ยังไม่ต้องรีบพิสูจน์กันมาก เพราะโดนลากลงนรกกันมาเยอะแล้ว ถึงจะบวชเป็นพระแก่พรรษา มีลูกศิษย์มากมาย เขาก็จับสึกเอาไปเป็นคู่ได้ ถ้าเราไม่ใช่ของแท้แล้วไปพัวพันเข้ามากๆ นี่เขาลากลงนรกเลยนะ พอคนหลงแล้วนี่มันหลงเลย มันถอนตัวยาก กว่าจะเห็นโทษของกิเลสนี่ก็ไม่ง่าย ดีไม่ดีตีกลับเห็นกิเลสว่าเป็นของดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นว่าการมีคู่นั้นดี รู้อย่างนี้เรามีคู่ไปตั้งนานแล้ว จะมาทนโสดอยู่ทำไม! มันตีกลับไปแบบนี้ก็ได้นะ
– – – – – – – – – – – – – – –
21.7.2559
เผชิญแบบทดสอบ : เราพร้อมตายหรือยัง
เผชิญแบบทดสอบ : เราพร้อมตายหรือยัง
พิมพ์บทความเกี่ยวกับเรื่องตายๆกันมาเยอะแล้ว ก็ยังไม่เคยจะได้เล่าประสบการณ์กันสักที บังเอิญว่าเมื่อวานนี้มีเหตุการณ์ที่เข้ามาทดสอบว่าเราเองพร้อมสำหรับความตายหรือยัง…
เมื่อวานมีธุระที่ต้องเข้าไปในเมือง แถวๆชิดลม โดยนั่ง“รถโดยสารปรับอากาศ” สาย 73ก ไป นั่งจากกลางๆลาดพร้าว ไปจนถึงรัชดา ทุกอย่างก็ราบเรียบดีไม่มีปัญหา จะมีก็แค่ฝนที่ตกปรอยๆอยู่ทำให้รถติดบ้างเท่านั้น
ผมนั่งเบาะข้างหลังรองสุดท้าย ข้างซ้ายด้านในติดกระจก เป็นมุมที่สามารถมองวิวข้างทางได้เพลินๆระหว่างรถติด มองคนเลิกงาน เดินกางร่มกันไปตามทาง คนในรถก็ยืนกันแน่น คุยกันบ้าง เล่นโทรศัพท์กันไปบ้าง ทุกอย่างดูเหมือนปกติดี
ในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่ มีเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “ เปิดประตู!!” ทุกสายตามองไปยังต้นกำเนิดเสียง มีอีกหลายเสียงตะโกนขึ้นตามกันมาให้เปิดประตู ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดเสียงโวยวาย มีควันสีขาวๆลอยฟุ้ง ทุกคนรีบลุกขึ้นพยายามจะหาทางออกกันหมด
ด้วยความที่คนแน่นมากก็ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย สักพักคนขับก็เปิดประตูให้ ผู้คนจำนวนมากวิ่งทะลักออกจากรถ คนที่อยู่หลังรถด้านขวาพยายามเปิดประตูฉุกเฉินแต่ก็เปิดไม่ออก มีเสียงพูดกันขึ้นมาว่าแก๊สรั่วรึเปล่า? ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมนิ่งๆ ดูเหตุการณ์ไป เพราะถึงจะลุกออกไปก็ติดคนอยู่ดี
ขณะนั้นเอง กระเป๋ารถก็ตะโกนบอกให้ผู้คนอย่าวิ่ง ไม่ต้องวิ่ง ผมก็เห็นด้วยนะ เพราะยิ่งวิ่ง ยิ่งเบียด ก็ยิ่งอันตราย ในขณะนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีอะไรรั่ว หรืออะไรจะระเบิดก็ไม่รู้ ทุกคนรู้แค่ว่าต้องหนีเท่านั้น
ก็คิดอยู่นะ ว่าถ้ามันมีอะไรระเบิดจริงๆก็คงจะรอดยากละนะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก คิดได้ดังนั้นก็มองดูคนที่ทยอยลงจากรถต่อไป
ผู้คนเริ่มลงจากรถไปได้ครึ่งคันแล้ว ผมก็คงต้องเริ่มจะลุกกับเขาบ้าง ที่เบาะข้างหน้าเขาคงจะรีบมาก ก็เลยทำร่มหล่นไว้ ผมก็ถือลงไปด้วย เผื่อว่าจะเอาไปให้เขา (ใครก็ไม่รู้)
ระหว่างที่เดินไปหน้าประตู ก็เห็นผงสีขาวกระจายอยู่เต็มพื้น ได้กลิ่นฉุนจมูก กลิ่นแบบที่ดมนานๆคงจะแสบจมูก ข้าวของที่หล่นกระจายประปรายหน้าประตูรถ ผมลงมาพร้อมถือร่มชูขึ้นพยายามจะให้มีคนเห็น เรียกหาเจ้าของร่ม ก็ไม่เห็นจะมีใครสนใจ …ผมลืมนึกไปว่าในสถานการณ์แบบนี้ จะมีใครสนใจร่มของตัวเองล่ะ สุดท้ายก็เลยวางไว้แถวนั้น ต้องขออภัยจริงๆ ถ้าผมคิดได้ก่อนก็คงจะไม่หยิบลงมาด้วย…และถ้าคิดได้อีกทีก็คงเดินเอาไปวางที่เดิมให้
กระเป๋ารถ และคนขับยังดูเหตุการณ์อยู่ในรถ ผมก็ยืนดูอยู่สักพักไม่ถึงนาทีหรอก แต่เหมือนว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ก็มีคนเดินกลับเข้าไปขึ้นรถ ขณะที่มีเสียงคนหลายคนพูดกันระงมว่าใครจะเสี่ยงขึ้นไปอีก จริงๆเขาคงขึ้นไปหาของที่ทำหล่นละมั้ง แต่ก็อาจจะมีคนขึ้นไปนั่งต่อจริงๆก็ได้
ชีวิตในเมืองช่างดูไร้ทางเลือกจริงๆ ต้องกลับไปขึ้นรถที่เต็มไปด้วยสารเคมีที่กระจายออกมาเต็มรถ ผมพิจารณาดูแล้วว่าแค่เดินผ่านยังมีอาการแสบจมูก เลยเดินไปที่รถใต้ดินและยอมต่อรถไฟฟ้าอีกทีเพื่อไปถึงที่หมายแทนที่จะต้องไปนั่งสูดสารเคมีในรถ
สรุปกันหน่อย…
ผมเองได้เห็นผลจากการซ้อมตาย หรือที่เรียกว่า “การเจริญมรณสติ” ที่เคยทำอยู่บ่อยๆ มันทำให้เราใจเย็นลง ไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่ประมาท เห็นและยอมรับทุกอย่างตามที่เป็นจริง วิเคราะห์เหตุการณ์ตามข้อมูลที่ได้รับมา และก็ไม่ได้เป็นทุกข์กับมัน
การทดสอบนั้นควรจะมาแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการที่เราพยายามวิ่งเข้าหามัน ทั้งในความจริง หรือการคิดจินตนาการ พิจารณาไปถึงความตาย หรือ มรณสติ
แบบทดสอบความพร้อมก่อนตาย คงไม่ได้มีมาทดสอบเราบ่อยนัก การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้รับ การตรวจสอบใจตัวเอง การย่อยและขยายผลเหล่านั้นให้เกิดปัญญา คือ คุณค่าที่เราจะได้รับจากแบบทดสอบนั้น บางคนมีโอกาสได้เผชิญกับภาวะเสี่ยงตายหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้พิจารณาลงไปถึงรากแห่งความกลัวที่จะต้องตาย ซึ่งน่าเสียดายโอกาสเหล่านั้นมากๆ
แบบทดสอบนั้นไม่จำเป็นต้องรุนแรงเสมอไป บางครั้งกับบางคน เพียงแค่เห็นเหตุการณ์อุบัติเหตุในข่าว ก็สามารถเกิดปัญญาเข้าใจในเรื่องความตายได้แล้ว แต่บางคนผ่านการเฉียดตายมาหลายครั้งกลับไม่สามารถเข้าใจเรื่องความตายได้
การเจริญมรณสติ ไม่ได้ทำให้เรากล้า แต่ทำให้เรายอมรับอะไรได้ง่ายขึ้น เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นกับเรา
– – – – – – – – – – – – – – –
17.9.2557