Tag: รับใช้คนชั่ว
การช่วยเหลือคนทุศีล
จากบทความที่กล่าวถึง การเลิกรับใช้คนชั่ว ก็มีคำถามเข้ามาว่า “แล้วถ้ามีคนมาขอเงิน และเค้าเป็นคนทุศีล แต่เราให้แค่ข้าวเค้าพอกิน 1 มื้อ เพราะถือว่าฝึกการทำทานแบบไม่เลือกไม่เจาะจง อย่างนี้ได้ไหมคะ หรือ ไม่ควรให้เลย”
ตอบ : ถ้าผมเห็นชัดแล้วว่าเขาเป็นคนทุศีล เน่าใน ประพฤติชั่วจริง ก็จะไม่ให้การสนับสนุนใด ๆ เลยครับ
การไปยุ่งกับคนชั่วคนพาลนั้นในท้ายที่สุดก็จะเป็นการสร้างทุกข์ให้ตน ดังนั้นมงคลชีวิตประการแรกเลย ก็คือการห่างไกลคนพาล ก็คือคนทุศีลเน่าในเหล่านั้นนั่นแหละ
ทีนี้มานิยามคนทุศีลเพิ่มกันหน่อย คนทุศีลคือผู้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะถือศีล แล้วล่วงละเมิดศีลเหล่านั้นเป็นนิจ หรือคนที่ประกาศตนว่าจะเสียสละ แต่กลับแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน เป็นต้น คือคนที่ทำผิดจากธรรม แล้วไม่แก้กลับ ไม่กลับมาทำดี
แม้ใจเราจะบริสุทธิ์ แม้ทานที่เราให้จะบริสุทธิ์ แต่ผู้รับไม่บริสุทธิ์ มันก็ยังเหลือส่วนที่ไม่บริสทธิ์อยู่ดีนั่นเอง การห่างไกลคนพาล คบบัณฑิต บูชาบุคคลที่ควรบูชาจึงเป็นการอุดรูรั่วตรงนี้ คือเข้าไปอยู่ในสังคมที่ดี คบแต่คนที่ดีไปเลย โอกาสพลาดไปทำทานที่ไม่บริสุทธิ์ก็จะลดลง
ส่วนการฝึกทำทานนั้น ทานในพุทธมีไว้เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นเป็นอันดับแรก คือทำกิจตนก่อน อีกส่วนคือกิจท่าน หรือประโยชน์ของผู้อื่น อันนี้เราควรจะศึกษาเรียนรู้ให้ดีว่าเราควรจะให้ทานนั้นแก่ใคร
ในอนุตตริยสูตร ได้กล่าวถึงการบำรุงที่เลวและการบำรุงที่ยอดเยียม การบำรุงก็คือการทำให้สิ่งนั้นเจริญเติบโตยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสยกตัวอย่างว่า
“ก็ปาริจริยานุตตริยะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมบำรุงกษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง คฤหบดีบ้าง บำรุงคนชั้นสูงชั้นต่ำบำรุงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบำรุงนี้นั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการบำรุงนี้นั้นเป็นการบำรุงที่เลว”
จะเห็นว่าเราจะไปบำรุงส่งเสริมใครมั่ว ๆ ไม่ได้นะ เพราะจะกลายเป็นการบำรุงที่เลว ส่วนการบำรุงที่ดีคือการบำรุงพระพุทธเจ้าและสาวกนั่นเอง
การจะให้ทานที่ไม่เจาะจง ก็ควรจะตั้งทิศตั้งธงให้ชัดก่อนว่าจะให้ทานกลุ่มไหน เพราะจะมีกลุ่มที่ให้ไปแล้วไม่พาเราพ้นทุกข์กับกลุ่มที่พาเราพ้นทุกข์ เราก็ไม่เจาะจงในกลุ่มที่เราเห็นว่าดีนั่นแหละ คือไม่ใช่ยึดเอาตัวครูบาอาจารย์เป็นหลัก แต่ให้กระจายไปในกลุ่มคนดีนั้น ๆ
สร้างความเจริญ ด้วยการเลิกรับใช้คนชั่ว
การรับใช้คนชั่ว คนไม่ดี หรือคนผิดศีล ก็เป็นมิจฉาอาชีวะ หรือมีความเป็นมิจฉาชีพอยู่ เพราะยังติดอยู่ในข้อที่ว่า “มอบตนในทางที่ผิด” คือไปยอมรับใช้คนไม่ดี ที่ไม่พาไปพ้นทุกข์นั่นแหละ
แต่ชีวิตนี่มันก็ไม่ได้ง่ายรู้ดีรู้ชั่วได้ทั้งหมดได้ในทันที เราจะต้องเรียนรู้โดยลำดับ ในตอนแรก ๆ บางสิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นภัยขนาดนั้น แต่พอภูมิธรรมพัฒนาเพิ่มขึ้นกลับมองว่ามันเป็นภัยมาก
อีกทั้งคนเรายังมีวิบากกรรมเป็นตัวส่งผล ให้ถูกขังอยู่กับคนชั่ว เวลาวิบากขัง มันจะมืดบอด มีความลำเอียง ดีไม่ดีเข้าข้างคนชั่วอีก
ซึ่งเราก็ต้องอาศัยการทำดีไปเรื่อย ๆ จึงจะรู้ชัดขึ้น โดยอาศัยการทำดีกับคนที่เรามั่นใจที่สุด ศรัทธาที่สุด แล้วทำให้เต็มที่ ผลจะเกิด มันจะมีเหตุให้เห็นความจริง ถ้าเขาเป็นคนผิดศีลเน่าใน เราจะได้รู้อย่างชัดเจน
ผมก็เคยมีประสบการณ์รับใช้คนชั่วมาก่อน บอกเลยว่าชีวิตมีแต่ตกต่ำ ลาภสักการะหายหมด เหมือนปลูกพืชแล้วไม่มีผล เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านว่าสงฆ์คือนาบุญ ส่วนคนที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
พอเราไปทำดีกับคนที่ไม่ใช่นาบุญ เป็นนาบาป จึงไม่มีผลมาก มีอานิสงส์น้อย แถมยังไปส่งเสริมบาปเขาอีก เอาง่าย ๆ เหมือนเราเอาเงินที่เราหามาอย่างยากลำบาก เอาไปให้เด็กซื้อขนมกินหมดนั่นแหละ
ถ้าเราไปสนับสนุนหรือรับใช้คนไม่ดี คนไม่มีศีล เขาก็เอาเงิน แรงงาน เวลาของเราไปใช้กับเรื่องไร้สาระ เรื่องสะสมกิเลส มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีผลเจริญ
สรุปแทนที่เราจะเจริญได้มากในหนึ่งช่วงเวลา แต่กลับต้องเสียเวลา แรงงาน ทรัพย์ไปโดยได้ประโยชน์น้อย จริง ๆ ไม่ทำเลยจะดีกว่า การสนับสนุนคนชั่วไม่ทำเลยจะดีกว่า ดูเผิน ๆ เหมือนจะมีกำไรได้เสียสละ แต่สรุปบัญชีออกมาแล้วจะขาดทุน
หลังจากที่ผมได้หลักฐานว่าเขาเป็นคนไม่ดี ผิดศีล เราก็ถอยออกมา เชื่อไหม ชีวิตดีขึ้นคนละเรื่อง ลาภสักการะเริ่มมาให้พอมีกินมีใช้ อัตคัดอยู่เป็นปี พอพลิกใจเลิกรับใช้คนชั่ว ทุกอย่างก็พลิกหมดเลย องค์ประกอบแวดล้อมในชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พอมีโอกาสถามย้ำกับครูบาอาจารย์ท่านก็ชี้ชัดว่า ถ้าเห็นว่าเขาชั่วชัด ๆ ก็ไม่ต้องไปเอื้อหรือไปประมาณอะไรให้ยุ่งยาก คว่ำบาตรไปเลย เพราะยิ่งไปสนับสนุนคนชั่วก็จะมีแต่เพิ่มอกุศลวิบากมากเท่านั้น
ใครอยากมีชีวิตลำบากก็สนับสนุนคนชั่วคนพาลกันต่อไป และคุณจะได้รับสิทธิ์ในการชดใช้วิบากบาป คือเป็นทุกข์ เจ็บป่วย เศร้าหมอง ลำบากกาย ลำบากใจ ฯลฯ
สรุปตรงนี้ว่าการสนับสนุนคนชั่วคือการสร้างความลำบากให้ตนเอง คือความเนิ่นช้าในธรรมอย่างแท้จริง
ห่างไกลคนพาล คือตัวอย่างของคนดี
ความเด็ดขาดที่จะตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิตคือคุณสมบัติหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตเป็นอยู่ผาสุก
ความห่วงกังวลก็เหมือนแผลเหมือนฝี ต้องคอยระวัง เจ็บปวดอยู่เป็นประจำ ชีวิตที่เนื่องด้วยคนพาลก็เช่นเดียวกัน
คนพาลคือผู้ที่ไม่ประพฤติไปตามธรรม ไม่เอาธรรมะ เกเร เอาแต่ใจ หมกมุ่นกับกิเลส
ถ้าชีวิตของเรานั้นห่างไกลคนพาลได้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ความเป็นจริงคือ เรามักจะรู้ตัวเมื่อสายไปเสียแล้ว คนพาลนั้นร้ายยิ่งกว่าเสือ เสืออย่างเก่งก็แค่ทำร้าย กัดเราตาย แต่ไม่มีพิษภัยมากกว่านั้น คนพาลนั้นมีพิษยิ่งกว่า แสร้งว่าเป็นคนดี ซ่อนตัวตนของความพาลอย่างแนบเนียน กว่าที่เราจะรู้ตัวก็เรียกว่าถลำคบหาไปเยอะ ใกล้เกินไป
แต่เมื่อเรารู้แล้วว่า คนนี้เป็นคนพาล คิดนี้ผิดศีล คนนี้พูดกลับกลอก ไม่พูดตามจริง พูดผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว ไม่ปฏิบัติตามธรรม เราก็ควรจะออกห่างมา เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว การไปเตือนคนพาลจะยิ่งทำให้เขาจองเวรเรา คือเขาไม่ฟังเราแล้วก็หนึ่งประเด็น เขาจะเห็นว่าเราเป็นศัตรูของเขาก็อีกประเด็น ดังนั้น ถ้าเห็นความพาลแล้ว ผมจะเลือกถอยออกมาเลย
ยิ่งถ้าผิดศีลกันชัด ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง ส่วนใหญ่ก็จะให้เวลาประมาณหนึ่ง เพื่อจะดูว่าสำนึกบาปไหม ถ้าดูท่าทีแล้วไม่สำนึกก็ต้องห่างไว้ คนผิดศีลแล้วรู้ตัวยังพอคบหาได้ แต่คนผิดศีลแล้วไม่สำนึกคบไม่ได้
ทีนี้มันก็ต้องอาศัยความเด็ดขาดอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าไม่เด็ดขาด อนุโลม คบกันไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากจะไม่ช่วยคนพาลคนนั้น ไม่ทำประโยชน์ให้ตัวเองด้วย แล้วยังกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับคนที่เขาศรัทธาเราด้วย
ถ้าเราชัดเจน คนที่ดูเราอยู่ เขาจะมั่นใจขึ้น ถ้าเราไม่คบใครเขาจะถอยตามเรา ถ้าเราไม่คบคนพาล แล้วเขาไม่คบคนพาลตามเรา อันนั้นมันก็ดี แต่ถ้าเราไม่คบคนพาลแล้วเขายังคบคนพาลอยู่ก็เรื่องของเขา แต่เราก็ทำหน้าที่ของเราให้เห็นแล้ว เราทำให้ดูชัดเจนแล้ว ว่าเราคบหรือไม่คบใคร
มันต้องอาศัยความเด็ดขาดเหมือนพระโมคคัลลานะที่จับพระทุศีลโยนออกจากองค์ประชุมนั่นแหละ แต่เราไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นหรอก อันนั้นบารมีระดับอัครสาวก อย่างเราก็ทำให้ชัดเจนที่ตัวเราก็พอ
ให้เราพ้นจากอำนาจบารมีของคนพาล แน่ล่ะสมัยนี้คนพาลเขาไม่ได้มาตัวเปล่า ๆ ส่วนใหญ่ก็พกอำนาจ พกบารมีกันมาเยอะ ๆ ทั้งนั้น เพราะเขารู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้เขาได้เสพสมใจในกิเลสเขาได้ ยิ่งพาลลึกซึ้ง ยิ่งมีอำนาจมาก แสวงหาอำนาจมาก ใช้อำนาจมาก และบ้าอำนาจมาก จะยิ่งใหญ่ โต พองไปเรื่อย ๆ
ที่เขาโตก็เพราะว่าเราไม่เด็ดขาด ไปเติมอาหาร ไปเป็นแขนขาให้เขานั่นแหละ ถ้าเรายังอยู่ใต้อำนาจของคนพาลอยู่ ก็ยังเป็นมิจฉาชีพอยู่ มรรคผิด ในข้อมิจฉาอาชีวะ ที่ว่า “การมอบตนในทางที่ผิด” คือมอบตนรับใช้คนชั่วคนพาล คือการอยู่ใต้อำนาจ ใต้บารมีของคนพาล
ชีวิตมันต้องเป็นอิสระจากความชั่ว ไม่ถูกความชั่วบงการสิถึงจะผาสุก บางคนตัวเองไม่ทำชั่วแล้ว แต่ยังถูกความชั่วบงการอยู่ มันก็ยังมีส่วนผิดอยู่ดี
มันก็เลยต้องอาศัยความเด็ดขาดในการออกจากสิ่งไม่ดีนั้น ๆ แน่นอนว่ามีผลกระทบ แต่สุดท้ายมันจะดี เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ตัวเราก็ได้ห่างไกลคนพาล คนอื่นเห็นเขาจะได้รู้ชัดเจนขึ้น เขาจะได้ตัดสินใจเลยว่าจะไปเติมพลังทางไหน ส่วนคนพาลก็ไม่ได้อาหารจากเรา ความพาลของเขาก็จะไม่เติบโตเพราะความไม่เด็ดขาดของเรา