ความสัมพันธ์ ครอบครัว มิตรสหาย

คบสหายมีปัญญา ความเป็นสหายไม่มีในคนพาล

February 7, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,357 views 0

ถ้าบุคคลพึงได้สหายมีปัญญา เที่ยวไปด้วยกัน
เป็นนักปราชญ์คอยช่วยเหลือกัน
เขาครอบงำอันตรายทั้งปวงเสียได้
พึงพอใจ มีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น
แต่ถ้าไม่ได้สหายมีปัญญาคอยช่วยเหลือกัน
พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่พึงทำบาป
เพราะความเป็นสหายไม่มีในคนพาล

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ “โกสัมพิขันธกะ”่ ข้อที่ ๒๔๗)

อ่านแล้วรู้สึกว่าเห็นด้วยมาก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้ไปคบคนมั่ว ๆ ท่านแนะนำให้คบคนที่สูงกว่าหรือเสมอกัน ดังที่ท่านว่า คอยช่วยเหลือกัน ช่วยให้พ้นภัยอันตราย มีความพึงพอใจในกัน คือเคารพและยินดีในการมีอยู่ของกันและกัน ท่านให้คบหากับคนเหล่านั้น

แต่ถ้าหาไม่ได้ อย่าไปคบเชียว อย่าเชียวล่ะ คนที่ต่ำกว่า มีศีลธรรมต่ำกว่า จะพาปวดหัว เพราะท่านกล่าวว่า ความเป็นมิตรสหายไม่มีอยู่ในคนพาล ซึ่งก็จริงเช่นนั้นจริง ๆ คนที่เขาไม่พัฒนาตน ไม่พัฒนาศีลธรรม เชื่อใจไม่ได้หรอก ดีไม่ดีหลอกเราด้วยว่ามีศีลมีธรรม สุดท้ายก็ทำร้ายเรา นินทาเรา แทงหลังเรา พวกนี้เกิดจากเราไปคบคนพาล เสียทั้งเวลา และสารพัดเสีย ไม่มีมิตรแท้ในหมู่คนพาลนี่เรื่องจริง มีแต่ชิงดีชิงเด่นเอาหน้าเอาผลงาน

ยุคนี้คนพาลเขาฉลาด เขาก็แสร้งว่าเป็นคนดี มีศีลธรรม ก็เหมือนพระปลอม เนื้อปลอม ผู้ชายปลอม ผู้หญิงปลอม อะไรแบบนี้ ได้แค่เหมือน แต่ไม่ใช่ แม้กระนั้นก็ยังหลอกคนได้อยู่ดี แต่ถ้าเราใช้สูตรของพระพุทธเจ้า เราจะไม่พลาด เราไม่จำเป็นต้องไปอนุโลมคบกับคนต่ำกว่า แม้จะมีบทหนึ่งเว้นไว้สำหรับคนที่เขามาขอความช่วยเหลือก็สามารถเอาภาระสอนเขาได้ แต่การจะไปคบคนต่ำกว่าที่เขาไม่ได้ยินดีให้เราแนะนำหรือช่วยเหลือนี่มันผิดสัจจะ มันไม่พาเจริญ ดีไม่ดีเขายกตนข่มเราเข้าไปอีก ซวยไปกันใหญ่

ผมคบคนไม่เยอะ เพราะผมเน้นคุณภาพ ใครที่ดู ๆ แล้วท่าไม่ค่อยดี ผมก็ห่าง ๆ ไว้ มันเมื่อยหัว เพราะสร้างแต่เรื่องอกุศลและไร้สาระ เป็นคนรู้จักห่าง ๆ กันไปดีกว่า ไม่ต้องสนิทชิดใกล้กันหรอก ศีลมันไม่เสมอ ทำยังไงมันก็คุยกันไม่รู้เรื่อง

คนจะเป็นสหายกันนี่มันไม่ต้องพยายามหรอก คุยกันถูกคอ ศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกันเดี๋ยวก็ไปด้วยกันได้เอง ถึงจะพยายามแค่ไหน ถ้ามันไม่เสมอเดี๋ยวก็หลุดไปอยู่ดี ด้วยเหตุที่ฟังแล้วไม่เข้าใจบ้าง อิจฉาบ้าง ฯลฯ เดี๋ยวก็เพ่งโทษ ถือสา หานรก ป่วนไปหมด

ครูบาอาจารย์ก็เคยบอกสอนไว้ แม้ในองค์กรเดียวกัน ก็ต้องเลือกกลุ่มให้ถูก เพราะกลุ่มที่ไม่พาเจริญก็มี กลุ่มที่พาเจริญก็มี ต้องเลือกให้ถูกระดับศีลเรา ถ้าเราถือศีลเคร่ง เราไปอยู่กับกลุ่มเหยาะแหยะบ้ากามหลงงานไม่ปฏิบัติธรรม อันนี้ตายอย่างเดียว มีแต่เสื่อม ไม่มีเจริญเลย เราก็ต้องเลือกกลุ่มที่เสมอกันเป็นอย่างน้อย ถ้ามีดีกว่า ก็ไปอยู่กลุ่มที่ดีกว่า

พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่า “สหายมีปัญญา” ด้วยผมเองก็เป็นสายปัญญาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหาคนที่มีปัญญามากกว่าไม่ยาก ยิ่งสายปัญญายิ่งมีน้อย ๆ อยู่แล้วด้วย คุยไปเถอะ นานไปเดี๋ยวก็รู้เอง คนไม่มีปัญญา เขาจะตามไม่ทัน เข้าใจผิด หลงประเด็น เพ่งโทษ ถือสา ฯลฯ แต่คนมีปัญญาเขาจะตามทัน แถมเขาจะรู้ด้วยว่าเราวางหมากอะไรไว้ แล้วเขาจะแก้ให้เราดูแล้วสอนท่าใหม่ที่เหนือกว่าที่เรามีให้เราด้วยความเมตตา

คนพาลบ้าอำนาจ

February 6, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,298 views 0


คนพาลบ้าอำนาจ

เห็นหนังสือนิทานชาดกในร้านมือสองแล้วซื้อมาอ่านดู เจอประโยคที่น่าสนใจ

อันนิสัยสันดานของคนต่ำช้า เมื่อได้มีอำนาจ แม้เพียงนิดน้อยเท่าใดก็ดี ย่อมมีใจฮึกเหิมทะนงตัว ดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นด้วยกิริยา ต่าง ๆ นา ๆ คนเช่นนี้ โบราณท่านห้ามมิให้เกี่ยวข้องเกี่ยวดองด้วยแล

เนื้อหาของชาดกตอนนี้คือ คนใช้ที่รับใช้เจ้านายช่วยเอาสมบัติไปฝังดินไว้ พอเจ้านายตาย ลูกเจ้านายโต เขาก็จะไปขุด แต่คนใช้ไม่ยอมขุด พอเดินถึงจุดหนึ่งก็ด่าทอลูกเจ้านาย เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง สุดท้ายก็ขุดตรงที่คนใช้ยืนด่านั่นแหละ มีสมบัติ

ชาดกตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความเมาในโลกธรรมแม้เล็กน้อยก็เอามาอวดเบ่งได้

คนพาลไม่มีอำนาจต้านโลกธรรม จะไหลไปกับโลกธรรม เช่นบางคนมีคนชมนิดหน่อยก็ตัวพอง ได้สวมหัวโขนก็ผยอง สำคัญว่าตนแน่ คือจะมีลักษณะพองตัวไปตามโลกธรรม หรือมากกว่านั้น ไม่เป็นอิสระ เหมือนลูกโป่งใส่น้ำ ก็พองไปตามน้ำ ไม่มีสติกั้น สุดท้ายก็จะระเบิด

สมมุติได้คนชมมา 1 ครั้ง เขาจะปรุงเพิ่มไปอีก 1 1 1 1 1 . . . ไปเรื่อย ๆ ตามที่ตนอยากเสพ คือชมจริงน่ะ 1 ครั้ง แต่ชมตัวเองอีกหลายครั้งเลย กิเลสมันก็โตเพราะจิตมันปรุงต่อนี่แหละ ก็เป็นอาการเมาโลกธรรม

ผมก็จะใช้ตรงนี้สังเกตคนเหมือนกันว่าพองตัวเกินฐานะไหม เช่นไม่ได้มีดีจริงอย่างนั้นหรอก แต่หลงโลกธรรม เขาก็มักจะสำคัญตนผิด พอเราเห็นท่าไม่ดี เราก็ห่างมา ไม่ต้องไปใกล้ ไม่ต้องไปคบหา เพราะคบคนพาลที่เมาโลกธรรม ก็มีแต่จะหาเรื่องมาใส่เรา

ความเสื่อมสลาย สัญญาณแห่งการจากลา ที่เราไม่อยากจะรับรู้

July 12, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,721 views 0

ความเสื่อมสลาย

ความเสื่อมสลาย สัญญาณแห่งการจากลา ที่เราไม่อยากจะรับรู้

เราต้องจากพรากสิ่งที่เรารักและชอบใจเป็นธรรมดา นี้คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ฝากไว้สอนใจเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ แต่การทำความเข้าใจในสิ่งนี้ได้อย่างถ่องแท้ ช่างเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก

เป็นความรู้ที่ใครหลาย ๆ คน ก็รู้ว่าทุกสิ่งต้องเสื่อมและดับไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นจริงได้

ความสัมพันธ์ใด ๆ  ก็เช่นเดียวกัน มันมีวันหมดอายุของมัน มีวันสิ้นสุดและมีสัญญาณของความเสื่อมสลายให้ได้เห็นเป็นระยะ ในความจริงแล้ว แม้เราจะเห็นความเสื่อมในความสัมพันธ์ แต่เราก็มักจะไม่ทันได้ระลึกรู้ว่ามันต้องจบดับไป เราทำได้เพียงแค่ประคองความสัมพันธ์และหมายมั่นจะพัฒนามันให้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ความเสื่อมสลายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

…เหมือนผู้หญิงที่พยายามจะปั้นแต่งหน้าตาและร่างกายให้ดูเด็ก แม้ว่าวัยจะล่วงเลยไปมากแล้ว

…เหมือนความรักที่พยายามจะยื้อให้ดูดี แม้ว่ามันจะหมดความหวานไปหมดแล้ว

…เหมือนความสัมพันธ์ที่อยากจะรักษาไว้ แต่ความจริงมันแตกสลายและยากจะเชื่อมต่อกันได้แล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีชาติ (การเกิด) ก็มีชรา (แก่,เสื่อม) สุดท้ายก็มรณะ (จบ,ดับ,ตาย) ลงท้ายเหลือไว้แค่ความโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์

ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกอย่างหรือทุกความสัมพันธ์จบ ดับหรือตายไป เราก็สามารถเห็นความดับของสิ่งเหล่านั้นได้ จากความเสื่อมสลายของมันที่เกิดขึ้น และความเสื่อมนี้เองคือสิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับ หลายคนรู้ หลายคนเห็นอาการเสื่อมของสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่อยากยอมรับ ปิดกั้น ไม่อยากจะให้มันเกิด ไม่อยากให้มันเป็นความจริง ทั้ง ๆ ความจริงในปัจจุบันก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันกำลังเสื่อมสลาย มีแต่เราเท่านั้นที่ไม่ยอมรับความเป็นจริงเหล่านั้น

การที่เรารับรู้ว่าทุกอย่างต้องเสื่อมสลาย ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องปล่อยมันไปตามเวรตามกรรม แต่หมายถึงให้เราทำความเข้าใจว่าวันหนึ่งมันจะต้องจบดับไปตามเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งเรามีหน้าที่อะไร ก็ทำไปตามนั้นให้สมบูรณ์ มีหน้าที่ประคองก็ประคอง มีหน้าที่รักษาก็รักษา โดยไม่ต้องไปตั้งความหวังว่ามันจะดีขึ้นหรืออย่างไร เราเพียงแค่ทำสิ่งที่ดีในปัจจุบัน ส่วนผลเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ในท้ายที่สุด หากเราสามารถเข้าใจธรรมะได้ลึกซึ้งขึ้น เราจะรู้ว่าสิ่งใดหรือความสัมพันธ์ใดๆ ก็ตามจะต้องจบลงไป ก็เพราะมันเกิดขึ้นนี่แหละ เราจะเห็นความเสื่อมสลายและดับไปตั้งแต่ที่มันเกิด เมื่อเห็นดังนั้นเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นความสัมพันธ์หรือสิ่งใดเหล่านั้นมาเป็นตัวตน มาเป็นของของตน

12.7.2560

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

 

แมวเลี้ยงเดี่ยว

September 14, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,328 views 0

แมวเลี้ยงเดี่ยว

แมวเลี้ยงเดี่ยว

วันก่อนก็นึกย้อนไปสมัยเด็ก ๆ ที่ยังเลี้ยงแมวอยู่ แมวตัวแรกที่ผมเลี้ยงเป็นแมวตัวเมีย จริง ๆ ได้มาเป็นคู่ แต่ตัวผู้หนีไปไหนไม่รู้เหมือนกัน

ตลอดเวลาที่เลี้ยง แมวตัวนี้ก็เสน่ห์แรงมาก ๆ คลอดไม่นานก็ท้องใหม่ จนผมลืมไปแล้วว่ากี่คอก คลอดมันทุกที่ในบ้านตั้งแต่ใต้บันได ในกล่องหน้าทีวี หรือแม้กระทั่งในห้องนอนผม เรียกว่าสนิทกันมาก

ก็เพิ่งมานึกได้ว่า นี่เราไม่เคยเห็นแฟนหรือคู่ของมันเลยนะ อย่างเก่งก็เดา ๆ ได้จากสีลูก แล้วก็สังเกตุจากตัวผู้ที่มาป้วนเปี้ยนเอา

แมวนี่มันไม่เคยพาแฟนมาแนะนำตัวเลย มันมาคลอดอย่างเดียว มาเอาที่พึ่งพาอาศัย เอาที่อยู่ที่ปลอดภัย ส่วนเรื่องกินตัวนี้มันเก่ง จับหนูกินเองได้ จับมาแยกร่างให้เก็บทิ้งประจำ

คลอดเสร็จแล้วมันก็เลี้ยงลูกของมันไปตามประสา ก็เป็นภาระของเราด้วยที่เราต้องรับเลี้ยงลูกมันอีกที กว่าจะหมดภาระก็เป็นสิบปีนั่นแหละ

ก็มานึกเทียบกับคน คนเรานี่มีความยึดมั่นถือมั่นที่เด่นชัดกว่าสัตว์มาก แมวมันมีลูกมันก็เลี้ยงของมันไป ไม่เห็นสนใจจะให้ตัวผู้มาช่วยเลี้ยง แต่คนนี่มีปัญหามาก มีเงื่อนไขมาก ตอนมีลูกแล้วจะเลิกกันมันไม่ง่าย ไม่เหมือนแมว

เพราะคนไปหลงยึดเอาหลายสิ่งหลายอย่างที่มันเป็นเพียงค่านิยม เป็นเพียงความเชื่อ เป็นความสะดวกสบาย เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตาม เลยทำให้ชีวิตมันยุ่งยากวุ่นวาย

เพราะถ้าเอาเนื้อแท้ของการมีลูกจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกับสัตว์ผสมพันธุ์กันหรอก ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเปลือกสวย ๆ ที่คนทำไว้หลอกตัวเองว่าประเสริฐกว่าสัตว์เท่านั้นเอง

ดังนั้นคนที่จะดีกว่าสัตว์ ประเสริฐกว่าสัตว์ก็คือคนที่ไม่หลงไปกับการผสมพันธุ์ ถ้ายังหลงอยู่ก็ต้องรับภาระเลี้ยงลูก รวมทั้งรับทุกข์จากผลแห่งความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายที่ตนเองแบกไว้