Tag: โสดหรือมีคู่

จะอยู่เป็นโสด หรือจะมีคู่

April 25, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,029 views 0

จะอยู่เป็นโสด หรือจะมีคู่

ดาวน์โหลดภาพขนาดเต็ม | Download full size image

จะอยู่เป็นโสด หรือจะมีคู่

ก่อนที่เราจะตัดสินใจลิขิตชีวิตของตัวเองว่าจะให้เป็นไปทางไหน ก็ควรจะศึกษาข้อมูลเพื่อการตัดสินใจลงทุนที่มีความเสี่ยงที่มากที่สุดในชีวิตกันก่อน

จิตเดิมแท้ของเรานั้นแม้ว่าจะเป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังเป็นจิตที่ยังไม่มี “ปัญญา” เมื่อได้รับรสสุข จึงยึดติดความสุขเหล่านั้น สะสมลงไปกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น ทำให้กลายเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยรวมเราจะเรียกสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ว่า “กิเลส

1). สุขลวง

ตั้งแต่เราเกิดมาก็จะได้พบกับการชักชวนให้มีคู่แล้ว ไม่ว่าจะนิทาน การ์ตูน ละคร รวมถึงสังคมที่พากันแสวงหาคู่ เรียกได้ว่าคนส่วนใหญ่จะเกิดในสังคมที่พากันส่งเสริมให้มีคู่ มองว่าการมีคู่ครองเป็นเรื่องธรรมดา มองว่าการมีคู่เป็นสุข เป็นเป้าหมายในชีวิต เป็นคุณค่า เป็นสิ่งสำคัญ

สภาพจิตใจของคนที่ยังหลงสุขลวงแม้ว่าจะยังไม่มีคู่ก็คือ อยากมีคู่ หมกมุ่นในเรื่องคู่ ยังยินดีที่เห็นคนอื่นเขาคู่กัน ยินดีที่เขาแต่งงานกัน แม้แต่ความรู้สึกที่เข้าใจว่าตนอยู่เป็นโสดก็ได้ แต่ถ้ามีคู่จะสุขกว่า คือถ้าเลือกได้ก็ขอมีคู่ดีกว่า ก็ยังเรียกได้ว่าหลงสุขลวงอยู่โดยรวมก็คือถ้ามีคู่จะเป็นสุข ไม่มีคู่จะเป็นทุกข์

การหลงสุขลวงนั้นเป็นเรื่องทั่วไปของคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนที่หลงแล้วได้เสพสมใจ ได้มีแฟน มีคนรัก มีครอบครัว ก็จะยิ่งหลงขึ้นไปอีก แล้วก็มักจะชักชวนผู้อื่นให้หลงไปในสุขลวงเหล่านั้นด้วย นั่นเพราะตนหลงแล้วจึงไม่อยากจะออกจากความหลง จึงชักชวนให้คนอื่นเขาหลงตามเพื่อที่จะให้เห็นได้ว่า “ใครๆเขาก็ทำกัน

แม้แต่คนที่มีความรู้ความสามารถ มีธรรมะ ก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังหลงสุขลวง จึงใช้สิ่งที่ตนมีเหล่านั้นสร้างเหตุผลที่จะสามารถมีคู่ได้โดยที่ตนไม่รู้สึกผิด แต่ถึงกระนั้นก็ตามการมีคู่ก็ยังเป็นเหตุแห่งทุกข์อยู่ดี

แน่นอนว่าความหลงสุขลวงในการมีคู่นั้นเป็นเรื่องสามัญในโลกไปแล้ว ใครที่บอกว่าการมีคู่ครองนั้นเป็นเรื่องทุกข์ ก็คงจะโดนหาว่าบ้า หรือไม่ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนอ่อนต่อโลก อิจฉาคนมีคู่ ขยาดในความรัก ผิดหวังในรัก ขี้ขลาดขี้กลัว ฯลฯ อะไรก็ตามแต่ที่จะมาเป็นเหตุผลให้คนหลงสุขลวงได้ปักมั่นอยู่ในความเห็นที่ตนเข้าใจว่าถูก

ผู้ที่เลือกการมีคู่เพราะหลงสุขลวงจะต้องวนเวียนเรียนรู้ เกี่ยวกับทุกข์จากความรักของคนมีคู่ต่อไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะเข้าใจได้ว่า ความรักแบบมีคู่นั้นคือความทุกข์

ลักษณะของผู้ที่เห็นดีต่อการเสพสุขลวงจะมีอาการต่อต้าน “ความโสด” ไม่ยินดีฟังธรรมที่จะพาให้เป็นโสด ยินดีในธรรมที่จะพาให้มีคู่ จึงควรศึกษาเรื่อง ทุกข์ โทษ ภัยที่เกิดจากการมีคู่ เพื่อจะได้เรียนรู้ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ของสุขลวงได้ไวขึ้น

2). เกลียดชั่วยึดดี

คนที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรัก สะสมทุกข์จนถึงจะดับหนึ่ง ก็จะสามารถออกจากการมีคู่ด้วยการยึดดีได้ เพราะตนเองนั้นเกลียดทุกข์ที่มาพร้อมกับการมีคู่รัก อาจจะเพราะได้เคยพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกข์จนเกินทนเลยเข็ดขยาดกับความรักครั้งก่อนๆ

เมื่อเขาเหล่านั้นได้เข็ดขยาดจากความรักที่ต้องคอยมาเติมเต็มกิเลสให้แก่กันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเติมเต็ม ยิ่งเติมก็ยิ่งพร่อง ยิ่งเสพก็ยิ่งทุกข์ จึงเลิกเติมเต็มกิเลสให้กับผู้อื่น และใช้ตัวเองถมช่องว่างในการมีคู่เหล่านั้นเสีย เรียกว่าสร้าง “อัตตา” ขึ้นมาเพื่อทำลายความหลงเสพในสุขลวง

แม้โดยสภาวะจะดูแข็งแกร่ง มั่นคง แต่ก็เป็นสภาพยึดดีถือดีอยู่ มีตัวตนอยู่ สภาพของผู้ที่โสดแบบเกลียดชั่วยึดดีนี้จะมีอาการผลัก ชิงชัง รังเกียจการมีคู่ ไม่เห็นดีเห็นงามกับการมีคู่โดยมีความทุกข์จากความยึดดีเป็นส่วนประกอบ เช่น เห็นคนมีคู่แล้วมันหงุดหงิด ไม่ชอบ รำคาญ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเห็น อยู่กับคนโสดไม่เป็นไร แต่เจอคนมีคู่ทีไรอารมณ์ไม่ค่อยดี

ความเกลียดชั่วยึดดีนี้เอง ก็ถือได้ว่าเป็นสภาพที่เจริญขึ้นมาจากความหลงสุขลวงแล้ว แต่ก็ยังทำทุกข์ทับถมตนเองจากความยึดดีถือดีอยู่ แม้จะไม่ไปสร้างบาปกรรมกับคนอื่นด้วยการไปมีคู่ แต่ก็ยังสร้างบาปในใจของตนอยู่นั่นเองซึ่งอัตตาที่เพิ่มขึ้นมานั้นเองก็อาจจะเป็นเหตุให้ไปเบียดเบียนจิตใจของผู้อื่นได้ จึงยังเป็นผู้ที่ควรจะศึกษาในเรื่องของการทำลายอัตตาต่อไป

3). โสดแบบบ้านๆ

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่าตนนั้นไม่อยากมีคู่และไม่รู้สึกเกลียดคนมีคู่ แต่ความรู้สึกนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นเรื่องแบบชาวบ้าน เป็นเรื่องทั่วไป ซึ่งความรู้สึกว่าโสดแล้วตนเองก็ยังเป็นสุขดีนี้อาจจะไม่ใช่การบรรลุธรรมแต่อย่างใด

เช่น เด็ก ที่ยังไม่เข้าถึงวัยที่จะรู้จักความรัก กิเลสยังไม่กำเริบ วิบากกรรมยังไม่ส่งผล ก็จะยังรู้สึกมีความสุขที่ยังเป็นโสดอยู่ แต่วันใดที่ได้รู้จักกับสุขลวง ได้หลงเสพจนหลงสุขนั้น หรือพบคนที่จะมาสนองกิเลสตนเองได้ ก็จะพลาดพลั้งเสียทีไปได้

เช่น คนหนุ่มสาวที่อยากเสพสุขลวง แต่คนเองก็ยังไม่เคยได้เสพ ก็มักจะเข้าใจผิดไปว่า แม้ตนนั้นโสดก็ยังเป็นสุขดีอยู่ จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่จิตนั้นยังยินดีกับการมีคู่ การแต่งงานอยู่ ก็จะเรียกได้ว่ายังหลงกับสุขลวง หรือคนที่เจ็บปวดจากความรักและผลักตัวเองออกจากความรัก ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นสภาพความยึดดีแบบชั่วคราว สุดท้ายความสุขลวงยังไม่ตายก็จะกลับไปอยากมีคู่อยู่ดี

เช่น คนทำงานที่หลงไปในเรื่องของการงาน ฐานะ ความสำเร็จมากๆ ก็จะให้ความสำคัญกับโลกธรรม แม้ว่าจะไม่มีเรื่องคู่ครองมาในเบื้องต้น แต่สุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นอยู่ดี ถึงแม้จะดูเป็นคนโสดที่ใส่ใจการงาน แต่ถ้าสุขลวงยังไม่ถูกทำลาย มันก็เป็นเหตุให้ไปแสวงหาคู่ในท้ายที่สุดอยู่ดี

เช่น คนแก่ที่หมดวัยในการมีคู่แล้วก็มักจะเชื่อว่าตนนั้นเป็นโสดก็สุขดี ทั้งๆที่จริงแล้วสภาพของกรรมมันไม่เอื้อให้มีคู่แล้ว จึงทำได้แต่ปลง คือมันไม่มีให้เสพแล้ว จะทำยังไงก็ไม่มี ถึงมีก็ไม่ควรแก่วัย ทำได้แค่ทำใจเท่านั้น สุดท้ายก็ทำให้เข้าใจไปว่าฉันโสดก็สุขดี แบบนี้เป็นโสดแบบทั่วไป

สรุปแล้วความโสดแบบบ้านๆก็คือเรื่องทั่วไปที่เกิดได้กับทุกคนโดยไม่ต้องปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด สิ่งที่แสดงได้ชัดคือความรู้สึกยินดียินร้ายที่ยังเหลืออยู่ในจิตใจ หากยังยินดีกับความรักแบบคนคู่อยู่ก็ถือว่ายังไม่พ้น และถ้าหากยังรู้สึกชิงชังรังเกียจการมีคู่อยู่ก็ยังถือว่ายังไม่จบ

4).โสดอย่างเป็นสุข

ความโสดอย่างเป็นสุขนั้นเป็นสภาพพิเศษ ไม่ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะเป็นการโสดที่เกิดจากการชำระสุขลวงและทำลายความเกลียดชั่วยึดดี จนเกิดสภาพที่ไม่เสพก็เป็นสุข

ความโสดอย่างเป็นสุขไม่ใช่สภาพที่อยู่ๆจะเกิดขึ้นได้เอง ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ตนเองเบื่อความรักแล้วจะเกิดขึ้นได้ แต่เกิดจากการทำลายกิเลสทั้งๆที่เกิดความรักอยู่นั่นเอง นั่นหมายถึงการสัมผัสความรักอยู่แต่ก็ทำลายรักนั้นลงตรงหน้า

เหมือนกับนักรบที่สามารถฆ่าคนที่ตนเองรักที่สุดได้โดยไม่มีความทุกข์ใดๆเกิดขึ้นอีกเลย มันไม่ได้เบื่อไม่ได้หน่ายเลยนะ มันรักสุดรัก แต่ถ้าจะทำลายกิเลสมันก็ต้องทำลายกันทั้งๆที่ยังรักอยู่นี่แหละ จะไปรอทำลายตอนแก่หรือทำลายตอนหมดรักไม่ได้เพราะสุดท้ายมันจะต้องสัมผัสกับคนที่รักได้โดยไม่มีความรู้สึกรักหรือชังใดๆเลย ส่วนคนที่ยังไม่มีความรักแบบคู่ครองก็ไม่ต้องไปลองให้เสี่ยงเปล่าๆ หมั่นพิจารณาทุกข์ โทษ ภัยตามความเป็นจริงๆไปเรื่อยก็พอ

การจะเข้าถึงสภาพนี้จะต้องเห็นองค์ประกอบทั้งหมดของสุขลวงและความเกลียดชั่วยึดดีที่มีในตน จนกระทั่งทำลายทั้งความดูดผลัก รักเกลียด ชอบชังจนหมดสิ้น

โดยสภาพของผลที่เกิดขึ้นนั้นโดยภายนอกจะคล้ายกับคนที่เกลียดชั่วยึดดีคือ กลายเป็นคนโสด และไม่ยินดีกับการมีคู่ แต่จะไม่มีความทุกข์ใดๆเข้าไปร่วมด้วย

สิ่งที่แตกต่างจากคนโสดทั่วไปคือมีปัญญารู้แจ้งโทษชั่วโดยรอบของการหลงสุขลวงและการเกลียดชั่วยึดดีที่ตนเองนั้นได้เรียนรู้มา เรียกได้ว่ามีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดทั้งกามและอัตตา ซึ่งต่างจากคนโสดทั่วไปที่โสดโดยไม่รู้จักตัวตนของกิเลส โสดไปตามกรรม โสดแบบนั้นไม่ใช่ความสุขแท้ แต่เป็นการรอคอยก่อนที่พายุใหญ่กำลังจะเข้ามา อาจจะเป็นอนาคตข้างหน้า ในชาตินี้หรือชาติหน้าก็ได้ แต่โสดอย่างเป็นสุขเพราะชำระกิเลสจะต่างออกไป เพราะเมื่อกิเลสถูกกำจัดไปทั้งหมด ในอนาคตก็จะไม่มีพายุใดๆเข้ามาทำให้ทุกข์อีกไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติหน้า จะเหลือแต่วิบากกรรมที่จะต้องรับและเศษเหลี่ยมมุมของกิเลสที่จะต้องเรียนรู้

สภาพของโสดอย่างเป็นสุขจากการชำระกิเลสจะอยู่บนทางสายกลางแบบไม่เผลอเอียงไปทางโต่งด้านใดด้านหนึ่งอีก เพราะได้ชำระกามและอัตตาอันเป็นทางโต่งสองด้านแล้ว และเมื่อดำเนินอยู่บนทางสายกลางจึงดำเนินชีวิตไปร่วมกับคนที่หลงสุขลวงและเกลียดชั่วยึดดีได้อย่างไม่ปนไม่เปื้อนไปกับเขา ถึงเขาจะอยากมีคู่เราก็ไม่อยากไปกับเขา ไม่ยินดีไปกับเขา ถึงเขาจะรู้สึกทุกข์เพราะคนคู่เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับเขา จึงกลายเป็นผู้อยู่ในโลก แต่ไม่ปนไปกับโลก ไม่ใช่ผู้หนีโลกแต่อย่างใด

– – – – – – – – – – – – – – –

25.4.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)