Tag: พระโพธิสัตว์พันมือ
ช่วยคนที่ช่วยไหว
หลักการประมาณน้ำหนักในการสื่อสารในเฟสบุคของผมคือ ช่วยคนที่ช่วยไหว
คือประมาณฐานสูงเป็นหลัก เพราะฐานคนที่เขามีอินทรีย์พละสูง จะลงน้ำหนักได้มาก ไม่ต้องอนุโลมมาก เปรียบเหมือนคุยกับคนมีประสบการณ์ ย่อมทำความเข้าใจเนื้อหาได้ไว
ผมก็ตรวจสอบเป็นระยะนะ ว่าถ้าเราพิมพ์ประมาณนี้เขาก็รับกันได้ เขาก็ยังยินดีกันอยู่ แสดงว่ามันพอไหว แต่จะให้อนุโลม ผ่อนลงไป มันก็ทั่ว ๆ ไปล่ะนะ ธรรมะแนวโลกสวยเขาก็มีคนทำกันเยอะอยู่แล้ว ตลาดนั้นเราไม่เอาหรอก ทำไปก็ไม่พ้นทุกข์ เราเอาแบบของเราดีกว่า แบบเบา ๆ เราก็เคยศึกษามา มันไม่ถึงใจ ไม่เข้าเนื้อ ไม่โดนอัตตา ศึกษาธรรมะไม่โดนอัตตามันจะล้างอัตตาได้ไหมล่ะ มันก็ต้องกระทบก่อนถึงจะจับได้ จับได้แล้วค่อยล้างกันต่อไป
พระพุทธเจ้าท่านก็ทำเป็นตัวอย่าง คือแสดงธรรมอย่างหนัก ด่าเป็นด่า จริง ๆ ก็คือเตือนละนะ ถ้าถ้าผมเอาประโยคเหล่านั้นไปเตือนใคร เขาก็คงคิดว่าด่าแน่ ๆ
ยกมาบทหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านให้ลูกศิษย์เลือกระหว่างไปกอดกองไฟที่กำลังลุกโชนกับไปกอดหญิงสาว ลูกสาวคนใหญ่คนโต ที่น่ารักน่าใคร่ คิดว่าอย่างไหนจะดีกว่า จะประเสริญกว่ากัน
ว่าแล้วลูกศิษย์ ก็ตอบว่า ไปกอดสาวสิประเสริฐกว่า … เท่านั้นแหละ โดนเป็นชุดใหญ่ ประมาณว่า เราจะเตือนเธอไว้ คนที่ผิดศีล มีธรรมลามก ประพฤติน่ารังเกียจ ปกปิดความชั่ว ไม่ใช่สมณะแต่บอกคนอื่นว่าเป็นสมณะ ไม่ประพฤติพรหมจรรย์แต่บอกคนอื่นว่าประพฤติ เน่าใน มีความหื่นกระหาย การเข้าไปกอดหญิงสาวจะประเสริญยังไง …(อัคคิขันธูปมสูตร เล่ม 23 ข้อ 69)
ว่าแล้วท่านก็ไขความว่าอะไรดีกว่าเพราะอะไร แล้วก็ถามอย่างเดิมโดยยกตัวอย่างประเด็นอื่นมาตามลำดับ อีกหลายเรื่อง
ผลสรุปว่า 60 คนบรรลุธรรม 60 คนกระอักเลือด 60 คนลาสิกขา (ตายจากธรรม) สรุปคือ ตายไป 2 ใน 3 สำเร็จแค่ 1/3 ส่วน ซึ่งอันนี้คือความจริงที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เก่งแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ทุกคน ขนาดพระพุทธเจ้ายังช่วยคนโง่ไม่ได้เลย แล้วท่านรู้ไหม? ท่านรู้โลกอย่างแจ่มแจ้งนะ กับผลแค่นี้ท่านรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาแบบนี้
กลับไปที่ตอนตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านจะไม่สร้างศาสนา ไม่สอนคนเลยนะ เพราะมันเหนื่อย ยาก ลำบาก พอมีพรหมมาเชิญให้ท่านสอน ด้วยเหตุที่ว่า “คนที่มีฝุ่นในดวงตาน้อยยังมีอยู่” นั่นแหละ หมายถึงคนที่มีความโง่น้อยยังมีอยู่ ท่านก็สอนแต่คนเหล่านั้นนั่นเอง ท่านไม่ได้สอนทุกคนนะ
ถ้าคนโง่มากนี่ไม่ไหว พวกอินทรีย์พละอ่อนนี่ไม่ไหว ท่านก็ตรัสไว้ในอีกสูตรว่า พวกอินทรีย์พละอ่อนนี่ให้ทำอะไรก็บ่น ไม่อยากทำ สอนอะไรก็ไม่เอา อาการจะเป็นแบบนี้
…ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังประมาณเลย ผมจะไม่ประมาณได้อย่างไร แต่จะประมาณยังไง ก็ตามความรู้ที่มี ถ้าเป็นไปได้ผมก็จะเอาฐานสูงไว้ก่อน เอาอินทรีย์พละแกร่ง ๆ ไว้ก่อน เพราะไม่ต้องเสียเวลาปรุงแต่งคำให้มันสละสลวยนัก มันจะเสียเวลาและเสียประโยชน์มาก ถ้าเราเอาใจฐานต่ำ ๆ เป็นหลัก
เพราะถ้าเราประมาณต่ำ คนที่เขาสูง ๆ เขาก็จะเบื่อ เขาก็จะเสียประโยชน์ ทั้ง ๆ ที่เขามีองค์ประกอบที่จะเข้าใจเรื่องนั้น ๆ ได้ แต่เราก็มัวแต่โอ๋เด็ก คนฐานต่ำนี่ผมไม่หวังอะไรมากหรอก ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่ตั้งใจ เป็นคนประมาท คนฐานนี้ก็ให้คนอื่นเขารับไป มีเยอะแยะเลย
แต่เราไม่เอาหรอก ไม่ไหว มันเมื่อยหัว ไม่มียังจะดีกว่า บอกกันตรง ๆ ถ้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่จริงใจ ไม่ได้ทุกข์ขนาดที่ว่าจะหาทางออกจริง ๆ ไม่ได้คิดแสวงหาทางปฏิบัติจริง ๆ มาแบบเล่น ๆ หาเพื่อนคุย นี่ผมไม่เอาด้วยหรอก มันเสียเวลา
พระพุทธเจ้าท่านยังบอกเลยว่าให้คบคนที่สูงกว่าหรือเสมอกัน ส่วนฐานต่ำกว่าก็ละไว้ในฐานที่น่าจะพอเข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ไปอ่านเจอในพระสูตรนึง ก็ยังมีอนุโลมอยู่บ้าง ในกรณีที่เขามาให้ช่วย ตรงนี้ก็ช่วยเขาได้ เขาศรัทธาเรา เราก็ช่วยเขา มันก็เป็นความเกื้อกูลกันไป แต่ถ้าไม่ได้ศรัทธากัน มันจะช่วยกันไม่ได้ คุยไป ๆ มันจะเพ่งโทษถือสา มันจะเสียมากกว่าได้ ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยคุยเล่นสักเท่าไหร่ ยกเว้นบางท่านที่เคยรู้จักสนทนากันมาก่อน อันนั้นก็เป็นอีกบริบทหนึ่ง
ดังนั้นสรุปเลยว่า ผมจะเอื้อเฉพาะที่ผมเอื้อไหว ถ้าจะระดับเอื้อทุกฐานนี่ต้องครูบาอาจารย์ของผมแล้วล่ะ อันนั้นท่านมีบารมีมาก มีกำลังมาก เหมือนพระโพธิสัตว์พันมืออะไรแบบนั้น ท่านก็มีมือเยอะ มีปัญญาเยอะ ช่วยคนได้หลายฐานะ อันนี้เราก็เท่านี้ ก็เท่าที่พิมพ์กันทุก ๆ วันนี่แหละ ก็เก่งอยู่ไม่กี่เรื่อง ก็ช่วยได้เท่าที่รู้นั่นแหละ
แต่ที่ช่วยไม่ได้เลยนี่คือคนเก่งกว่าผม จะเก่งจริง หรือเก่งหลอกไม่รู้แหละ เก่งจริงก็ไม่ต้องไปช่วยแนะนำอะไรท่านอยู่แล้ว ช่วยเรื่องงานก็พอ ส่วนเก่งหลอกนี่มันก็หลอกทั้งตัวเองทั้งคนอื่น มันก็ติดเพดาน เหมือนชาเต็มถ้วย มันก็ช่วยกันไม่ไหว ก็ต้องปล่อยให้ศึกษากันไปเองตามที่สนใจ