Tag: ความจำ

สายลมเมื่อวันวาน

October 9, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,117 views 1

สายลมเมื่อวันวาน

สายลมเมื่อวันวาน

(เรียบเรียงได้ตอนฟังเพลง : วันนี้เมื่อปีก่อน (Today, Last Year) – Moderndog )

เมื่อวันที่การเปลี่ยนแปลงมาถึง

คงไม่มีใครทุกข์ใจกับความเจริญ

และคงไม่มีใครดีใจกับความเสื่อมสลาย

สิ่งใดที่เกิดขึ้นมา สุดท้ายมันก็ต้องดับลงไป

ทิ้งไว้แต่คนที่ยึดมั่นถือมั่นในรสสุขเหล่านั้น

พยายามที่จะกอดเก็บอดีตที่สวยงามไว้

เหมือนกับการห้ามสายลมไม่ให้พัดไป

ทั้งที่จริงแล้ว สายลมไม่เคยหยุดนิ่ง

เฝ้าใฝ่ฝันถึงอนาคตว่าวันหนึ่งจะต้องดีเหมือนเดิม

เหมือนกับเฝ้าฝันว่าสายลมนั้นจะพัดหวนกลับมา

ทั้งที่จริงแล้ว สายลมเดิมนั้นไม่เคยพัดกลับมา

จมดิ่งอยู่ในอดีต ล่องลอยไปกับอนาคต

ไม่มีปัจจุบันสำหรับผู้ปล่อยใจให้หลงทาง

อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ทุกอย่างมันจบไปแล้ว

แม้มันจะเคยมีอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงความจำ

อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และไม่รู้ว่าจะถึงวันไหน

แม้มันน่าจะเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงการคาดเดา

ไม่มีความจริงในอดีตและอนาคต

มีแต่ความจริงในปัจจุบัน ทีนี่ เวลานี้เท่านั้น

สิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้คือของจริง เป็นจริงตามความเป็นจริง

อย่าเอาความจำมาเป็นความจริงในปัจจุบัน

เพราะความจำเป็นเพียงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในอดีต

อย่าเอาการคาดเดามาเป็นความจริงในปัจจุบัน

เพราะไม่ว่าจะวาดฝันไว้สักเท่าไร มันอาจจะไม่เกิดขึ้น

ผู้ที่พ้นจากความหลงยึดในอดีตและอนาคตเท่านั้น

จึงจะเป็นผู้ที่อยู่ในปัจจุบัน เป็นผู้มีความจริง

และมีเพียงความจริงในปัจจุบันเท่านั้น

ที่จะทำให้ก้าวผ่านความทุกข์ไปได้

ปล่อยให้สายลมพัดผ่านไป

อย่างที่มันควรจะเป็น

ปล่อยการยึด

วางการยื้อ

🙂

.

บทขยาย

เมื่อคนเราพบกับความทุกข์ ความผิดหวัง อย่างเช่นในเรื่องของความรัก ก็มักจะปล่อยให้จิตใจหลงไปกับอดีตและอนาคต

อดีตก็คือการหวนคิดถึงวันเก่าๆ เสียใจ เสียดาย ฉันเคยสุขเช่นนั้น เราเคยเป็นของกันและกันแบบนั้น เธอเป็นรักแรกของฉัน เป็นคนแรกของฉัน เราเคยเป็นเนื้อคู่กันตั้งแต่ชาติปางก่อน วันนั้นฉันน่าจะทำแบบนั้น ฉันไม่น่าตัดสินใจแบบนี้เลย ฯลฯ ซึ่งเป็นการจมอยู่ในอดีต แล้วก็หลงเอาอดีตมาเป็นปัจจุบัน เข้าใจว่าปัจจุบันต้องเป็นอย่างในอดีต คือมีความยึดในอดีต ทั้งๆที่ความจริงในปัจจุบันทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ปัจจุบันคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นและเป็นอยู่ เป็นความจริง เป็นเรื่องจริง อดีตมีแค่ความจำและความรู้ที่ได้เรียนรู้มา แต่ไม่ใช่ความจริง

อนาคตก็เช่นกัน เรามักเฝ้าฝันถึงอนาคตที่สวยงาม หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น หวังว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมา หวังว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะจบลงด้วยดี ฯลฯ แล้วเสพสุขกับความฝันเหล่านั้นอยู่ในภพที่ตัวเองสร้างขึ้น ปั้นขึ้น แต่งขึ้น เหมือนหลงในนิทาน เมาไปในเรื่องราวของนิยายเพ้อฝัน หลงไปในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ จะมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ มีแต่การคาดเดา ความน่าจะเป็น แต่ก็ไม่มีความจริงอยู่ในนั้น เพราะสิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น มันจึงเป็นเพียงภาพฝันที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีอยู่จริง

ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นความจริง ผู้ที่ยอมรับความจริงตามความเป็นจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะสามารถละหน่ายคลายจากความหลงติดหลงยึดในอดีตและอนาคตได้

– – – – – – – – – – – – – – –

9.10.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด

June 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,906 views 0

อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด

อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด

สมัยที่ยังไม่เคยศึกษาธรรมะก็มักจะมองว่าความโสดไม่ดีมีแต่เหงา มีคู่สิดีมีอะไรมากมาย แม้จะเจ็บจากความรักเท่าใดก็ยังไม่ทิ้งความหวังที่จะมีความรักอีกครั้ง

จนกระทั่งได้มาศึกษาธรรมะ ได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์และผู้รู้ที่นำมาขยายและอธิบายว่าการมีคู่ทำให้เกิดทุกข์อย่างไร เป็นโทษอย่างไร ความโสดมีคุณประโยชน์อย่างไร ทำให้ชีวิตเจริญอย่างไร

ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ความเจ็บช้ำมามากเท่าไหร่ เห็นรักของใครต่อใครพังมามากแค่ไหน ได้เรียนรู้ว่าโสดนั้นดีกว่ามีคู่อย่างไร แต่ก็ยังไม่สามารถทำใจให้โสดสนิทได้ ทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมโสด มันยังอยากมีคู่ เห็นคนอื่นควงกันมาแล้วก็ยังอิจฉา ดูละครเห็นพระเอกนางเอกจีบกันก็ยังสุขตาม บางทีก็ยังเฝ้าฝันถึงวันที่ได้มีคู่ ทำไมมันยังไม่ยอมโสดเสียทีทั้งที่มีความรู้ขนาดนี้แล้ว?

เรียนรู้ใช่ว่าจะรู้จริง

เราอาจจะเคยเจอกับสภาวะที่เรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หรือ เข้าใจแต่ทำไม่ได้ การเรียนรู้โดยทั่วไปนั้นเป็นการนำความรู้นั้นเข้ามาใส่ความจำเท่านั้น ซึ่งในความจำนั้นก็ยังมีอีกมากมายหลายล้านเรื่องที่จำไว้ เช่นจำว่าเคยมีความสุขตอนมีคู่ จำได้ว่าตอนเสพมันเป็นสุข ซึ่งแม้จะจำได้ว่ามีคู่เป็นทุกข์ แต่เมื่อประสบกับสิ่งที่ถูกใจเข้าจริงๆก็มักจะแกล้งลืมความจำบางอย่างไปเสียหมด

สิ่งที่ทำให้เราเลือกจำแต่เรื่องที่ไร้สาระและเลือกเสพในสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขแท้นั้นก็คือ “กิเลส” พลังของกิเลสจะทำหน้าที่บดบังความจริงตามความเป็นจริง สร้างความสุขลวงขึ้นมา ปั้นความลวงให้เป็นความจริง ถึงแม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นกงจักรก็ยังเข้าใจไปว่าเป็นดอกบัว นี่คือพลังของกิเลสที่ทำให้เห็นผิดเป็นถูก ทำให้ความจริงนั้นผิดเพี้ยนไป ดังนั้นเมื่อเราได้เรียนรู้อะไรมาก็ตาม หากเรายังมีกิเลสปนเปื้อนอยู่ ความรู้เหล่านั้นจะถูกบิดเบือนไปจนกระทั่งบันทึกสิ่งที่ผิดๆลงในความทรงจำ

ดังนั้นการเรียนมากก็ใช่ว่าพ้นทุกข์ได้ เพราะหากขยันเรียนแต่ยังมีกิเลสมากหรือความรู้ที่เรียนนั้นไม่ได้พาให้ลดกิเลส ความรู้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้เลย ยิ่งรู้มากยิ่งหลงผิดมาก เรียกว่ายิ่งเรียนยิ่งโง่ก็ว่าได้

โสดที่ยังมีกิเลส

เมื่อเราได้เรียนรู้ชีวิตและศึกษาธรรมะ เข้าใจเหตุแห่งความอยากในการมีคู่แล้วเห็นดีในความโสด ไม่ใช่การโสดเพราะอยากจะหนีหรือเพราะเจ็บปวดจากความรัก แต่เพราะเกิดปัญญาเห็นโทษภัยของการมีคู่และข้อดีของการโสด

แต่ถึงจะเห็นไปในทางที่ถูกเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถโสดโดยไม่มีสะดุด เพราะยังมีกิเลสคอยเป็นมารที่ขวางกั้นความสงบในชีวิต การเห็นว่าโสดนั้นดี คือความเห็นความเข้าใจที่ถูกปรับเข้ามาในทิศทางที่ถูกแล้ว เหมือนเรือที่หันหางเสือไปยังทิศทางพ้นทุกข์ แต่ก็ยังไม่ออกเรือ เป็นเพียงการระบุทิศทางเท่านั้น

ซึ่งประเด็นนี้มักจะเป็นที่สงสัยของหลายคนว่า ได้ศึกษาธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ เข้าใจและเห็นด้วย แต่ทำไมเวลาไปเจอของจริงมันแพ้กิเลสทุกที นั่นเพราะเพียงแค่ความเข้าใจที่ถูกตรงแต่ยังมีกิเลสนั้นยังไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้

ความเข้าใจที่ถูกเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเข้าใจผิดเห็นว่ามีคู่ดีกว่า หรือถ้าเจอคู่ดีก็ควรมี หรือเหตุผลอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้ไปมีคู่ ก็เรียกได้ว่ายังเป็นความเข้าใจที่ผิด เป็นเรือที่อยากจะเดินทางไปสู่การพ้นทุกข์ แต่ตั้งหางเสือให้ไปในทิศทางของทุกข์อยากมีความสุขแต่กลับแสวงหาทุกข์ เพราะมีกิเลสมาบดบังปัญญาจึงทำให้หลงผิด

เมื่อมีความเข้าใจที่ถูก ก็จะต้องทำให้เกิดความคิดที่ถูกต้องตามมา ในตอนแรกจะไม่สามารถมีความคิดไปตามหลักของพระพุทธเจ้าได้ กิเลสมันจะค้านแย้งตลอด แม้จะได้เรียนธรรมมามาก มีข้อธรรมเยอะ จำได้มาก แต่ก็มักจะต้องแพ้ให้กับกิเลสเสมอ เพราะพลังของอธรรมนั้นมีมากกว่าธรรม ตั้งใจพิจารณากิเลสแทบตาย ฟังธรรมปฏิบัติธรรมกันอยู่เป็นสัปดาห์ ออกไปใช้ชีวิตแล้วเจอคนที่ถูกใจพูดด้วยไม่กี่คำก็เพ้อฝันไปไกล

การจะคิดได้อย่างถูกตรงนั้นไม่ง่าย จึงต้องใช้พลังของการปฏิบัติอื่นๆร่วมด้วย คือการพูดสิ่งที่ถูกตรง คือพูดไปในทางไม่เสริมกิเลส ขัดกิเลส ทำกิจกรรมการงาน เลี้ยงชีพอย่างถูกตรง โดยเฉพาะความเพียรที่ถูกตรง

ความเพียรที่ถูกคืออะไร? ในกรณีของการจะไปสู่ความโสดอย่างเป็นสุขได้นั้นจะต้องเพียรชำระล้างกิเลส ไม่ใช่ขยันทำการงาน แต่เป็นขยันชำระกิเลสในใจตน ขยันพิจารณาประโยชน์ของความโสดและโทษของการมีคู่ เพื่อให้อาหารกับธรรมะและงดให้อาหารอธรรม เพื่อไม่ให้ความชั่วโตขึ้นและเสริมสร้างความดีให้แข็งแรง

จนกระทั่งมาถึงสติที่ถูกตรง เป็นสติที่สามารถจับและวิเคราะห์กิเลสได้ รู้ได้ชัดว่ากิเลสใดเกิดขึ้น เป็นกิเลสชนิดไหน โลภ โกรธ หลงในสิ่งใด เราอยากเสพอะไร เราหลงติดหลงยึดในอะไร แล้วจะใช้ธรรมะเข้าใดเข้ามาขัดเกลากิเลสนี้

เมื่อวิถีปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ทั้งหมดถูกปฏิบัติอย่างตั้งมั่น จึงเกิดเป็นสมาธิที่ถูกตรง เป็นลักษณะเฉพาะของผลการปฏิบัติในวิถีพุทธ นั่นคือเกิดสมาธิขึ้นเพราะความสงบจากกิเลส เป็นสมาธิที่ไม่ต้องนั่ง ไม่ต้องเดิน ไม่ต้องเข้า ไม่ต้องออก เป็นสภาพสามัญของ “สัมมาสมาธิ” ของผู้ที่ปฏิบัติ “สัมมาอริยมรรค” ๗ ข้ออย่างถูกตรงด้วยความตั้งมั่น ต่างจากวิธีปฏิบัติของลัทธิอื่นๆที่ต้องนั่งสมาธิหรือใช้อุบายให้จิตสงบเสียก่อนจึงเกิดจิตที่เป็นสมาธิได้ ซึ่งนั่นเป็นเพียงมิจฉาสมาธิเท่านั้น

โสดไม่มีกิเลส

เมื่อปฏิบัติอย่างถูกตรงด้วยความเพียรอย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเกิดปัญญารู้แจ้งในกิเลสนั้นๆ เป็นความรู้เดียวกับที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์สอน ไม่ว่าใครที่รู้แจ้งในกิเลสก็จะได้สัมผัสรสเดียวกัน รับรู้เช่นเดียวกัน อารมณ์เดียวกัน คือมีสภาพปล่อยวางจากกิเลส ปล่อยให้กิเลสเดินออกจากจิตวิญญาณของเรา กิเลสไม่ใช่เราและเราไม่ใช่กิเลส ไม่จำเป็นต้องมีกันและกันอีกต่อไป

เมื่อเข้าใจดังนั้น ก็จะไม่ต้องพยายามโสด ไม่ต้องระวังว่าใครจะมาพรากความโสดได้ ต่อให้ยกบ้านยกเมืองให้ ให้เป็นเศรษฐีระดับโลก มีกินมีใช้ตลอดชีวิต มีคนที่พร้อมจะมาเป็นคู่ มีนิสัยดีแสนดี มีพร้อมทั้งความงามและปัญญามาแลกกับการสละความโสดก็ไม่เอา ดีแค่ไหนก็ไม่เอา ไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจ ไม่มีความอยากใดๆเกิดขึ้นแม้น้อย เพราะมีคำตอบเดียวคือ “โสด” ปิดประตูนรกของการมีคู่ไปได้เลย

ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆในคำสอนของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์อีก เพราะรู้แน่ชัดในตนเองแล้วว่าสิ่งนี้แหละเยี่ยมยอดที่สุดในโลก เป็นสภาวะที่ไม่สามารถจะหาสิ่งใดมาเปรียบ ไม่มีอะไรที่จะเอามาแลกได้ ไม่มีอะไรหักล้างได้ ยั่งยืน ถาวร ไม่เวียนกลับ คงอยู่ตลอดกาล ไม่แปรปรวนอีกต่อไป เกิดเป็นความรู้ในตน เป็นปัญญาของตน เป็นสมบัติของตนเอง ไม่ใช่ของที่หยิบยืมมาอ้างจากผู้อื่นอีกต่อไป กลายเป็นอริยทรัพย์เรื่องหนึ่งที่จะให้ผลต่อเนื่องไปตราบปรินิพพาน

– – – – – – – – – – – – – – –

26.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)