Tag: ชีวิตประจำวัน
ชาตินี้ ชาติหน้า
ชาตินี้ ชาติหน้า
คงจะมีบางครั้ง ที่เรามักจะสงสัย ชาติหน้ามันมีจริงหรือ? แล้วชาติหน้าจะเป็นอย่างไร? หรือมันไม่มีจริง เราเกิดกันมาแค่ครั้งเดียวจริงๆหรือ? เราเกิดมาแล้วต้องใช้ชีวิตให้สุดๆก่อนตายจริงหรือ? แม้ไม่เคยสงสัย แต่หลายคนก็มักจะมีความเชื่อไปในทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเชื่อว่าเกิดมาครั้งเดียว หรือชาติหน้ามีจริง ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอย่างไร มีที่มาอย่างไร แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ในบทความนี้เราจะมาแบ่งปันความรู้กัน
อดีต…จนถึงปัจจุบัน
ก่อนจะมีชาตินี้ ก็ต้องมีอดีตชาติ หรือชาติก่อน …. คนธรรมดาสามัญอย่างเราจะให้นึกไปถึงชาติก่อนก็คงจะนึกไม่ออก ถึงจะไปถามผู้รู้ ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องที่เขาบอกเรามา มันจริงหรือเขาคิดไปเอง การจะรู้ว่าชาติก่อนเราเป็นอย่างไรนั้น ไม่ยากเลย ก็แค่ดูนิสัยในชาตินี้ ดูสังคมสิ่งแวดล้อม ดูผู้คนรอบข้างของเราในชาตินี้
ถ้านิสัยในชาตินี้เราเป็นอย่างไร ชาติก่อนเราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนวันนี้เรายังชอบกินไอติม พรุ่งนี้ก็จะยังชอบอยู่ดี วันต่อๆไปก็ยังจะชอบอยู่ดี นิสัยหรือสันดานที่เรามีนี่แหละ คือสิ่งที่แสดงถึงชาติก่อนของเรา สังคมสิ่งแวดล้อมผู้คนรอบข้างนั้นสะท้อนถึงบุญบารมีที่เราเคยสร้างมา เช่นเราอยู่ในสังคมที่พาให้หลงมัวเมาในกิจกรรมอะไรสักอย่าง นั่นก็เพราะเราเคยพากันมัวเมาก่อนแล้ว เหมือนดังที่เราสนุกกับการเที่ยวเล่นวันนี้ อีกไม่นานเราก็จะพยายามหาทางชวนเพื่อนไปเที่ยวเล่นกันอีก เพราะเราเสพติดการเที่ยวเล่น
กรรมที่เราทำจะนำพามาซึ่ง นิสัย เหตุการณ์ ความคิด ปัญญา รูปร่าง หน้าตา ฐานะ ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ถ้าใครรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมก็ขอให้ลองพิจารณาดูว่าอีกทีว่า เป็นเพราะเราไปทำอะไรมารึเปล่า เราถึงได้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกข์ ให้ลำบาก ให้เดือดร้อน ทรมาน แตกต่างจากคนอื่นเขาเหลือเกิน
คำว่าอดีตนั้นหมายรวมถึงอดีตที่เราจำไม่ได้ เช่น ในชาติก่อนภพก่อน หรืออดีตเมื่อปีก่อน เดือนก่อน วันก่อน อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ เมื่อกระทำสิ่งใดแล้วก็กลายเป็นอดีต กลายเป็นกรรม เราจึงต้องมาแก้ไขกันในปัจจุบัน
มองภาพรวม อดีต….ปัจจุบัน….อนาคต
คงจะมีบางครั้งที่เราอยากรู้ว่าตายแล้วเราจะไปไหน ไปสู่อนาคตแบบไหน ก็ลองดูกันว่าที่ผ่านมาในอดีต ตั้งแต่ที่เราเกิดมา เราได้ทำอะไรไว้บ้าง เคยลองสรุปบัญชีกรรม จัดระเบียบกิเลสตัวเองบ้างไหมว่า ที่ผ่านมากิเลสของเราเพิ่มขึ้น หรือกิเลสของเราลดลง เราทำสิ่งที่เป็นกุศลมาก หรือทำอกุศลมากกว่ากันแน่
การทำทานด้วยเงิน ไม่ใช่เหตุปัจจัยที่ส่งผลขนาดที่ว่าทำให้เราได้เกิดในชาติที่ดีภพที่ดี เพราะกรรมยุติธรรมเสมอ เราทำทานไป 1,000 บาท ชาติหน้าเราก็ควรจะได้แค่ประมาณ 1,000 บาท หรืออะไรที่ใกล้เคียงกันไม่ใช่หวังไปว่าจะถูกหวย จะได้ลาภลอย หวังจะให้ไปเกิดในตระกูลร่ำรวยหรือหวังเกินกว่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำ
หรือแม้แต่การปฏิบัติ ดังเช่น การนั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์แบบไม่เข้าใจความหมาย ก็ไม่ได้ทำให้บรรลุหรือหลุดพ้นอะไร ถ้าเรายังคงทำแค่ในลักษณะของสมถะ คือการกำหนดจิตไปไว้ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ให้ใจวอกแวก สงบนิ่ง ติดจิต ตบความคิดทิ้ง อย่างดีที่สุดเราก็จะได้ความสงบในตอนนั้น หรืออย่างมากก็เป็นแบบฤาษี ก็เหมาะสมกับกรรมที่ทำมาแล้วนี่ แค่นั่งสมาธิจะไปหวังอะไรกับการบรรลุมรรคผล
แต่สิ่งที่ซ้อนเข้าไปกับการทำกิจกรรมใดๆ ยกตัวอย่างเช่น การทำทาน ก็คือการทำทานนั้นมีผลเพื่อสละกิเลสหรือไม่? ถ้าทำเพื่อความไม่ได้ไม่มี ไม่หวังอะไร ให้เพื่อลดความตระหนี่ ความขี้งกขี้เหนียว ตรงนี้ก็ถือเป็นบุญ และการนั่งสมาธิถ้าใช้การวิปัสสนาเข้ามาร่วมให้เห็นรากของปัญหา เห็นต้นเหตุของกิเลสที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ แล้วหมั่นพิจารณาจนรู้ความจริงตามความเป็นจริง ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นบุญ
บุญนี้เองคือตัวที่จะมาตัดกับกิเลส เมื่อเราลดกิเลสได้ในวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีกิเลสตัวนั้นๆ จะเดือนหน้า ปีหน้า ชาติหน้าก็จะไม่มีกิเลสตัวนั้นๆมาทำให้ชีวิตต้องลำบากในอนาคต
เมื่อเราได้เข้าใจความจริงในแต่ละการกระทำที่เราได้ทำไปแล้ว ก็จะสามารถคำนวณบัญชีกรรมของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ว่าเราสร้างกุศล อกุศลไปแค่ไหน เราลดกิเลสได้แค่ไหน หรือไม่เคยลดเลยมีแต่สะสมเพิ่ม ยิ่งแก่ยิ่งเฮี้ยน ยิ่งเสพ ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งอัตตาเยอะ
ปัจจุบัน…ไปสู่อนาคต
การเลือกที่จะคิด พูด ทำ ภายใต้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของเรา เช่น มีคนมีตำหนิเรา เรามีสองทางเลือกที่ชัดเจน คือทำกุศล หรืออกุศล ส่วนลีลา ท่าทางที่จะออกไปก็แล้วแต่ใครจะปรุงแต่ง
ในทางกุศล เช่น เราไม่โกรธตอบยินดีรับฟังด้วยใจที่เป็นสุข ถามเขาว่าเราควรจะเริ่มแก้ไขตรงไหนดี ฯลฯ
ในทางอกุศล เช่น โกรธ อาฆาต พยาบาท ผูกโกรธ ไม่เชื่อ ไม่ฟัง เพ่งโทษ ด่าตอบ ทำร้าย ฯลฯ
ทางไปนรกหรือสวรรค์ มันก็อยู่กับปัจจุบันนี่แหละ ถ้าเราไปทางกุศลมันก็ไปสวรรค์ คิดอกุศลมันก็ไปนรก สุขทุกข์มันก็มีให้เห็นอยู่ตรงนี้ ทำกันตรงปัจจุบันนี่แหละ เพราะอดีตมันแก้ไม่ได้ และอนาคตก็คือผลของปัจจุบันอยู่ดี
ในแต่ละวันจะมีเหตุการณ์ให้เราเลือกทำสิ่งที่เป็นกุศลหรืออกุศลตลอด ตั้งแต่ตอนตื่นนอน เราขี้เกียจไหม , เดินทาง เราแย่งเราเบียดคนอื่นไหม , ทำงาน เราเอาเปรียบบริษัทไหม เราแอบอู้งานไหม เราโกรธใคร นินทาใครไหม ,เวลากินอาหาร เราเลือกกินของที่ชอบแต่ไม่มีประโยชน์ หรือกินของที่มีคุณค่าต่อร่างกาย, เรากลับมาบ้านเราพูดดีกับคนในครอบครัวไหม ฯลฯ
ช่วงเวลาเหล่านี้แหละคือช่วงเวลาที่จะตัดสินอนาคต คือช่วงเวลาที่จะปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกันไปในชีวิตประจำวันเลย โดยไม่ต้องรอไปวัด ไปทำบุญ ไปนั่งสมาธิ ไปสวดมนต์ เพราะกุศล อกุศล บุญ บาป เกิดได้ทุกวินาทีในชีวิต ผู้ไม่ประมาทพึงรู้ได้ด้วยตนเองว่า ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ เราสามารถสร้างนรกสวรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเราเองได้ทุกขณะ แม้ครั้งนี้จะพลาดไป ก็ยังมีครั้งหน้า โอกาสหน้า หรือชาติหน้า ถ้าเราไม่ประมาทเราก็พยายามทำกุศลในทุกเหตุการณ์ให้ได้
….คำว่าชาติหน้านั้นหมายรวมไว้ถึงการเกิดของกิเลสครั้งหน้า การเกิดเหตุการณ์ครั้งหน้า หรือชีวิตหน้าด้วย เช่น ถ้าเรายังมีกิเลสที่หลงในรสของไอติม เมื่อเจอไอติมครั้งต่อไปก็ยังต้องมีอาการอยากกินอีก แม้จะรู้สึกเบื่อไปเองก็อย่าเผลอคิดไปว่ากิเลสตาย แต่จริงๆแล้วกิเลสแค่เปลี่ยนไปเสพของอร่อยชนิดอื่นแทนแค่นั้นเอง
ชีวิตหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ให้พฤติกรรมของตัวเองในชาตินี้เป็นตัวพยากรณ์ ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอกว่าจะไปที่ไหน เป็นอย่างไร เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเราทำอะไรมา เราเบียดเบียนผู้อื่นแค่ไหน หรือสร้างประโยชน์ให้สังคมเท่าไหร่ เราก็รู้ชัดเจนอยู่ในตัวเอง
จริงๆแล้วชาติหน้าก็ไม่ต่างกันกับชาตินี้เท่าไหร่หรอก อะไรที่เรายึดติดมา เราก็ยังยึดติดเหมือนเดิม เหมือนละครเรื่องเก่าที่เปลี่ยนคนแสดงใหม่ เป็นอย่างนี้มาแล้วทุกชาติ ซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนไม่มีจบสิ้น หลงโง่มาเกิดแล้วแบกความโง่ไปจนตาย ก็ต้องเรียนรู้กันต่อไปจนกว่าจะเกิดปัญญา จนกว่ากิเลสจะตาย
– – – – – – – – – – – – – – –
17.9.2557
กินผัก ลดเนื้อสัตว์
การกินผัก ลดเนื้อสัตว์นั้น หากมองดูในสังคมปัจจุบัน ก็คงจะกลายเป็นคนแปลก ดูเคร่งในศีลธรรมหรืออะไรสักอย่าง แต่ในความเป็นจริงก่อนจะถึงปัจจุบันที่เราคิดอยู่นี้ คนรุ่นเก่า คนเฒ่าคนแก่เขากินผักกันเป็นหลักกว่าจะได้กินเนื้อสัตว์กันก็งานเทศกาล งานสำคัญต่างๆนั่นแหละ
ในปัจจุบันเรากินเนื้อสัตว์กันเป็นปกติ ต้องมีทุกมื้อ ร้านทุกร้านต้องมีเนื้อสัตว์เป็นเรื่องปกติ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของการป่วยของเราก็คือเนื้อสัตว์นี่แหละ อย่างที่รู้กันว่ามะเร็งนั้นเกิดจากการกินเป็นหลัก ในเมื่ออดีตไม่ได้มีมะเร็งกันมากมายจนเป็นโรคยอดฮิตขนาดนี้ แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้เราป่วย โดยที่ไม่รู้ตัว…
มีผลงานวิจัยหลายชิ้น แพทย์หลายคนออกมาให้ข้อมูลว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุของการป่วย ส่วนใครจะเลือกเชื่อในเหลี่ยมไหนมุมไหนก็แล้วแต่ หากแต่การเชื่อนั้นก่อให้เกิดสุขภาพดี มีชีวิตปกติก็สมควรจะลองในแนวทางนั้นๆจนถึงผล
การกินผักลดเนื้อสัตว์ จะทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อเรากินผักเป็นหลัก ก็ไม่ต้องลำบากไปหาเนื้อสัตว์ เพราะผักสามารถปลูกเองได้ และแม้ไม่ได้ปลูกเองก็ยังมีขายอยู่ทั่วไปโดยราคาก็ถูกเมื่อเทียบกับความอิ่มที่ได้รับมา เช่นผัดผักหนึ่งจาน ทุนก็คงไม่เท่าไหร่หรอก ยิ่งถ้าปลูกเองด้วยแล้ว ลืมทุนไปได้เลย เพราะเครื่องปรุงรสพอหารต่อจำนวนจานที่ทำแล้วจะถึงหนึ่งบาทรึเปล่าัยังไม่รู้เลย ดังนั้นการกินผักเป็นการลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซึ่งนำมาสู่ค่าใช้จ่ายและการเสียเวลาในการไปหาหมอ
การกินผักทำให้ขับถ่ายสะดวก การขับถ่ายปกติถือว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสุขภาพโดยรวมยังปกติอยู่ เพราะร่างกายจะขับสารพิษ หรือส่วนเกินมาพร้อมระบบขับถ่าย คนที่กินเนื้อเยอะๆก็จะมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายไม่มากก็น้อย การกินผักให้มาก หรือทั้งหมดหมดจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ง่ายขึ้น เอาง่ายๆว่ากินผักเยอะร่างกายก็เบา แม้จะกินเยอะขนาดอิ่มแน่น แต่ก็ไม่เหมือนความแน่นที่กินเนื้อเข้าไป
ทั้งนี้การหันมากินผัก ลดเนื้อสัตว์ยังช่วยให้ธรรมชาติกลับไปสู่สมดุลไม่มากก็น้อย หากเราลดเนื้อสัตว์ได้ ฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ก็ไม่ต้องมี สัตว์ที่เกิดและตายอย่างผิดธรรมชาติก็ไม่ต้องมี การฆ่าก็ไม่ต้องมี การค้าขายสัตว์ก็ไม่ต้องมี ลดโลกร้อนไปได้เยอะเลย ทุกวันนี้มีหลายชีวิตที่เกิดมาเพื่อตายเป็นอาหารให้กับความอยากกินของเรา แค่ความอยากกินของเราดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ มันทำให้มีสัตว์ตายไปกี่ตัวแล้ว เรากำลังมีส่วนในการทำลายชีวิตอื่นเพื่อสนองความอยากตัวเอง
เพราะว่าถึงไม่กินเนื้อเราก็ไม่ตาย ไม่ได้มีผลอะไรเติบโตปกติ มีหลายประเทศที่กินผักเป็นหลัก รวมถึงประเทศไทยในอดีตด้วย หากอ่านแล้วสงสัยอาจจะต้องลองค้นถึงประเพณีการกินเนื้อที่เข้ามาในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา ค่านิยม สังคม เขาบอกอะไรเราให้เราเชื่อในอะไรกันแน่ ในเมื่อจริงๆมื้อหนึ่งก็กินกล้วยจนอิ่มได้ สารอาหารที่มีในผักก็มากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมันก็สามารถหาได้ในพืชมากมาย เอาง่ายๆว่าครอบคลุมหมดแล้ว
ทีนี้ความอยาก มันก็เกิด อ่านถึงตรงนี้ก็คงจะรู้สึกกันแล้วว่าเราอยู่ตรงไหน อยากกินอยู่ หรือไม่อยากกินนานแล้ว วัดได้ที่ความรู้สึกตัวเอง ถ้ายังอยากกินอยู่แต่เห็นประโยชน์ในการไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ให้ลด ละ เลิกไปตามลำดับ
ลด ก็ให้ลองลดจำนวนที่กินดู อาจจะเป็นมื้อ หรือเป็นวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ เดือน หรือช่วงหนึ่งของปีเช่นเทศกาลกินเจก็ได้ แล้วค่อยเพิ่มจำนวนวันที่ลดเอา
ละ ถ้าพอสู้กับความอยากไหวก็ละๆ มันเสียบ้าง แม้จะวางตรงหน้าก็ข่มๆไว้ก่อน ขอผ่านไปก่อน ถ้าอยากจนไม่ไหวก็ลองกินดู ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เลิกได้เอง
เลิก ก็เลิกกินเนื้อสัตว์กันไปเลย
บะหมี่น้ำ!
หลายคนอาจจะบอกว่าอยู่ในเมือง หากินยาก จะเรื่องมากทำไม กินๆไปเถอะ ตายเหมือนกัน ฯลฯ อันนั้นก็แล้วแต่ความสะดวก แต่ถ้าสนใจอยากลองก็ให้ลองพิจารณาดูเอาว่าเมนูประจำวันของเรานั้นสามารถปรับเปลี่ยนอะไรสู่การกินผัก ลดเนื้อสัตว์ได้บ้าง เช่นในกรณีของผม เดินเข้าไปร้านบะหมี่ปูร้านหนึ่ง สั่งอาหารเป็น บะหมี่พิเศษ ใส่แต่ผักไม่ใส่หมู/เนื้อสัตว์ เจ้าของร้านเขาก็ทำให้ได้ ส่วนจะคิดเงินเท่าไหร่ให้เป็นเรื่องของเขา บางครั้งที่ผมรู้สึกเราจะติดกับความรู้สึกเดิมๆ การเกรงใจ ความกลัว ทำให้เราลดไม่ได้สักที แต่ถ้าเริ่มครั้งแรกก็จะมีความมั่นใจ รวมถึงสามารถมองเห็นทางรอดของความตั้งใจที่จะกินผัก ลดเนื้่อสัตว์นี้ไ้ด้
เพียงแค่ประโยชน์ด้านสุขภาพ และความเมตตาที่เรามีให้แก่สัตว์ ก็เพียงพอแล้วที่จะพิจารณา กินผัก ลดเนื้อสัตว์ ซึ่งแท้จริงแล้วยังมีกุศลอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าประโยชน์ที่ผมยกมาด้วยซ้ำ