Tag: มิตรดี

วิธีป้องกันนารีพิฆาต(เท่าที่รู้)

June 26, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,264 views 0

จะว่ากันถึงวิธีการที่จะกันตัวเองร่วงลงไปถึงขั้นลงหลักปักฐานแต่งงานแต่งการ สำหรับชายที่ตั้งใจประพฤติตนเป็นโสด ต้องการแสวงหาทางเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมให้กับตนเอง ก็จะมาแบ่งปันเท่าที่ได้ศึกษามา

สรุปกันง่าย ๆ ก่อนว่า ถ้าจะกันให้ได้ 100 % นั้นก็ต้องล้างกิเลสในหมวดความอยากมีคู่ให้เกลี้ยง ถ้าเกลี้ยงก็จบ แต่มันก็ไม่ง่าย จึงต้องมีลำดับการปฏฺิบัติ

1.จนเข้าไว้

พระพุทธเจ้าตรัสถึงชาดกตอนหนึ่งว่า ” หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรจะถือเอาได้ เมื่อนั้น ก็ใช้วาจาอ่อนหวานชักนำบุรุษไปได้ เหมือนชาวกัมโพชลวงม้าด้วยสาหร่ายฉะนั้น เมื่อใด หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง ไม่เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรถือ เอาได้ เมื่อนั้น ย่อมละทิ้งบุรุษนั้นไป เหมือนคนข้ามฟากถึงฝั่งโน้นแล้วละทิ้งแพไป ฉะนั้น” (กุณาลชาดก)

ความจนจะคัดผู้หญิงขี้โลภที่มุ่งหวังทรัพย์ของเราออกไปก่อน เรียกว่าตัดตัวเวรตัวกรรมออกไปได้เยอะ เขาอาจจะชอบเรา แต่เขาจะไม่ลงเอยกับเรา ความจนจึงเป็นเกราะชั้นต้น ซึ่งผู้ชายโดยมากมักจะทำตัวรวยเพราะสามารถดึงผู้หญิงมักมากเข้ามาหาตนได้เช่นนั้นเอง

จากประสบการณ์ ความจนจะกันได้ประมาณหนึ่ง แต่สุดท้ายจะมีผู้ท้าชิงที่ไม่สนใจความจนความรวยหลุดมาได้อยู่ดี

2.ถือศีล ๕ ให้เข้ม

ศีลจะเป็นเกราะคุ้มกันอย่างดี คำว่า “เข้ม” ในการถือศีล คือมีการยกระดับของศีลให้ละเอียด เบียดเบียนน้อยลงไปเรื่อย ๆ เช่นข้อ ๑ ไม่ฆ่าแล้วก็ยังเลิกกินเนื้อสัตว์ สนับสนุนให้เลิกฆ่าเลิกกิน ก็จะคัดคนร้าย ๆ ออกไปได้เยอะ ข้อ ๒ ก็อย่าไปขโมยโอกาสของใครมา คือเจอหญิงแล้วอย่าออกอาการ แบบหมากระดิกหาง อย่าไปทำตัวเด่น แย่งความสนใจจากใคร ให้คนอื่นเขาเล่นบทของเขาไป

ข้อ ๓ คือไม่วิสาสะ คือไม่ทำตัวสนิทสนิมกับหญิงที่มีคู่อยู่แล้ว เพราะเขาจะชักนำผู้ท้าชิงหรือปัญหาอื่น ๆ เข้ามา ก็จะลดโอกาสพลาดได้เยอะ หญิงมีคู่นี่เขาจะรู้มาก เขาจะจับจุดอ่อนเราได้ไว เราจะพลาดได้ง่าย ข้อ ๔ คือไม่พูดหยอกล้อ ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่จีบเขา เพราะเป็นคำเพ้อเจ้อ ล่อลวง ข้อ ๕ ในระดับหยาบ ๆ ก็ไม่ไปที่อโคจรให้ต้องเจอคนที่จัดจ้านเกินไป

แม้ถือศีลได้แค่ควบคุมกาย ก็จะป้องกันได้มากแล้ว นับประสาอะไรกับศีลถึงใจ แต่เอาจริง ๆ ศีล ๕ ทั่วไปก็กันนารีพิฆาตไม่อยู่หรอก

3.หามิตรดี มีศีล ๘

จะเอาตัวรอดได้ ต้องมีพันธมิตร คือมิตรดี คอยช่วยยกระดับปัญญาและกำลังใจของเรา เพราะฐานคนโสดที่ปฏิบัติได้อย่างผาสุกจริง ๆ จะเป็นฐานศีล ๘ ขึ้นไป ศีล ๕ จะยังรุ่มร้อนจากไฟรักเผาใจอยู่

การคบมิตรดี คือคอยปรึกษา ถามปัญหา เกื้อกูล ช่วยเหลือ ตั้งใจปฏิบัติตาม เพื่อสร้างปัญญา กำลังใจและวิบากดีสะสมไปเรื่อย ๆ

ถ้าจะพอคบได้คือคนที่พยายามปฏฺิบัติตนเป็นโสด จะไม่ทำให้ตกร่วงไปมากกว่าฐานเดิม จะให้ดีคือคบหาคนที่เป็นโสดได้อย่างผาสุกจะทำให้เจริญขึ้น ส่วนคนที่หมกมุ่นในเรื่องคู่ หรือมีทัศนคติไปในทางที่ไม่เห็นโทษภัยในการมีคู่ ไม่ต้องไปคบ เพราะจะทำให้เสื่อมลงกว่าเดิม

4.รู้ทันมารยาหญิง

ถ้าเราโดนนารีพิฆาต หรือตกหลุมรักผู้หญิง แสดงว่าเราไม่ทันมารยาของเขา บางทีเขาไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่สวย เราก็ยอมตกหลุมนรกรักแล้ว

รูปสวยคืออาวุธอย่างหนึ่งของผู้หญิงที่จะใช้ปราบผู้ชาย รูปคือสิ่งที่เห็น สวยคือ ดีงามตรงตามอุปาทานที่เรายึดไว้ เอาง่าย ๆ ก็ที่เขาโชว์รูปสวยกันทุกวันนี้นี่แหละ ไม่ได้มีสาระอะไรเลย นอกจากจะโชว์ “รูป” ของเขา ก็เป็นการหว่านแบบกว้าง ๆ ไม่ได้เจาะจง อันนี้ด่านต้น ๆ มารยาหญิงยังมีอีกมาก

นิสัยดี คืออาวุธอีกอย่าง นิสัยคือสิ่งทีแสดงออก ดี คือดีงามตามอุปาทานที่เรายึดไว้ เขาก็จะแสดงสิ่งที่เขาว่าดีนั่นแหละ เดี๋ยวเราก็ตกหลุมลงไปเอง ไม่โดนคนนั้น ก็โดนคนนี้ โลกนี้มีผู้หญิงมากมาย เดี๋ยวมันจะต้องเจอนิสัยดีตรงใจมาลากลงหลุมไปสักคนนั่นแหละ

เราจำเป็นต้องรู้จักการรุกและรับของผู้หญิง รู้ว่าตอนนี้เขาเข้ามาแล้วนะ รู้ว่าตอนนี้เขากำลังต้อนเราเข้าคอกของเขานะ วิธีป้องกันก็ไม่มีอะไรมาก แค่ไม่เล่นไปตามเกมของเขา เดี๋ยวเขาหมดความมั่นใจ เขาก็ไปยุ่งกับคนอื่นแทนเรา ถ้าเราพลาดเขาก็จะยิ่งรุก รับ ล่อ หนักข้อขึ้น มันจะพันใจ หลุดยากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ความอ่อนของผู้หญิงคือธาตุที่อันตราย โดยค่ารวม ๆ ผู้ชายคือความแข็ง ผู้หญิงคือความอ่อน สิ่งที่ผู้หญิงส่วนมากถนัดที่สุดคืออ่อน ออดอ้อน อ่อนแอ ออเซาะ พึ่งพิง ไม่ชัดเจน ไม่หนักแน่น โลเล และยอมแพ้ กระตุ้นต่อมอัตตาของผู้ชายที่เป็นสายแข็ง หลงกลเขา เหมือนไปเจอลูกแมวน่าเอ็นดูแล้วไปเก็บมาเลี้ยง

สุดท้ายจะแพ้เขา ตรงที่เขาทำเป็นแกล้งยอมแพ้นี่แหละ เราก็จะหลงไปว่าเป็นผู้ชนะ ที่ไหนได้ ตกหลุมตามแผนเขาเป๊ะ ๆ

ข้อนี้พักไว้แค่นี้ ถ้าจะขยายจริงมันจะยาวมากกกกกก ย่อไว้เท่านี้แล้วกันครับ

5.รู้ทันตัวเอง

ก็รู้จักกิเลสตัวเองนั่นแหละ ให้ศึกษากิเลสตัวเอง หลงติดหลงยึดอะไร เรื่องไหน ประเด็นไหนที่ทำให้อยากมีคู่ หรือประเด็นอะไรที่ทำให้รู้สึกใจอ่อน พลาดพลั้งได้ หรือเห็นด้วย เห็นดีกับความพลาดท่าเสียทีด้วยลีลาต่าง ๆ

จับได้ก็พิจารณาเหตุของมันให้ชัด ๆ แม่น ๆ เจาะลงไป อยากได้อยากเสพอะไร จับให้ชัดประเด็น เป็นเรื่อง ๆ ทีละเรื่อง แล้วก็ใช้ธรรมที่ศึกษามา ปรับใจให้มันถูก โดยปกติแล้วจิตมันจะไปตามกิเลส ต้องใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์มาเทียบ มันจะเห็นส่วนเกิน นั่นคือกิเลสที่ต้องกำจัด การกำจัดคืออบรมจิตให้เห็นโทษชั่ว ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความไม่มีสาระหรือตัวตนของสิ่งนั้น อุดรูรั่วไปเรื่อย ๆ สักวันปัญญามันจะเต็มของมันเอง ถ้ารู้จักตัวเองหมด จะป้องกันมารยาหญิงทั้งหมดได้

…ถือว่าเรื่องนี้พิมพ์แบบ sketch กันไปก่อน ร่างกันไว้คร่าว ๆ แต่คิดว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับหนุ่ม ๆ ทั้งหลายครับ ผู้หญิงก็อ่านแล้วไปปรับใช้กันเอา มีประเด็นไหนสนใจก็ถามเพิ่มได้ครับ

คนไหนไม่ใช่มิตร คนไหนเป็นมิตร

February 8, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,038 views 0

อ่านเจอในหนังสือครับ จากหนังสือ “รู้ชัดตัวเองแล้วหรือยัง คนพาล/บัณฑิต” เป็นหนังสือสรุปเนื้อหาจากพระไตรปิฎกครับ เห็นว่าข้อนี้เอามาใช้ได้ครอบคลุมดี จึงทำภาพมาแบ่งกันครับ

อ่านเจอวิธีจำแนกมิตรและคนที่ไม่ใช่มิตรออกจากกัน บางทีมีคนเข้ามาในชีวิตเยอะแยะ เราก็ไม่รู้จะคัดอย่างไร ไม่รู้จะใช้หลักอะไร แต่พอมาศึกษาจากพระไตรปิฎก ก็จะมีจุดให้สังเกตได้ง่ายขึ้น

หลัก ๆ ของชีวิตนี่มันต้องมีมิตรดีไว้ก่อน แต่ก็ต้องดูด้วย บางคนเหมือนจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่ใช่มิตร บางคนดูเหมือนจะเป็นมิตรแต่ก็ไม่ใช่คนดี ถ้าทุกคนมีความจริงใจ มันจะดูกันง่าย ไม่น่ากลัว

แต่ด้วยความที่คนสมัยนี้มีกิเลสมาก มีมารยามาก ยากที่จะดูได้ สมัยพุทธกาล ก็ยังมีพระเทวทัตปนมาในหมู่นักบวช สมัยนี้ย่อมมีเยอะกว่าเพราะไม่มีพลังความดีมาต้านคนชั่ว คนชั่วก็ปนเข้ามาเสพประโยชน์ของศาสนาเยอะมาก เพราะโลกธรรมในงานศาสนานั้นหอมหวาน

วิธีคัดคือเราปฏิบัติธรรมให้ได้ผลชัดเจนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วเราจะรู้จักคนชัดเจนยิ่งขึ้น มันจะมีคน 3 พวกคือ คนที่เห็นด้วยกับเรา คนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา และคนที่ไม่ได้สนใจใยดีเราหรือไม่รู้จักเรา เราก็เลือกที่เป็นธาตุใกล้ ๆ กันนี่แหละ เพราะเอาธาตุไม่เข้ากันมาอยู่ด้วยมันจะมีแต่เรื่องปวดหัว ก็ให้เขาอยู่ของเขาไป เราก็อยู่ของเรา

ยิ่งเราได้ เราชัดในวิธีการปฏฺิบัติของเราแล้ว เราไม่ต้องกลัวหรอก ที่เหลือก็แค่คัดศพออกจากทะเล คัดคนที่เป็นคนพาลออกจากชีวิต คัดผู้ไม่ใช่มิตรออกไปให้ห่างใจ

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

May 8, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,657 views 0

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

            ความงามของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อมัดใจชายมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้ชายนั้นลุ่มหลงมัวเมา อยากได้อยากครอบครองหญิงงาม แต่ทันทีที่เธอหลงใช้ความงามมัดใจชายใด กรรมก็ได้ผูกมัดตัวเธอไว้กับบ่วงแห่งความทุกข์เช่นกัน

ความงามนั้นเป็นสิ่งที่มีได้ แต่ไม่ควรให้คุณค่า ไม่ควรเปิดเผย ไม่ควรทำให้เป็นที่น่าสนใจ พระพุทธเจ้าตรัสถึงสามสิ่งที่ควรปิดบังไว้ เปิดเผยจะไม่เจริญ หนึ่งในสามนั้นคือผู้หญิง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าให้ปิดบังตัวหรือแอบซ่อนแต่อย่างใด แต่หมายถึงให้ปิดบังความเป็นหญิง จริตแบบหญิง มารยาแบบหญิง นิสัยแบบหญิง ที่แม้แต่ผู้ชายบางคนก็ยังมีความเป็นหญิงปนอยู่มาก เช่น อาการขี้งอน ขี้ประชด ฯลฯ เหล่านี้คือความเป็นหญิงในเชิงจิตใจ นั่นหมายรวมถึงการปิดบังสิ่งหยาบๆ ที่เห็นได้ทางภายนอกเช่นความงามของร่างกาย สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะปิดบัง ไม่ส่งเสริม ไม่ควรเอามาเป็นคุณค่า ให้ค่าแล้วจะไม่เจริญ

แต่เมื่อคนเราอยากมีคู่ ก็มักจะต้องสร้างจุดเด่น สัตว์หลายชนิดมีวิธีการเรียกร้องให้เพศตรงข้ามเกิดความสนใจที่แตกต่างกัน คนก็เช่นกัน มีวิธีเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจด้วยกันหลายวิธี ตั้งแต่ยั่วยวนด้วยเรื่องทางเพศ ใช้ความงดงามของร่างกายเพื่อดึงดูด ล่อหลอกด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข มัวเมาด้วยมารยาจนกระทั่งถึงการโน้มน้าวด้วยคุณงามความดีที่ตนมี ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวกันในเฉพาะในส่วนของการมัดใจด้วยความงาม เพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด เป็นของหยาบและมีโทษมาก

ธรรมชาติของคนเมื่ออยากมีคู่ ก็จะเริ่มเสริมความงามของตน แต่งหน้าทาปากทำผม แต่งตัวให้น่าสนใจหรือจนถึงขั้นยั่วยวน ถ้าทำยังไงมันก็ไม่สวยดังใจหมายก็ไปศัลยกรรมปรับแต่งเอาให้สวยสมใจเลย แม้ในปัจจุบันจะมีผู้ชายที่มัวเมาในความงามของรูปร่างหน้าตาตนเองมากขึ้น แต่โดยค่ารวมๆ แล้ว ก็จะเป็นผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับความงามของตนมากกว่า

บางคนงามตั้งแต่เกิดก็อาจจะไม่ต้องแต่งเติมอะไรมาก ส่วนบางคนก็ต้องเติมมากหน่อยถึงจะเรียกว่างามได้ แต่งเติมมากแค่ไหนก็เบียดเบียนชีวิตตนเองไปตามลำดับ เมื่อเบียดเบียนตนเองแล้วก็ถึงเวลาที่จะออกไปเบียดเบียนคนอื่น นั่นคือการพยายามแสดงให้ผู้อื่นเห็นความงามของตนโดยวิธีใดวิธีหนึ่งที่ตนเห็นว่าควร บางคนก็ถ่ายรูปตนในชุดวาบหวิวลงอวดในอินเตอร์เน็ต หรือบางคนก็แค่หวีผมแต่งตัวสวยออกไปทำงาน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีความอยากที่จะให้คนมาสนใจ เพราะจิตที่ตั้งไว้ผิดนั้นทำให้เกิดความเสื่อมได้มากกว่า

การหาคู่นั้นหากจะยกตัวอย่างเปรียบกับการตกปลา ก็ต้องใช้เหยื่อที่ปลานั้นสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ชนิดหรือขนาดของปลาตามที่คาดหวัง บางครั้งตกขึ้นมาได้ไม่ถูกใจก็ปล่อยไปบ้าง โยนทิ้งอย่างไร้เมตตาบ้าง แม้ปลาที่ถูกเลือก สุดท้ายก็ต้องตายเพราะกลายเป็นอาหารอยู่ดี ก็เหมือนกับหญิงที่ใช้ความงามล่อลวงผู้ชายให้เข้ามาสนใจ แน่นอนว่าทุกคนไม่ใช่เป้าหมาย เธออาจจะคัดเลือกเพียง 1-2 ตัวเลือก ในขณะที่คนมากมายนั้นต้องทนทุกข์จากความอยากได้อยากครอบครองแต่ก็ไม่มีวันได้สิ่งนั้น สุดท้ายก็มักจะเหลือเพียงแค่คนเดียวที่ถูกเลือก คือคนที่จะเอามาเป็นคู่ชีวิต เป็นคู่เวรคู่กรรม ณ จุดนี้แม้จะได้คู่มาก็ตาม แต่การใช้ความงามเป็นเหยื่อในการคัดคนเข้ามานั้นจะสร้างวิบากบาปจำนวนมาก ซึ่งจะต้องชดใช้ทุกสิ่งที่ทำลงไปในอนาคต

อย่างที่ยกตัวอย่างไปว่าเหมือนกับปลาที่กินเบ็ด ปลากินเบ็ดย่อมเจ็บปวดจากขอเบ็ดที่เกี่ยวปาก ชายผู้หลงในความงามก็ย่อมจะเป็นทุกข์จากกิเลสเช่นกัน แต่ความทุกข์เหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้ง่ายนัก เพราะกิเลสนั้นลวงให้เราเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนที่หลงมัวเมาในความรักทั้งหลายก็ย่อมจะเห็นว่าการหลงรักเป็นของดี แต่ในความจริงแล้ว นั่นคือการหลอกลวงที่สุดแสนจะร้ายกาจ ที่ทำคนให้จองเวรจองกรรมกันอีกหลายภพหลายชาติยากที่จะสิ้นสุด ดังนั้นคนที่ถูกเลือกนั้นจึงเหมือนปลาที่โดนเลือกไปกิน เพราะจะได้รับทุกข์ทรมานจากหญิงคนนั้นมากที่สุด

และแน่นอนว่าปลาที่กินเหยื่อ ย่อมเป็นปลาที่ชอบเหยื่อ ล่อด้วยความงาม ก็ย่อมได้พบกับชายที่บ้ากาม ล่อด้วยลาภ ก็จะได้พบกับชายขี้โลภ ล่อด้วยยศก็จะได้พบกับชายที่บ้าอำนาจ ล่อด้วยสรรเสริญก็จะได้พบกับชายที่บ้ายอ ฯลฯ สรุปว่าล่อด้วยสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น การที่จะได้เจอคนดี ได้เจอพ่อพระเพียงแค่การใช้เหยื่อล่อที่ชื่อว่าความงาม คงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้นการจะหวังความสงบในชีวิตที่จะยกตัวอย่างในส่วนต่อไปย่อมไม่มี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการล่อชายที่แสนดีด้วยความดีนั้นจะไม่เป็นทุกข์

จะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่าย เมื่อหญิงนั้นหลอกล่อมัดใจชายด้วยความงาม 5 หน่วยของเธอ ความคาดหวังของชายคนนั้นเดิมอยู่ที่ 3 หน่วย เมื่อได้รับความงามเกินความคาดหวัง คือได้คบหาคนสวยกว่าที่เคยคิดไว้ (+2) เขาก็ย่อมยินดีเต็มใจที่จะครอบครองเธอ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผู้ชายคนเดิมเมื่อเสพหญิงงามไปทุกวัน ก็จะความเคยชินกับความงาม และบวกกับกิจกรรมเพิ่มกิเลสที่พากันทำในชีวิตประจำวัน ทำให้ความคาดหวังว่าจะได้รับสุขจากเสพเพิ่มขึ้นเป็น 5 หน่วย ซึ่งหญิงงาม 5 หน่วยก็ต้องพยายามทำตนเองให้งามขึ้นอีก เพื่อที่จะทำให้เกิดการสนองต่อความคาดหวังให้ชายนั้นรักชายนั้นหลง เลยไปออกกำลังกาย เข้าสปา เรียนแต่งหน้า หัดแต่งตัว ผ่าตัดศัลยกรรม ทำอะไรต่อมิอะไรให้ดูงดงามขึ้นอีก สุดท้ายก็ดูดีกว่าสมัยคบกันแรกๆ มีค่างามอยู่ที่ 6 หน่วย (+1) ผู้ชายคนเดิมเมื่อได้รับสิ่งที่มากเกินความคาดหวังก็จะเกิดความสุขสมกิเลสและหลงมัวเมาต่อไป

แต่วงจรนี้ก็มีวันสิ้นสุด เมื่อหญิงนั้นไม่มีวันงามได้ตลอดไป และชายคนนั้นลดกิเลสไม่เป็น เมื่อถึงจุดหนึ่งความงามของเธอที่เคยมีกลับจางหายไป ริ้วรอยเข้ามาแทนที่ ความเหี่ยวย่นหย่อนยานและหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความเสื่อมนั้นเข้ามาอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้เธอจะเคยเป็นคนงาม แต่ก็เป็นคนงามที่แก่แล้ว ค่างามจึงลดจาก 6 เหลือ 3 ในขณะที่ผู้ชายติดใจความงามระดับที่ 6 ตามที่เคยได้เสพได้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไว้ ทีนี้จะทำอย่างไร เมื่อสิ่งที่ใช้มัดใจชายคือความงาม และผู้ชายคนนั้นให้คุณค่ากับความงามเป็นหลัก ผู้หญิงก็ต้องสร้างคุณค่าอื่นขึ้นมาแทนความงามเพื่อให้ผู้ชายเสพ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข หรือคุณงามความดีของตน แม้กระทั่งแลกด้วยเซ็กส์ที่วิตถาร บางคนอาจจะถึงขั้นยอมให้คู่ครองไปมีหญิงอื่นเพื่อรักษาสถานะไว้ เพื่อที่จะเพิ่มคะแนนที่จะคอยดึงดูดชายคนนั้นไว้

มีบ้างที่ผู้ชายยอมอดทน ฝืนเสพความงามน้อยหน่อยแต่ชีวิตยังปกติสุข เช่น อยู่กับผู้หญิงหน้าตาไม่ดีแต่รวยก็ถือว่าสร้างความสุขได้ หรือเห็นคุณงามความดีของเธอก็เลยยอมทนอยู่แม้ว่าความงามจะลดลงกว่าเดิมมาก แต่ก็มีอีกมากที่ไม่คิดจะทนเมื่อไม่ได้เสพสมดังใจหวัง เมื่อเขาไม่ได้ตามที่คาดหวัง ก็มักจะมีปัญหาตั้งแต่การนอกใจเล็กน้อยจนกระทั่งถึงขั้นมีเมียน้อย

ผู้หญิงที่ให้คุณค่ากับความงามเพียงอย่างเดียวก็เหมือนกับการวางไข่ไว้บนกระจาดใบเดียว เมื่อกระจาดล้มไข่ก็แตกหมด เมื่อวันที่ความงามของเธอหมดความหมาย ในขณะที่ผู้หญิงในโลกมีอีกหลายล้านคนที่มีความงามมากพอที่จะบำเรอชายคนรักของเธอ ดังนั้นจะสรุปไว้ก่อนเลยว่าการใช้ความงามมัดใจใครนั้นต้องลงทุนลงแรงมาก แถมยังมัดไว้ได้ไม่นานอีก เพราะเมื่อกำลังของความงามนั้นน้อยกว่าพลังกิเลสของเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะแหวกกรงที่มัดไว้แล้วออกไปหาสิ่งที่เขาต้องการ

ความงามนั้นยังสามารถลวงความจริงบางประการได้ เช่น ผู้ชายไม่ชอบและรังเกียจอาการบางอย่างของผู้หญิง แต่ความงามของเธอนั้นทำให้เขาหลงใหลจนมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ แท้จริงแล้วอาการไม่ชอบนั้นยังคงอยู่ แต่เขายอมเพื่อที่จะให้ได้เสพสุขที่มากกว่า เหมือนกับที่ผู้ชายบางคน อดทน ทุ่มเท รอคอย ในการตามจีบหญิงงามคนหนึ่ง แต่เมื่อเขาสามารถเอาชนะใจและพิชิตร่างกายของหญิงคนนั้น เขาก็อาจจะเลิกสนใจก็ได้ เหมือนกับคนที่พยายามปืนขึ้นยอดเขา แต่แค่ปักธงเสร็จก็ลงมา ไม่มีอะไรมากกว่าการที่เขาได้เสพสุขในการเอาชนะเพียงชั่วครู่เท่านั้นเอง เขาไม่ได้ต้องการจะขึ้นไปอาศัยอยู่บนยอดเขา แต่เขาต้องการเอาชนะยอดเขา เหมือนกับชายบางพวกที่เพียงแค่อยากพิสูจน์คุณค่าของตนโดยการพิชิตหญิงงาม ดังนั้นความงามจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลวงความจริงได้อย่างน่ากลัวทีเดียว

การมีความงามนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดูมีคุณค่า ดูเหมือนจะได้เปรียบคนอื่นอยู่มากในสังคม แต่มันก็เป็นสิ่งล่อคนที่มัวเมาในกามเข้ามาหา ซึ่งอาจจะมาในคราบของเทพบุตรก็ได้ และยังเป็นสิ่งที่ปิดบังความจริงหลายๆ ประการ ดังที่ยกตัวอย่างมา ผู้ชายเขาอาจจะไม่ได้สนใจเราเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ได้มีความงามเท่านี้ เขาอาจจะมาเสพมาให้คุณค่าเพียงแค่ความงามของเราก็ได้ใครจะรู้ ซึ่งถ้าเรายังหลงติดกับเปลือกกับเนื้อหนังเหล่านี้ยากนักที่เราจะรู้ความเป็นจริง

ศาสนาพุทธนั้นมีวิธีที่จะทำให้ความจริงนั้นปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น เมื่อคนปฏิบัติถึงระดับของศีล ๘ จะมีข้อปฏิบัติที่เข้ามาขจัดภัยอันเกิดจากความบิดเบี้ยวของความจริงเกี่ยวกับความงาม แก้ความเห็นผิดกลับ ทำให้เห็นดอกบัวเป็นดอกบัว เห็นกงจักรเป็นกงจักร อย่างแรกคือการฝึกปฏิบัติเพื่อเว้นขาดจากการประดับตกแต่ง ถ้าหยาบๆ ก็ไม่แต่งตัวโป๊ ถ้าละเอียดขึ้นมาก็คือไม่ยินดีในการแต่งหน้าหรือการเสริมสวยใดๆ เลย อย่างที่สองที่จะเข้ามาชี้ชัดให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้ของคนคนนั้น หรือเป็นเพียงแค่วัตถุสนองกาม ก็คือการเว้นขาดจากการสมสู่กัน อยู่กันอย่างพรหม รักกัน เมตตากัน เกื้อกูลกัน ไม่ทำร้ายกัน ในข้อนี้จะแยกความสัมพันธ์อย่างชัดเจนมากว่าคบหากันไปเพื่ออะไร เพื่อสนองความต้องการทางเพศ หรือเพราะอยากเมตตาเกื้อกูลกัน คือแยกขาวแยกดำให้ชัด ไม่ใช่สีเทาๆ

ซึ่งการปฏิบัติในฐานศีล ๘ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ขัดเกลากิเลสอย่างมาก ถ้ากิเลสมากจะถือศีลไม่ได้ เหมือนผีในละครที่โดนสายสิญจน์แล้วเจ็บปวดทรมาน จะมีทุกข์มาก ทรมานมาก อึดอัด กดดัน เพราะปฏิบัติเกินอินทรีย์พละของตน ดังนั้น เพื่อให้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น เราก็ไม่ควรสร้างปัญหาตั้งแต่แรก เมื่อไม่สร้างปัญหา ก็ไม่ต้องมาคอยแก้ปัญหา เราจึงไม่ควรมัดใจใครด้วยความงาม และในท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ควรมัดใจใครไว้เลยด้วยอะไรเลยก็ตามแม้แต่คุณงามความดีของเรา

และการที่เราจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาหรืออะไรคือสิ่งที่จะพาให้คลาดแคล้วจากปัญหา เราจะต้องคบกับมิตรดี มิตรที่ดีจะชี้ให้เราเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย โดยมีหลักยึดว่ากิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์ การหลุดพ้นจากกิเลสนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนั้นมิตรดีจะกล่าวแต่สิ่งที่จะพาให้ออกห่างจากกิเลส ซึ่งต่างกับมิตรชั่ว คือคนที่พาให้หลงมัวเมาในกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าการมีคู่และมีลูกนั้นเป็นบ่วง มิตรชั่วก็จะบอกตรงสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เว้นขาดจากการประดับตกแต่ง มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ประพฤติตนเป็นโสดคนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม การคบมิตรดีนั้นเป็นสิ่งแรกที่ควรมีในการเดินทางสู่ความผาสุกในชีวิต ถ้าไม่มีมิตรดี ต่อให้ขยันพากเพียรปฏิบัติอีกล้านล้านปี…ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์

– – – – – – – – – – – – – – –

7.5.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ขาดแฟนชีวิตเจริญ ขาดมิตรดีชีวิตไม่เจริญ

October 1, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,932 views 3

ขาดแฟนชีวิตเจริญ

เป็นส่วนเกินไม่มีก็ได้

ขาดมิตรดีชีวีฉิบหาย

เจริญก็ไม่ได้ไม่พ้นโลกีย์

– – – – – – – – – – – – – – –

ขาดแฟน

 

แฟน คู่รัก คู่ครอง ฯลฯ แท้จริงแล้วเป็นความสัมพันธ์ที่ “ไม่มีความจำเป็นในชีวิต” ถึงไม่มีก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปกติ และถ้ามีแล้วนอกจากจะสามารถขวางทางเจริญ ยังสามารถฉุดกันลงนรกได้อีกด้วย กว่าจะถึงวันแต่งงานบำเรอกิเลสกันไปเท่าไหร่ เลี้ยงกิเลสโตกันไปขนาดไหน แม้ว่ามันจะดูน่าใคร่น่าเสพในทางโลกีย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือทุกข์ล้วนๆ

เหตุผลหนึ่งในการหาแฟนหรือคู่ครองที่คนมักจะซ่อนเอาไว้ก็คือ “การสมสู่” ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เพื่อนที่ดีไม่สามารถทำให้กันได้ เพราะการระบายอารมณ์ การให้เป็นที่พึ่ง การปรึกษาปัญหาชีวิต การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า หรือแม้กระทั่งการง้องอน เพื่อนที่ดีก็สามารถทำหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้ได้ครอบคลุมทั้งหมด

แต่การจะให้เหตุผลว่าหาคู่ครองเพื่อมาบำเรอความใคร่ เอามาบำบัดความอยากในกามอารมณ์ มันก็ดูจะตรงเกินไปสักหน่อย คนเราก็เลยโอนคุณสมบัติบางอย่างของเพื่อนเพื่อมาให้น้ำหนักทางฝั่งแฟน ลดความสัมพันธ์ของเพื่อนมาเพิ่มคุณค่าให้กับแฟน สร้างระยะว่านี่เพื่อน นี่แฟน เพื่อนได้แค่เท่านี้ แฟนต้องขนาดนี้ และเว้นอาณาเขตพิเศษไว้ให้แฟน จึงกลายเป็นเหตุผลอันชอบธรรมในการหาแฟนหรือคู่ครองในที่สุด(สามารถพิสูจน์ข้อคิดเห็นนี้ได้โดยถือศีลการเว้นการสมสู่ตลอดชีวิต แล้วจะเห็นพลังของกิเลสว่ามีจริง)

เหตุผลอีกข้อก็คือ หลงผิดว่ามนุษย์ต้องมีคู่ ต้องแต่งงาน ต้องสืบพันธุ์ การมีคู่เป็นคุณค่า เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่สมควรทำ เป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิต ฯลฯและยังมีเหตุผลยิบย่อยอีกมากมายเช่น อยากมีไว้แก้เหงา, อยากมีคนเอาใจ, อยาก…ฯลฯ

– – – – – – – – – – – – – – –

ขาดมิตรดี

หากว่าชีวิตของเรานั้นไม่มีมิตรดี ไม่ได้คบหาหรือรู้จักคนที่ปฏิบัติดี จะไม่มีทางที่ชีวิตจะไปสู่ความเจริญได้เลย แม้จะเจริญไปได้ ก็หนีไม่พ้นวิถีโลก ไม่พ้นโลกีย์ วนเวียนอยู่ในโลกีย์ แม้จะมีธรรมะก็เป็นธรรมะในขั้นโลกีย์ เป็นคนดีแบบที่โลกเขาสมมุติเอา แม้จะได้รับการเชิดชูเป็นศาสดา ก็เป็นเพียงศาสดาโลกีย์ ทำความดีในวิสัยของโลกีย์ วนอยู่เพียงเท่านั้น

วิถีโลกีย์คือความวน ไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็วนลงไปต่ำสุด ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นความวนได้เพราะมีกิเลสเป็นเหตุ ไม่ว่าจะจนหรือรวย จะฉลาดหรือโง่ จะทำดีหรือทำชั่ว ถ้าไม่มีมิตรดี ก็ไม่มีวันที่จะปฏิบัติสู่การหลุดพ้นจากความเวียนวนนี้ไปได้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ก่อนจะเห็นมรรคได้นั้น ต้องมีมิตรดีเป็นอันดับแรก ถ้าเปรียบมรรคดังดวงตะวัน มิตรดีก็เป็นดังแสงแรกที่จะเห็นเมื่อตะวันนั้นกำลังจะโผล่ขึ้นมา นั่นหมายถึงว่า ถ้าไม่มีมิตรดี ก็ไม่ต้องปฏิบัติมรรคเลย เพราะผิดแน่นอน ปฏิบัติไปก็ผิด เรียนไปก็ผิด ทำอะไรก็ผิด

ย้ำลงไปอีกในอวิชชาสูตร ท่านได้กล่าวว่าคนจะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ต้องเริ่มต้นจากการคบหาสัตบุรุษหรือมิตรดีที่พาเจริญ มิตรดีในที่นี้คือผู้ที่รู้ธรรม รู้ทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ แล้วเรียนรู้จากสัตบุรุษเท่านั้นจึงจะพ้นทุกข์ เพราะความรู้ของศาสนาพุทธนั้นคิดเอาเอง อ่านเอาเอง ปฏิบัติเอาเองไม่ได้ ถึงจะ คิด อ่าน หรือขยันปฏิบัติแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีภูมิเก่าก็จะมีแต่หลงเท่านั้น บางครั้งหลงไปด้วยว่าตนมีภูมิ หลงซ้ำซ้อนกันไปอีกหลายชั้น หลงถึงขั้นสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ก็มี

สรุปคือ ถ้าชีวิตไม่เจอมิตรดี ไปเจอมิตรลวง หรือเจอกับมิตรหลง นอกจากจะไม่มีวันพ้นทุกข์แล้ว ยังเพิ่มความหลงในโลกีย์ซ้อนเข้าไปอีก สร้างทุกข์หนักเข้าไปอีก ในทางกลับกันถ้าเจอมิตรดี หมั่นเข้าหา สนทนา ศึกษาและปฏิบัติตาม ก็จะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยลำดับ

ข้อสังเกตในเบื้องต้นว่าคนไหนมิตรดี คนไหนที่ควรคบ ก็ให้ดูที่ศีล พระพุทธเจ้าตรัสศีลเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมจะไม่ทิ้งศีล อาศัยศีลเป็นเครื่องนำความเจริญ ไม่ถือศีลอย่างยึดมั่นถือมั่น แต่ก็จะไม่ถือศีลอย่างลูบๆคลำๆ เหยาะแหยะ ทำทีเล่นทีจริง โดยจะสามารถเข้าถึงศีลได้ตามบารมี ๕ ๘ ๑๐ จนถึง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของพุทธ

– – – – – – – – – – – – – – –

1.10.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)