Tag: ความผิดหวัง
ความหลง ความรัก ความตาย : เมื่อรักทำร้าย กลับกลายเป็นยาพิษ
ความหลง ความรัก ความตาย : เมื่อรักทำร้าย กลับกลายเป็นยาพิษ
ความรักที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สวยงาม หอมหวาน เป็นสิ่งที่หลายคนแสวงหา ยอมทุ่มเท ลงทุนลงแรง เสียเวลามากมายเพื่อที่จะได้มันมาครอบครอง แต่สุดท้ายรักนั้นกลับเบาบางกว่าเมฆหมอก ไม่มีตัวตน สลายหายไป ทิ้งไว้แต่ความผิดหวัง
ถ้ามีรักแล้วมันเป็นสุขตลอดไป ก็คงจะไม่มีคนทุกข์ แต่ใช่ว่าคนจะแก้ปัญหาที่ความทุกข์ พวกเขากลับไปแก้ปัญหาที่ความรัก โทษรัก ใส่ความว่ารักนั้นทำให้ผิดหวัง เป็นทุกข์ ทั้งที่คนที่ไปตั้งความหวังไว้ผิด ๆ ก็คือคนที่แสวงหาความรักเหล่านั้น การแก้ปัญหาของพวกเขาคือแสวงหาคนรักที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น สุขยาวนานขึ้น นั่นคือทิศทางของความคาดหวังที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความใคร่อยากเสพความรัก กลายเป็นความกลัวความผิดหวัง จึงพยายามหาสิ่งที่จะป้องกัน มาประกันให้รักนั้นคงอยู่ให้นาน เท่าที่ตนจะได้เสพสมใจตลอดไป
การป้องกันรักร้าวแตกสลายที่คนนิยมทำกันคือการยอม ยอมตามใจ ยอมให้ ยอมแพ้ ยอมเป็นเบี้ยล่าง ยอมเสียตัว ยอมเสียศักดิ์ศรี ยอมเป็นทาส ฯลฯ เพื่อแลกมาซึ่งการดำรงอยู่ของความรักเหล่านั้น แต่ถึงแม้จะยอมสักเท่าไหร่ จะจ่ายสักเท่าไหร่ จะแลกไปสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้หมายความรักนั้นจะไม่แปรผัน ความรักเหล่านั้นยังอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์ คือลักษณะ 3 อย่าง คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน
ผู้คนพยายามแสวงหาหนทางที่จะเอาชนะไตรลักษณ์ พยายามที่ก้าวข้ามความไม่เที่ยง ความทุกข์ และสร้างตัวตนขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก็จริงอยู่ที่ว่าเขาอาจจะมีอำนาจ บารมีที่สามารถดำรงสภาพเหล่านั้นไว้ได้ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีสิ่งใดในโลกหนีจากไตรลักษณ์ได้เลย เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็ต้องเจ็บปวด ผิดหวัง ทรมาน ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ นำมาซึ่งการกล่าวหากัน ทำร้ายกัน จนถึงขั้นฆ่ากันตาย ไม่ฆ่าคนอื่น ก็ฆ่าตัวเอง ด้วยความคับแค้นใจ ทนไม่ได้ ยอมรับไม่ได้กับสภาพรักที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มั่นคง ไม่แท้ ไม่จริง
ทุกวันนี้มีข่าวคนตายเพราะความรักมากมาย เรียกได้ว่าเห็นเกือบจะทุกวัน วันละ 1-2 ข่าว อันนี้เท่าที่เขานำมาทำข่าว ที่ไม่รู้อีกตั้งเท่าไร ความร้ายของความรักนั้นยิ่งกว่าอุบัติเหตุ เพราะจิตโลภ โกรธ หลง นั้นมีน้ำหนักที่แตกต่างกันไปตามเหตุ อุบัติเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความประมาท (กรรมใหม่) อีกส่วนหนึ่งเกิดจากวิบากกรรมเก่า(ผลของการกระทำเก่า) แต่การทำร้ายกันเพราะความรัก ถูกกำหนดด้วยจิตอันมีกิเลสเป็นอำนาจในปัจจุบันล้วน ๆ ว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้ากิเลสมากก็ร้ายแรงมาก ถ้ามีธรรมะก็อาจจะพอข่มอาการได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีกิเลส ก็จะไม่มีความเบียดเบียนใด ๆ เกิดขึ้นเลย
ถ้าเกิดบาดหมางกับคนดีมีศีลธรรม อย่างมากก็แค่ทุกข์ใจ ส่วนทุกข์กายนั่นก็แล้วแต่ใครจะปรุงสารพัดอาการไม่สบาย กินไม่ได้นอนไม่หลับขึ้นมาเอง แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนั้นไม่ใช่คนมีศีลธรรม โดยมากแล้วเป็นคนไม่มีศีล แรกคบหากับคนไม่มีศีลก็อาจจะไม่เห็นโทษเห็นภัยอะไร แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา กิเลสมันกำเริบ มันก็จะทำผิดเกินไปถึงขีดที่อันตราย ด่ากันได้ ทำร้ายกันได้ ฆ่ากันได้ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงมงคลชีวิต อันดับแรกเลยคือไม่คบคนพาล และในกรณีที่จำเป็นต้องเลือกคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้เลือกคนมีศีล ศีลธรรมนั้นจะคุ้มครองคน ไม่ให้ทุกข์มาก ไม่ให้ลำบากมาก ดีที่สุดคือคบหาคนมีศีลระดับที่เขาไม่ยินดีในคู่ครองนั่นแหละ จะแคล้วคลาดปลอดภัย เพราะเขาไม่มายุ่งอะไรกับเราแน่ ๆ อันนี้ก็เป็นกรณีของการถูกคลุมถุงชน
แต่สมัยนี้ไม่ค่อยมีหรอกคลุมถุงชน ก็มีแต่เลือกกันตามความหลงเท่านั้นแหละ ชอบแบบไหน ยึดมั่นถือมั่นแบบไหน ก็เอาแบบนั้น เคยได้ยินผู้หญิงที่เขาชอบผู้ชายเจ้าชู้ไหม? นั่นเขาชอบรสจัดแบบนั้น มันต้องมีลีลา ท่าทีเย้ายวน ล่อลวง หอมหวาน อันนี้มันก็ติดเสพรสไปตามอัตตาที่มี ดีไม่ดีจะเป็นอัตตาซ้อนไปอีกว่า “ข้าแน่” ข้านี่แหละจะปราบเสือร้าย มันก็เมาขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คนเขาก็หลงไปตามภพตามภูมิของเขา ชอบอะไรก็ใฝ่หาอันนั้นมาเสพ เป็นความหลงที่พาให้แสวงหา แล้วก็วนเวียน สมหวัง ผิดหวัง เศร้า เหงา แล้วก็หาเสพใหม่ เป็นวงจรที่น่าสงสาร เนิ่นนานผ่านไปหลายภพหลายชาติก็ใช่ว่าจะหมดรส ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งคาดหวัง หาสิ่งใหม่มาเสพ ก็หวังว่าคนใหม่จะดีกว่าคนเก่า หรือไม่ก็มีประสบการณ์มั่นใจว่าเลือกได้ดีกว่าเก่า อันนี้มันก็ยังหลงโง่อยู่
เพราะสุขจริง ๆ สุขแท้ ๆ สุขโดยส่วนเดียวจากความรักมันไม่มีหรอก มันจะมีทุกข์ด้วยเสมอ แล้วเอาจริง ๆ ถ้าตัดเรื่องกิเลสออกไป สุขจากความรักมันไม่มีเลย ที่มันมีเพราะกิเลสมันปรุงสุขขึ้นมา ได้สมใจก็สุข ได้ดั่งใจก็สุข มันก็ไปปั้นสุขลวงขึ้นมาจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่น อยากมากจนถึงขั้นร้องห่มร้องไห้ พอโตขึ้นมาคิดย้อนไป อันนั้นเราไปอยากได้ขนาดนั้นได้ยังไงหว่า? นั่นกิเลสมันปรุงสุขลวงมาอย่างนั้น มันเห็นสิ่งไม่มีประโยชน์เป็นสิ่งมีประโยชน์ แล้วก็อยากได้อยากมี พอได้มาแล้วก็หลงเป็นสุขใจ กอดของไร้สาระอย่างเป็นสุข รสสุขจิตเราปั้นขึ้นมาเอง จริง ๆ มันไม่มี
เรื่องคู่ก็เช่นกัน จริง ๆ สุขมันไม่มี แต่ที่มันเป็นสุข เกิดอาการสุข รู้สึกสุข รู้สึกยินดี ปลื้มใจ อิ่มใจ อุ่นใจ พอใจ อะไรเหล่านี้มันก็ปั้นขึ้นมาเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นแหละ ถ้าโตแล้วจะเห็นเลยว่าของเล่นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันมีสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า อันนี้ผู้ใหญ่ที่มีศีลธรรม พ้นทุกข์ พ้นโง่นะ แต่ถ้าผู้ใหญ่แบบหลงมัวเมาไม่เลิก เขาก็ยินดีกับเด็กที่ได้ของเล่นนั่นแหละ เหมือนกับคนที่แก่แล้ว ถึงวัยแล้ว แต่กลับมีจิตยินดีในคนคู่ ในความเป็นคู่ พวกนี้ก็ยังเป็นเด็กในทางธรรมอยู่ เหมือนกับผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กเล่นของเล่นแล้วอยากเล่นด้วย ยินดีกับการเล่นนั้นด้วย ส่งเสริมการเล่นนั้นด้วย มันก็พากันเมาไป เรื่องนี้มันก็เข้าใจยาก
คนที่ปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วสามารถล้างความหลงติดหลงยึดในเรื่องคู่ได้จริง จะไม่วนเวียนอยู่กับการแส่หาความรักอีกต่อไป จะเกิดสภาพของบัณฑิตโดยธรรม คือ มีการประพฤติตนเป็นโสดเป็นธรรมดา ส่วนคนที่พลาดพลั้งไปมีคู่แล้ว ก็จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง คือเห็นนรกจริง เห็นความลำบากจริง ๆ เห็นภาระจริง ๆ ที่ต้องแบกไว้ ให้หนัก ให้เหนื่อย ให้ลำบาก ก็จะมีความเหนื่อยกายเป็นหลัก ส่วนความเหนื่อยใจถ้าล้างความหลงไปได้มันก็ไม่ทุกข์ เหลือแต่ภาระ คือวิบากกรรมชั่วที่เคยทำมา ที่ต้องใช้เวลาในการชดใช้ หรือที่เรียกกันว่า “รับกรรม”
ก็ใช่ว่าคนคู่เขาจะออกจากสภาพความเป็นคู่ได้ง่าย ๆ แม้เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าคู่ของเรานั้นจะมีสภาพจิตเหมือนเรา เกิดเขาเป็นผีห่าซาตานมาเกิด แล้วเราดันเลือกเขามาแล้ว ตอนเลือกก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่มีศีลธรรม ต่อมาตนเองก็พัฒนาขึ้น แต่คู่ไม่พัฒนาด้วย มันก็เหมือนผีกับเทวดาอยู่ด้วยกัน อันนี้มันก็ลำบากหน่อย เพราะถ้าจะไปหักกันรุนแรง พาลจะบาดเจ็บล้มตายแล้วกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งกันเปล่า ๆ
คู่เทวดากับเทวดา หรือคนดีมีศีลคู่กัน ถ้าพ้นหลง พ้นโง่ พ้นทุกข์แล้ว ที่เหลือก็แยกวงกันเท่านั้นเอง เพราะการคบหา การแต่งงาน สัญญาเหล่านั้นก็เป็นแค่เรื่องสมมุติขึ้นมา พอไม่ได้ยึดสมมุติ มันก็เลิกได้ทุกเมื่อ ก็แค่ตกลงกันว่าจะเอาอย่างไร เหมือนกับกรณีของพระมหากัสสปะ ที่มีคู่มีบารมีทางธรรมเหมือนกัน พอนึกจะเลิก ก็เลิกได้เลย แล้วก็แยกกันไปบวชตามทางของแต่ละคน
ส่วนคู่ผีกับผี ก็เป็นอย่างหัวข้อเรื่อง พากันหลงวนเวียน สุดท้ายก็จบด้วยความบาดหมาง ว่าร้ายกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากันเอง ฆ่าคนอื่น ฆ่าตัวเอง ไม่มีพลังความดีคุ้มภัย ไม่มีศีลไว้คุ้มกันความชั่วของตนเอง ไม่มีกุศลธรรมคอยพาให้แคล้วคลาดปลอดภัย ห้อยพระดังแค่ไหนก็ไม่ช่วย เพราะคนจะเจอดี เจอร้าย ไม่ได้เกี่ยวกับพระที่ห้อยคอเลย แต่เกี่ยวกับกรรมที่ทำมา พระพุทธเจ้าสอนว่าเรามีกรรมเป็นของของตน เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราทำกรรมอะไรไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราต้องได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน
… สรุป เรื่องความรักก็เป็นความหลงแบบหนึ่งที่ทำให้คนเบียดเบียนกันได้มากถึงขนาดทำร้ายกัน ฆ่ากันตาย ฆ่าตัวตาย ซึ่งจริง ๆ เป็นเรื่องที่ป้องกันได้ ยับยั้งได้ ลดภัยจากความรักนั้นทำได้ง่ายกว่าลดอุบัติเหตุเสียอีก แต่การจะเข้ามาศึกษาเพื่อลดทุกข์ โทษ ภัยจากความรักให้ถ่องแท้นั้น ทำได้ยากยิ่งเหลือเกิน
27.11.2562
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
สายลมเมื่อวันวาน
สายลมเมื่อวันวาน
(เรียบเรียงได้ตอนฟังเพลง : วันนี้เมื่อปีก่อน (Today, Last Year) – Moderndog )
เมื่อวันที่การเปลี่ยนแปลงมาถึง
คงไม่มีใครทุกข์ใจกับความเจริญ
และคงไม่มีใครดีใจกับความเสื่อมสลาย
สิ่งใดที่เกิดขึ้นมา สุดท้ายมันก็ต้องดับลงไป
ทิ้งไว้แต่คนที่ยึดมั่นถือมั่นในรสสุขเหล่านั้น
พยายามที่จะกอดเก็บอดีตที่สวยงามไว้
เหมือนกับการห้ามสายลมไม่ให้พัดไป
ทั้งที่จริงแล้ว สายลมไม่เคยหยุดนิ่ง
เฝ้าใฝ่ฝันถึงอนาคตว่าวันหนึ่งจะต้องดีเหมือนเดิม
เหมือนกับเฝ้าฝันว่าสายลมนั้นจะพัดหวนกลับมา
ทั้งที่จริงแล้ว สายลมเดิมนั้นไม่เคยพัดกลับมา
จมดิ่งอยู่ในอดีต ล่องลอยไปกับอนาคต
ไม่มีปัจจุบันสำหรับผู้ปล่อยใจให้หลงทาง
อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ทุกอย่างมันจบไปแล้ว
แม้มันจะเคยมีอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงความจำ
อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และไม่รู้ว่าจะถึงวันไหน
แม้มันน่าจะเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงการคาดเดา
ไม่มีความจริงในอดีตและอนาคต
มีแต่ความจริงในปัจจุบัน ทีนี่ เวลานี้เท่านั้น
สิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้คือของจริง เป็นจริงตามความเป็นจริง
อย่าเอาความจำมาเป็นความจริงในปัจจุบัน
เพราะความจำเป็นเพียงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในอดีต
อย่าเอาการคาดเดามาเป็นความจริงในปัจจุบัน
เพราะไม่ว่าจะวาดฝันไว้สักเท่าไร มันอาจจะไม่เกิดขึ้น
ผู้ที่พ้นจากความหลงยึดในอดีตและอนาคตเท่านั้น
จึงจะเป็นผู้ที่อยู่ในปัจจุบัน เป็นผู้มีความจริง
และมีเพียงความจริงในปัจจุบันเท่านั้น
ที่จะทำให้ก้าวผ่านความทุกข์ไปได้
ปล่อยให้สายลมพัดผ่านไป
อย่างที่มันควรจะเป็น
ปล่อยการยึด
วางการยื้อ
🙂
…
.
บทขยาย
เมื่อคนเราพบกับความทุกข์ ความผิดหวัง อย่างเช่นในเรื่องของความรัก ก็มักจะปล่อยให้จิตใจหลงไปกับอดีตและอนาคต
อดีตก็คือการหวนคิดถึงวันเก่าๆ เสียใจ เสียดาย ฉันเคยสุขเช่นนั้น เราเคยเป็นของกันและกันแบบนั้น เธอเป็นรักแรกของฉัน เป็นคนแรกของฉัน เราเคยเป็นเนื้อคู่กันตั้งแต่ชาติปางก่อน วันนั้นฉันน่าจะทำแบบนั้น ฉันไม่น่าตัดสินใจแบบนี้เลย ฯลฯ ซึ่งเป็นการจมอยู่ในอดีต แล้วก็หลงเอาอดีตมาเป็นปัจจุบัน เข้าใจว่าปัจจุบันต้องเป็นอย่างในอดีต คือมีความยึดในอดีต ทั้งๆที่ความจริงในปัจจุบันทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ปัจจุบันคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นและเป็นอยู่ เป็นความจริง เป็นเรื่องจริง อดีตมีแค่ความจำและความรู้ที่ได้เรียนรู้มา แต่ไม่ใช่ความจริง
อนาคตก็เช่นกัน เรามักเฝ้าฝันถึงอนาคตที่สวยงาม หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น หวังว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมา หวังว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะจบลงด้วยดี ฯลฯ แล้วเสพสุขกับความฝันเหล่านั้นอยู่ในภพที่ตัวเองสร้างขึ้น ปั้นขึ้น แต่งขึ้น เหมือนหลงในนิทาน เมาไปในเรื่องราวของนิยายเพ้อฝัน หลงไปในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ จะมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ มีแต่การคาดเดา ความน่าจะเป็น แต่ก็ไม่มีความจริงอยู่ในนั้น เพราะสิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น มันจึงเป็นเพียงภาพฝันที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีอยู่จริง
ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นความจริง ผู้ที่ยอมรับความจริงตามความเป็นจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะสามารถละหน่ายคลายจากความหลงติดหลงยึดในอดีตและอนาคตได้
– – – – – – – – – – – – – – –
9.10.2558
ฉันยอมรับผิด การปลดปล่อยทุกข์จากความผิดหวังในความรัก
ฉันยอมรับผิด การปลดปล่อยทุกข์จากความผิดหวังในความรัก
ความผิดหวังในความรักนั้นสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่หลงติดหลงยึดในความหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอย่างนั้นและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
คนที่ผิดหวังมักจะกอดเก็บทุกข์เอาไว้ พร้อมด้วยกิเลสที่คอยเผาใจ คือความโกรธ ผูกโกรธ อาฆาต พยาบาท ฯลฯ จองเวรจองกรรมอยู่กับผู้ที่ทำให้ต้องพบกับความผิดหวังในความรัก
แต่ถ้าหากเรากลับมาทบทวนดีๆแล้ว ไม่มีใครเลยที่เราสมควรจะโกรธ หรือไปโทษเขา ความผิดหวังที่เราได้รับทั้งหมดนั้นเกิดจากตัวเราเอง เกิดจากกรรมที่เราทำมาเอง มันถูกต้องแล้วที่เราจะต้องได้รับความผิดหวังนั้น มันเป็นผลของกรรมที่เราจะต้องรับ มันสมเหตุสมผลและยุติธรรมที่สุดในโลกแล้วกับสิ่งที่เราได้รับมา
การยอมรับผิด คือการปลดปล่อยตัวเองออกจากความโกรธเกลียดและความผิดหวังทั้งหลาย ผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างถ่องแท้จะไม่โทษใครเลย เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ตนเองทำมา เมื่อเข้าใจเช่นนั้นก็จะสามารถยอมรับสิ่งที่ตนเองทำมาได้ด้วยความเต็มใจ ยอมรับผลกรรมนั้นด้วยใจที่เป็นสุข ไม่คิดแค้น ไม่โกรธ ไม่โทษใครอีก
การที่เรายังทุกข์เพราะความผิดหวังในความรักนั่นก็เพราะเราไม่ยอมรับผิด เรามักจะโยนปัญหาออกไปนอกตัวเสมอ พยายามหาคนผิดที่ไม่ใช่เรา บอกกับตัวเองว่าฉันไม่ได้ทำมา คนที่มาทำฉันคนนั้นผิด หรือฉันทำมาแต่ฉันก็ไม่ได้ขนาดนั้น แม้จะคิดและเข้าใจเช่นนั้นแต่ก็ไม่สามารถสลัดทุกข์ออกจากใจได้ แม้จะโยนความผิดบาปให้กับคนอื่นแต่ก็ไม่ทำให้จิตใจสงบและเป็นสุขได้ เพราะความจริงแล้วเรากำลังโกหกตัวเองอยู่
การโกหกว่าเราไม่ใช่ต้นเหตุของความผิดหวังเหล่านั้นคือสิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์ ถึงแม้จะโยนความผิดบาปให้กับผู้อื่น แทนที่ปัญหาจะหมดไป แต่กิเลสข้างในกลับโตขึ้น สร้างความโกรธ รังเกียจ พยาบาท สร้างโทสะต่างๆขึ้นมาเผาใจตัวเองให้ทุกข์ซ้ำเข้าไปอีก
ดังนั้นการแก้ปัญหาความทุกข์จากความผิดหวัง ไม่ใช่การหาสาเหตุว่าใครผิด หาไปก็เท่านั้น แม้ว่าเหตุการณ์ในชีวิตจะดูเป็นบทละครที่สร้างให้มีตัวเอกและผู้ร้ายอย่างชัดเจน แต่ความจริงแล้วผู้ร้ายที่สุดก็คือตัวเราเอง เพราะเป็นกรรมของเราเอง ถ้าเราไม่เคยทำชั่วไว้ ก็ไม่มีทางที่ผลของกรรมชั่วนั้นจะกลับมาหาเราได้เลย
เหตุการณ์จะล่อหลอกให้คนที่ไม่เข้าใจกรรมและผลของกรรมอย่างแจ่มแจ้งให้หลงผิดไปโทษคนนั้นที คนนู้นที ที่ทำให้ตนผิดหวังช้ำรักต้องประสบทุกข์ มันเป็นเพียงฉากหน้าของละครที่กรรมได้ลิขิตไว้ หากเราพิจารณาเรื่องกรรมและผลของกรรมให้ถ่องแท้ ก็จะพบว่า เรานี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งในการเขียนบทละครนั้น เป็นผลกรรมของเรา เกิดจากสิ่งที่เราเคยทำมา ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน
ผู้ที่จะสามารถหลุดพ้นจากนรกแห่งทุกข์ได้ คือผู้ที่ยอมรับผิด ยอมรับว่าเป็นกรรมที่ตนเองนั้นทำมาจริงๆ แม้จะสืบสาวราวเรื่องในอดีตไม่ได้ แม้จะเป็นผลกรรมจากชาติปางก่อน แต่ด้วยปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรมจะทำให้ไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียวว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราทำมาหรือไม่ เพราะมีเพียงคำตอบเดียวว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราไม่มีทางได้รับสิ่งที่เราไม่ได้ทำมา
ดังนั้นการยอมรับผิดด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง จึงทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากกิเลสที่คอยเผาใจ หลุดพ้นจากการสร้างบาปและอกุศลกรรมจากความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความผิดของผู้อื่น หลุดพ้นจากบ่วงเวรบ่วงกรรมที่คอยผูกมัดไว้ หลุดพ้นจากความหลงผิดที่เคยเป็นมารกัดกร่อนจิตใจมานานแสนนาน
– – – – – – – – – – – – – – –
28.7.2558
ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
จากกระทู้หนึ่งในพันทิพ “เมื่อสามีเที่ยวผู้หญิง” (http://pantip.com/topic/33977989)
การเกิดเป็นคนได้นี่มันไม่ยากเท่าไหร่หรอก ก็เกิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่จะเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่เรียกว่าสัตว์ประเสริฐได้อย่างไร มันยากตรงนั้น
ศีล ๕ คือคุณสมบัติขั้นต่ำของความเป็นมนุษย์ ถ้าต่ำกว่านั้นก็เรียกได้ว่าทิ้งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ยอมเสื่อมเพื่อให้ได้เสพมากกว่ารักษาศีลธรรม
โดยเฉพาะศีลข้อ ๓ นี่มันวัดความเป็นมนุษย์กันอย่างชัดเจนมาก ว่าเราสามารถทำร้ายใจคนที่เราเคยบอกว่ารัก และเขารักเราได้ไหม เราจะยอมให้ความใคร่อยากกระหายที่จะเสพเมถุนเหล่านั้นมาทำลายคุณธรรมในตัว เราไหม
คุณที่ละทิ้งศีลเพื่อเสพกามทั้งหลายคือคนที่ทำลายคุณค่าในตัวเอง เป็นตราบาปที่จะติดตัวไปแม้ตายก็ยังตามไปหลอกหลอนกันต่อในชาติหน้าและชาติ ต่อๆไป ดังที่ภรรยาเจ้าทุกข์ในกระทู้นี้ได้รับ ก็ต้องเป็นหนึ่งในกรรมที่เธอเคยทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อนเช่นกัน
คงไม่ต้องพยากรณ์กันให้ปวดหัวว่าอนาคตของสามีคนนี้จะไปที่ไหน เพราะไม่รู้เหมือนกัน… รู้แค่ไปชั่วแน่นอน ทำกรรมชั่วมันก็ต้องไปชั่ว ให้ได้รับชั่วก็สมเหตุสมผลแล้ว
ความซวยคนของมีวิบากกรรมบังตาก็คือการยังเอาคนชั่วกลับเข้ามาในชีวิต การให้อภัยก็เรื่องหนึ่ง แต่การผิดศีลก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต้องลองตรวจใจตัวเองว่า เราอยากเสพอะไรขนาดนั้นถึงยอมรับคนกิเลสหนาคนนั้นกลับเข้ามาในชีวิตเพื่อ สร้างโอกาสให้เขาได้ทำร้ายจิตใจเราอีกครั้ง
อย่าไปเดาอนาคตว่าเขาจะแก้ไขตัวเองได้หรือไม่ได้ ถ้าแก้กิเลสไม่เป็น ล้างกิเลสไม่ได้ อย่าไปหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี การเอาคนกิเลสหนาเข้ามาในชีิวิตนั้นจะมีแต่ความซวย ดังนั้นหากอนาคตจะต้องเจอกับความผิดหวัง ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก