Tag: กำจัดกิเลส

กินมื้อเดียวแล้วหน้าเด็ก

July 4, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,569 views 0

ช่วงนี้มีกระแส “กินมื้อเดียวหน้าเด็ก” ที่แชร์กันมากมายสังคมออนไลน์นี้

ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่มีนายแพทย์ชาวญี่ปุ่นทดลองแล้วเอามาบอกผลกัน ผมซื้อหนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” ของเขามาแล้วแต่ก็ยังไม่มีโอกาสหยิบมาอ่านสักที แต่จากที่่ดูคร่าวๆก็เป็นการทดลองที่มีิทฤษฏีอ้างอิงและการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์นะ

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า…

การกินมื้อเดียวในมุมของชาวพุทธเรานี่ไม่ได้ทำเพื่อมุ่งผลประโยชน์ทางโลก อะไรเลยนะ ไม่ได้กินเพราะต้องการจะได้อะไรเลย แต่ก็รู้ว่ากินแล้วมีประโยชน์

จริงๆแล้วการกินมื้อเดียวนี่แหละ คือความพอดีที่สุดในโลก เหมาะสมที่สุด ทำให้ร่างกายแข็งแรงที่สุด แต่การเข้าถึงความพอดีนั้นก็ไม่ใช่ง่าย เพราะการกินมื้อเดียวถือเป็นศีลในระดับ “ยาก

คำว่ากินมื้อเดียวนี่ไม่ใช่กินแค่วันพระนะ แต่กินไปตลอดชีวิตนั่นแหละ โดยเป้าประสงค์คือกำจัดกิเลสในการอยากกินอาหารหลายมื้อให้หมดสิ้นไป ความอยากนี่มันสร้างทุกข์อย่างมากนะ มันจะหาเหตุผลให้กินหลายมื้อท่าเดียว แถมไปหลอกจิตให้สั่งกายให้หลั่งน้ำย่อย อาการปวดท้อง ทำให้อ่อนแรง โอย…วุ่นวาย

แล้วก็ไม่ใช่กินอย่างยึดมั่นถือมั่นนะ คือกินอย่างมีปัญญารู้ว่ากินมื้อเดียวดีอย่างไร แต่ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องกินได้มื้อเดียวแบบพอดีตลอดชีวิต เอาเป็นว่าค่ารวมๆจะได้มากกว่า 90% ซึ่งอาจจะพลาดตรงการประเมินอาหารที่ต่างไปจากปกติ ความเจ็บป่วย ภาระหน้าที่ที่สำคัญ ฯลฯ

คนกินมื้อเดียวได้ ก็จะเข้าใกล้ความไม่มีเข้าไปทุกที อย่างน้อยก็ไม่มีความอยากจะไปกินหลายมื้อ กินมื้อเดียวได้โดยไม่ต้องมีศีลหรือมีกฎใดๆมาคุม เพราะมีปัญญารู้ในตนแล้วว่ามื้อเดียวนี่แหละดีที่สุดในโลก กินหลายมื้อสิเฟ้อ ทำให้ลำบากกาย และพาให้เจ็บป่วยอีก

สนใจแลกเปลี่ยนเรื่องกินมื้อเดียวก็ทักทายกันมาได้ครับ

ไม่มีศีล ไม่มีปัญญา

June 29, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,257 views 0

การจะเห็นตัวตนของกิเลสได้นั้น ว่ามันหลงเสพหลงติดหลงยึดอะไร ถ้าไม่มีศีลก็ยากนักที่จะเห็นสิ่งเหล่านั้นได้

เพราะคนไม่มีศีลก็ไม่ต้องรู้สึกทุกข์อะไร ไม่ต้องมีกฏ ไม่ต้องมีข้อบังคับ แต่คนมีศีลเขาจะใช้ทุกข์ที่เกิดเมื่อถือศีลนั่นแหละ มาเป็นตัวแกะรอยหาเหตุแห่งทุกข์

นั่นหมายถึงคนที่มีศีลจะมีผัสสะมากกว่าคนไม่มีศีล เพราะถ้าไม่มีศีลมันก็ไม่ต้องมีอะไรมาทำให้รู้สึกผิดชอบชั่วดีให้ต้องเกิดเวทนา

เมื่อผัสสะเกิดแต่ละครั้ง เราสามารถใช้สติปัฏฐานเข้าไปตรวจหาตัวตนของกิเลสนั้นได้ เมื่อมีสิ่งกระทบกายภายนอก จึงรับรู้ถึงกายข้างใน คือรู้เข้าไปถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตด้วย

เมื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ก็ให้รู้ต่อว่าเป็นเวทนาแบบใด เช่นเป็นทุกข์ ก็มาต่อว่าที่ทุกข์นั้นเพราะเรามีกิเลสใดปนเปื้อนอยู่ในจิตของเรา ความอยากเสพที่ทำให้จิตนั้นขุ่นมัวคืออะไร โลภ โกรธ หลง แล้วมันโลภยังไง มันโกรธเพราะอะไร มันหลงสุขในอะไร เมื่อหาเจอแล้วก็ ใช้ธรรมที่ตรงข้ามกันเข้ามาพิจารณาเพื่อหักล้างพลังของกิเลส

กระบวนการของสติปัฏฐานจะมีความต่อเนื่องตั้งแต่ กาย เวทนา จิต ธรรม ส่งต่อกันไปโดยลำดับ แล้วก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆเมื่อผัสสะเกิดแต่ละครั้ง ขุดคุ้ยหากิเลสแล้วก็ล้างไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเดี๋ยวก็หมดเอง

ซึ่งก็จะหมดตามขอบเขตของศีลนั้นๆ ตั้งศีลไว้กว้างเท่าไหร่ก็กำจัดกิเลสเท่านั้น พอเสร็จแล้วก็ขยับศีลไปทำเรื่องอื่นต่อ ศึกษาศีลข้ออื่นต่อ

จึงจะเห็นได้ว่า กระบวนการกำจัดกิเลสนั้นต้องเริ่มจากศีล ส่วนจะเป็นศีลอะไรนั้นก็ให้เลือกศึกษาให้สมควรแก่กำลัง ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมก็จะเจริญได้ไว