Tag: แต่งงาน

คนอยากมีคู่ศึกษาไว้

May 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,820 views 0

(ผมจะทำยังไงดี เมื่อเมียจนไม่ลง : http://pantip.com/topic/33667527)

ตอนสุขเขาสุขด้วย แต่ตอนทุกข์นี่เขาไม่เอาด้วยนะ…

พึงระวังไว้เลยสำหรับเรื่องนี้ เพราะยากนักที่จะรู้ได้ ก็ตอนจีบกันคบกันก็มีแต่สร้างภาพให้ดูดีกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ที่ได้แต่งงานกันเพราะเสพแต่สุขร่วมกันนั่นแหละ

คนที่เขาผิดใจกัน มีปัญหากันจนทำให้ต้องเลิกกันก่อนแต่งงานนี่เขาโชคดี เพราะได้ทดลองมีปัญหาก่อนจะต้องเจอกับปัญหาที่หนีไม่ได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วันที่เราจน วันที่เราป่วย วันที่เราดูแลตัวเองไม่ได้ เขาจะร่วมทนทุกข์กับเรา?

หรือวันที่เขาจน วันที่เขาป่วยจนดูแลตัวเองไม่ได้ จนต้องไปคอยดูแลเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้เขา เราจะดูแลเขาไหวหรือ? เราแค่คิดไปเองหรือเคยลองมาแล้ว เราเคยอดมื้อกินมื้อไหม? เราเคยดูแลคนป่วยไหม? เราเคยดูแลคนแก่ไหม?

…การมองโลกในแง่ดี หรือที่เขามักจะเรียกว่า “โลกสวย” บางครั้งก็เป็นความประมาท ที่ทำให้ชีวิตได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างที่ไม่มีวันแก้ไขได้ ทั้งหมดนั้นเพียงเพราะความอยากเสพในเรื่องคู่เท่านั้นเอง

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

May 14, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 29,671 views 2

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

คู่บุญนั้นมีจริงไหม ลักษณะจะเป็นอย่างไร แล้วชาตินี้เราจะได้พบเจอหรือไม่ ในบทความนี้ก็จะมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นเหล่านี้กัน

คู่บุญคืออะไร

ความหมายของคู่บุญนั้นก็คือ คู่ที่พากันเจริญไปอย่างเดียว พากันทำสิ่งที่ดีงาม พากันชำระกิเลส พากันศึกษาธรรม เจริญในศีลขึ้นไปเรื่อยๆ ดูแลเกื้อกูลกัน เป็นกัลยาณมิตรที่คอยตักเตือน สร้างเหตุแห่งการพ้นทุกข์ไปด้วยกัน

การเป็นคู่บุญนั้นจะไม่พากันไปในทางเสื่อม ไม่พากันไปสะสมกิเลส ถ้าเป็นคู่ชายหญิง ก็จะไม่คบหากันเหมือนคู่รัก แต่จะมีสถานะเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลย เพราะการเป็นมากกว่าเพื่อนนั้นเป็นทางที่เสื่อมจากธรรม เป็นทางของกิเลส เป็นเรื่องของความหลง ผู้ที่จะพากันไปเจริญย่อมไม่ยินดีผูกมัดกันด้วยเรื่องทางโลกเช่นการแต่งงาน

เพราะการคบหากันเป็นคู่รักตลอดจนแต่งงานนั้น เป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยการบำเรอกิเลสแก่กัน เป็นการสร้างความผูกมัดในบ่วงกรรมของกันและกัน ผู้ที่จะพากันเจริญย่อมไม่ผูกมัดกันด้วยอกุศลกรรมใดๆ แต่จะผูกมัดกันด้วยกุศลกรรมเท่านั้น เรียกได้ว่าชั่วไม่ทำ พากันทำแต่ความดี

ซึ่งก็จะไม่มีความหลงหรือความลำเอียงใดๆ อันเกิดจากกิเลสให้ต้องพัวพันกันด้วยเรื่องอกุศล คู่บุญจึงเหมือนเพื่อนนักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ที่เรามองว่าเหมือนกับเพื่อนคนอื่นทั่วๆไปบนโลก ดังนั้นจึงสามารถคอยตักเตือนให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงได้

คู่บุญเกิดมาได้อย่างไร?

คู่บุญเกิดมาจากกรรมดีที่ทำมาร่วมกันมาหลายต่อหลายชาติ จึงเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้กลับมาทำดีร่วมกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีคู่บุญที่พากันเจริญ เพราะการจะมีคู่ปฏิบัติธรรมนั้นต้องหยุดชั่วทำดีให้มากพอที่จะมีกรรมดีให้คงสถานะมิตรต่อไปด้วย

การเป็นคู่รักกันนั้นยากยิ่งนักที่จะกลายเป็นคู่บุญ เพราะจะมีกรรมชั่วที่ร่วมกันเสพมากมาย ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งทะเลาะกัน ทั้งตบตีกัน ทั้งสมสู่กัน ถึงจะพากันทำดีในบางช่วงของชีวิตแต่ก็ต้องมารับกรรมชั่วที่ทั้งคู่ทำอยู่ดี จึงทำให้เกิดผลเจริญได้ยาก เพราะจะมีรักกันบ้าง ชังกันบ้าง โกรธกันบ้าง เกลียดกันบ้าง อาฆาตกันบ้าง คู่รักจึงมีหนี้บาปหนี้กรรมที่ต้องให้มาชดใช้กันมากกว่าพากันไปเจริญ

คู่บุญกัลยาณมิตร

การเป็นคู่บุญนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนต่างเพศ จะเป็นเพศเดียวกันก็ได้ วัยเดียวกันก็ได้ ต่างวัยก็ได้ ซึ่งก็คือคนที่เข้ามาเกื้อกูลกันและกันให้เจริญขึ้นไปในทางธรรม

ยกตัวอย่างเช่นพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร ท่านก็เป็นเพื่อนกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันมาหลายชาติ เกิดชาติไหนก็มักจะเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือกัน พากันเจริญร่วมกันอยู่เสมอ นี้คือลักษณะของนักปฏิบัติธรรมที่เกิดมาเป็นคู่ บำเพ็ญเพียรเป็นคู่

ในกรณีต่างเพศหรือต่างวัยก็เช่นกัน สามารถเป็นคู่บุญได้ แต่ลักษณะของคู่บุญที่แท้จริงแล้วจะเอื้อให้เกิดมาเรียนรู้ร่วมกันด้วยโอกาสที่สะดวกที่สุด การมาเป็นเพื่อนนักปฏิบัติธรรมชายหญิงนั้นก็อาจจะไม่สะดวกนัก หรือในคู่ที่ต่างวัยกันก็อาจจะมีคนหนึ่งชิงตายไปเสียก่อน ดังนั้นคู่บุญที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาหลายต่อหลายชาติมักจะเกิดในเพศและวัย รวมถึงองค์ประกอบต่างๆในชีวิตที่ใกล้เคียงกันเพื่อเอื้อให้เกิดการเจริญในธรรมได้ดีที่สุด

คู่รักสู่คู่บุญ

หัวข้อนี้อาจจะถูกใจคนอยากมีคู่รักและเจริญในธรรมไปด้วย แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะการเปลี่ยนจากคู่รักมาสู่คู่บุญนั้นจะต้องผ่านแบบทดสอบมากมาย

การเป็นคู่รักนั้นเกิดจากความหลงเสพหลงสุข เมื่อมีความรักก็อยากได้อยากเสพ จึงหาคนมาครองคู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางคนที่มีความพยายามที่จะเจริญในธรรม ดังนั้นจึงต้องขัดเกลากิเลสของตนและคู่เพื่อให้พัฒนาสู่ภพที่เอื้อให้เกิดความเจริญสูงสุด

การขัดเกลากิเลสนั้นมีตั้งแต่การไม่พากันไปสู่ทางชั่ว ไม่บำรุงบำเรอกิเลสให้กันและกัน และในส่วนที่ยากที่สุดคือไม่สมสู่กัน เป็นเรื่องยากที่จะบอกให้คนรักไม่สมสู่กันตั้งแต่วันแรกที่คบหากันไปจนตาย เพราะถ้าไม่ต้องการสมสู่กันแล้ว น้ำหนักในการมีคู่ครองก็แทบจะเบาลงไปในทันที ดังนั้นปราการแรกสู่ความเจริญคือให้เว้นขาดจากการสมสู่กับคู่ของตนตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน

เมื่อเป็นคู่กันแล้ว แต่งงานกันแล้ว แม้จะไม่สมสู่กันก็ยังไม่เรียกได้ว่าหลุดพ้นหรือสามารถเจริญในธรรมได้ดีนัก เขาทั้งคู่ต้องสลัดความหลงในรูปของกันและกัน ผู้ชายก็ไม่หลงในความเป็นหญิง ผู้หญิงก็ไม่หลงมัวเมาในรูปกายของตัวเองและไม่หลงยึดว่าต้องมีชายมาบำเรอตน

ปฏิบัติไปเรื่อยๆหลายภพหลายชาติ ผู้หญิงที่สามารถทำลายภาวะของความเป็นหญิงในตนลงได้ ตัดเหตุแห่งความเป็นหญิงได้ ก็จะเปลี่ยนมาเกิดเป็นเพศชายได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพศชายด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่ หากยังตัดความอยากในการสมสู่หรือความรักใคร่ออกไม่หมด ในชาติใดชาติหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นชายรักชายก็ได้ ไปๆมาๆ กิเลสเพิ่มก็เวียนกลับสลับกันไปเป็นชายหญิงกันใหม่

ดังนั้นกว่าจะเปลี่ยนคู่รักมาเป็นคู่บุญได้แท้จริงนั้นยากมาก ต้องพรากจากการสมสู่ ต้องพรากจากความหลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกรรมที่สะสมมาหลายภพหลายชาติ ใช่ว่าจะหลุดพ้นกันได้ง่ายๆ แม้คนหนึ่งไม่อยากสมสู่ แต่อีกคนอยากสมสู่ สุดท้ายก็ต้องมาคอยบำเรอกัน ซึ่งก็จะผูกติดกันไปแบบคู่รักเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน

ถ้าถามว่าคู่รักเช่นนี้ทำบุญได้ไหม ก็ตอบว่าได้ แต่ไม่สามารถทำได้ดีและเจริญได้เร็วเท่ากับคู่บุญที่เป็นเพื่อนกัน ถ้าเทียบกันแล้วก็เหมือนกับม้าที่วิ่งแข่งกับเต่า ดังนั้นหากจะเรียกคู่รักว่าคู่บุญนั้นก็คงจะไม่เข้าในความหมายของคู่บุญที่ยกไว้ในตอนต้น จึงสรุปว่าการยังอยู่ในภพของคู่รักนั้น จึงไม่เรียกว่าคู่บุญ เพราะยังมีเหตุในการทำบาปและความเสื่อมแห่งมิตรภาพอยู่ในความเป็นคู่รักนั้น

คู่บุญหรือคู่บาป

มาถึงคู่สุดท้าย คือคู่บาป คู่ที่พากันใช้ชีวิตไปตามสังคมและโลก ทำทานบ้าง เข้าวัดบ้าง สนองกิเลสกันบ้าง สมสู่กันบ้าง เรียกง่ายๆว่าใช้ชีวิตไปตามวิถีของคนทั่วไปนั่นเอง

การมีคู่แบบนี้ไม่เป็นบุญสักนิดเดียว เพราะบุญคือการชำระกิเลส แต่คู่รักที่ไม่ยินดีถือศีล ไม่ยินดีในการลดกิเลส ไม่ละเว้นการสมสู่ ไม่สลัดความหลงในรูปของกันและกัน แถมยังพากันบำเรอกามกันอย่างไม่เกรงกลัวพิษภัยของบาปจึงพาเป็นคู่ที่พากันไปแต่ทางเสื่อม หรือที่เรียกว่าคู่บาป

เขาเหล่านั้นก็จะเกิดมาเป็นตัวเวรตัวกรรมของกันและกัน คอยฉุดกันลงนรก หากคนใดคนหนึ่งทำกุศลมากพอจนจะได้ฟังธรรมที่พาพ้นทุกข์ อีกคนหนึ่งก็จะฉุดไปลงนรก ไม่ยอมให้อีกคนได้โผล่พ้นขึ้นมาจากใต้กองกิเลส เพราะกลัวว่าถ้าหากคู่ของตนทิ้งตนไปสนใจธรรมแล้วตนเองจะไม่เหลือใครให้เสพ แล้วก็ผลัดกันสกัดกั้นกันและกันอย่างนี้ไปอีกหลายภพหลายชาติ เป็นภาระของกันและกัน เป็นตัวถ่วงความเจริญของกันและกัน เป็นบาปของกันและกัน

ข้อสังเกตง่ายๆคือคู่บาป จะพาให้เราลดศีลของเราหรือลดความเจริญในธรรม คือธรรมที่มีอยู่แล้วก็เสื่อมลง เช่น เราเป็นคนที่กินมังสวิรัติอยู่แล้ว แต่พอไปมีคนรัก เขาไม่ยินดีที่จะถือศีลตามเรา ถึงแม้จะพยายามทำตามก็ทำได้ยากได้ลำบากจนเขารู้สึกกดดัน เราจึงรู้สึกเห็นใจเขาและเวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เป็นเพื่อนเขา

หรือผู้หญิงที่ตั้งใจจะไม่สมสู่จนกว่าจะแต่งงาน แต่เมื่อเจอกับคู่บาปที่มีถ้อยคำสนองกิเลส คำหวานที่ล่อลวงให้ยอมพรากพรหมจรรย์ไปให้เขาก่อนถึงวันที่คิดว่าสมควร ลักษณะเหล่านี้คือคู่ที่พาให้ตกต่ำลง ให้เสื่อมจากศีลธรรมที่เป็นมาตรฐานที่เคยตั้งไว้

หรือพอเราจะไปทำกุศล ไปทำทาน เข้าวัดปฏิบัติธรรม ไปเจอครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่จะไปบวช คนรักของเราก็จะกั้นขวางไว้ไม่ให้เราได้เข้าใกล้ธรรม ไม่ให้เราได้สร้างกุศลหาเจริญในธรรมนานนัก หรือที่หนักๆเลยก็พวกที่จับพระสึกมาแต่งงานก็มีให้เห็นกันมาแล้ว นี่คือพลังของคู่บาปที่จะพยายามพาเรากลับไปนรก กลับไปในทางเสื่อมและจะต้องวนเวียนคอยลากกันและกันกลับไปนรกเพราะจะไม่มีใครยอมให้ใครทิ้งกันไปเจริญ จะต้องอยู่สนองความใคร่อยากด้วยกัน จะต้องมาบำเรอกิเลสของกันและกัน จะต้องเป็นตัวตนของกันและกัน ชาตินี้คนหนึ่งลากอีกคนลงนรก อีกชาติหนึ่งก็จะโดนแก้แค้นโดยการถูกลากลงนรก ผูกพันกันไปด้วยหนี้บาปหนี้กรรมกันอีกหลายกัปหลายกัลป์

. . . จะเห็นได้ว่าการเป็นคู่รักกันโดยไม่มีศีลธรรมนั้นจะพาให้หลงวนอยู่ในกองกิเลสยากจะหลุดออกมาได้ ส่วนคู่รักที่มีศีลมีธรรมนั้นก็กว่าจะทำลายความเป็นคู่รักให้เหลือแต่คู่บุญได้นั้นก็ยากเย็นแสนเข็ญ กามก็อยากเสพ กุศลก็อยากทำ กว่าจะถึงคู่บุญจริงๆนั้นก็ไกลแสนไกล

ดังนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรกจะดีกว่า อย่าไปหลงผูกกันให้ลำบากต้องมาแก้กันทีหลัง เพราะตอนแก้มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนผูก เหมือนกับตอนที่กิเลสเข้ามาแล้วมันไม่ได้ล้างออกไปกันได้ง่ายๆ เพราะถึงแม้จะมีวิธีทำลายกิเลสที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วประกาศไว้อยู่ ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำใจให้เข้าถึงแก่นแท้แห่งความรู้เหล่านั้นได้ง่ายๆ

– – – – – – – – – – – – – – –

13.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เนื้อคู่

May 13, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,259 views 0

เนื้อคู่

คำสั้นๆที่พาให้คนมากมาย

หลงวนเวียนอยู่กับฝันลวงๆ

= == = = = = = = = = = = =

เนื้อคู่ หรือจะเรียกให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า “ตัวเวรตัวกรรม” คือใครสักคนหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตและก่อเวรก่อกรรมกันไปให้ต้องไปรับวิบากกรรมกันทีหลัง

และคนที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากก็มักจะถูกเรียกว่า คู่แท้ หรือไม่ก็เนื้อคู่ มักจะถูกใช้ในมุมของ “คู่ครองที่ดี” เท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วศัตรูคู่แค้นก็สามารถเกิดมาเป็นคู่ครองได้เช่นกัน ดังนั้นสภาพของคู่แท้ คือแท้ด้วยการผูกกันด้วยหนี้บาปหนี้กรรมทั้งหลาย เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคนสองคน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องคู่เท่านั้น

แม้ว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาจะมีบทบาทในชีวิตมาก มีรักที่เกื้อกูลแบ่งปันอย่างจริงใจ แต่มักจะไม่ค่อยได้รับสิ่งดีที่ลูกตอบแทนให้ ตำแหน่งของคู่แท้หรือเนื้อคู่กลับไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาในชีวิตและเสริมเติมแต่งบำรุงบำเรอกิเลสให้กันจนถึงวันแต่งงาน

เมื่อมีการแต่งงานนั่นหมายถึงวันที่เกิดความคะนองกิเลสสูงสุด สุขที่สุด ใคร่อยากเสพมากที่สุด มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น ทุกคนต่างพากันยินดีในคนสองคนที่กิเลสหนามาอยู่ด้วยกัน พากันยินดีในการมีคู่ นี่คือการก่อเวรก่อกรรมที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต

พออยู่ร่วมกันไปก็มีทะเลาะกันบ้าง เสพสุขร่วมกันบ้าง ทุกข์สุขปะปนกันไป เกิดเป็นเวรเป็นกรรมที่ต้องมาคอยรับผลกันอีก หนี้เก่ายังไม่หมดก็ยังก่อหนี้ใหม่ขึ้นมาอีก เลยกลายเป็นตัวเวรตัวกรรมที่จะต้องมาชดใช้หนี้กรรมกันไปอีกหลายต่อหลายชาติ

แล้วตกลงมันน่าเจอไหมนี่ สิ่งที่เขาเรียกว่า “เนื้อคู่” เนี่ย…

– – – – – – – – – – – – – – –

13.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

สมรสคือภาระ

May 8, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,046 views 0

สมรสคือภาระ

สมรสคือภาระ

แต่เดิมแล้วคนเรานั้นมีอิสระที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างมากมาย ซึ่งต่อมาอิสระเหล่านั้นก็จะถูกทำลายไปด้วยพลังแห่งราคะ เป็นสิ่งที่เข้ามาสร้างสุขลวงและทิ้งภาระให้ชีวิตและจิตวิญญาณได้ใช้หนี้กรรมไปอีกนานแสนนาน

เมื่อเราอยู่เป็นคนโสด เราสามารถใช้เวลาและโอกาสเหล่านั้นในการเรียนรู้ชีวิต ค้นหาความหมายในการเกิดมาในครั้งนี้ ว่าเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร เรียนรู้และค้นหาไปจนกระทั่งสามารถเข้าถึงความรู้ที่เป็นที่สุดของโลก คือได้เรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ เรียนรู้ความดับทุกข์ และเรียนรู้วิธีปฏิบัติสู่การดับทุกข์ทั้งปวง

ซึ่งความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ที่ทุกคนควรจะเรียนรู้ให้กระจ่างให้เร็วที่สุด เพราะในโลกนี้แท้จริงแล้วก็ไม่มีใครอยากทุกข์ ไม่มีใครชอบทุกข์ รักสุขเกลียดทุกข์ แต่น้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับความจริงที่พาพ้นทุกข์นี้

นั่นเพราะพลังของกิเลส คือราคะหรือความใคร่อยากเสพจะเป็นตัวสกัดกั้นความเจริญในธรรมและพาให้เราไปหาภาระ หรือสิ่งที่เบนความสนใจของเราให้ห่างออกไปจากทางพ้นทุกข์ ให้ไปเสพสุขลวง ให้หลงมัวเมาอยู่ในโลก

ในขั้นเริ่มต้น ก็จะเริ่มแสวงหาคนรัก คนที่จะมาบำเรอกิเลสตนได้ คนที่ถูกใจ คนที่วาดฝันไว้ แม้มีเพียงความอยากระดับนี้ ก็มีพลังมากพอจะทำให้เรา เลิกเรียนรู้ความหมายของชีวิต หันมาหาวิธีสนองตัณหาตนเองแทน แต่ในขั้นนี้ก็สามารถหลุดออกมาได้เร็ว เพราะการผิดหวังในขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่ไม่ทุกข์นัก จึงสามารถถอนตัวกลับมาเรียนรู้ชีวิตได้

ในขั้นปานกลางพอกิเลสมากเข้า และวิบากกรรมส่งผลก็จะได้คนโชคร้ายหนึ่งคนมาคบหา ภาษาธรรมะเรียกว่า “ตัวเวรตัวกรรม” ภาษาทั่วไปเรียกกันว่า “แฟน” เขาเหล่านั้นจะคอยสนองกิเลสเรา ยั่วกิเลสเรา ทั้งกิน ทั้งโกรธ ทั้งกาม ผสมปนเปกันไปจนไม่ต้องพูดถึงธรรมะ เวลาคนมันเสพสุขจากกิเลสนี่ก็มัวเมาจนมืดบอดไปหมด ระยะนี้ถือว่าสร้างภาระให้กับตัวเองในระดับหนึ่งแล้ว เพราะการรับเข้ามาเป็นแฟน มันก็ใช่ว่าเลิกกันได้ง่ายๆ แทนที่จะได้เอาเวลาในชีวิตไปเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็มาเมากันอยู่แค่ตรงนี้

ในขั้นหนัก พอกิเลสสุกงอมกันทั้งคู่ ก็จะแต่งงานกัน การแต่งงานเป็นการผูกภาระที่สมบูรณ์ คนเรามักจะสัญญาว่าจะดูแลคู่ครองกันไปจนตาย นั่นหมายความว่าเราต้องเสียประโยชน์ตนเองไปเพื่อบำเรอกิเลสของคู่ครองไปจนตาย เป็นภาระที่หนัก และยังมีของแถมให้เป็นภาระอีกมากมาย เมื่อครอบครัวของทั้งสองฝ่ายรวมเข้าหากัน เวลาที่จะเอาศึกษาธรรมเพื่อแสวงหาความดับทุกข์นั้นเรียกได้ว่าไม่ต้องพูดถึง เพราะถ้าทิ้งหน้าที่สามีหรือภรรยาหนีไปศึกษา ก็มักจะโดนกล่าวหาว่าไม่ทำหน้าที่คู่ครองที่ดี

ในขั้นหนักที่สุด คือแต่งงานกันแล้วยังสร้างสิ่งผูกมัดในชีวิตไม่พอ ก็จะสร้างลูกขึ้นมาด้วย เมื่อสร้างลูกขึ้นมาก็เหมือนกลายเป็นทาสที่ต้องใช้เวลาคอยดูแลลูกเข้าไปอีก ไหนจะต้องบำเรอคู่ ไหนจะต้องบำรุงลูก ไหนจะการงาน ในจะกิจกรรมในครอบครัว ไหนจะสุขภาพ ไหนจะเรื่องการสนองกิเลสตัวเอง กว่าจะเอาเวลาไปศึกษาธรรมะ ก็คงต้องรอลูกโตหรือไม่ก็ตายกันไปข้างหนึ่ง จะหนีไปบวชหรือหนีไปปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ใช่ว่าเขาจะยอมกันง่ายๆ รับเขามาในชีวิต ไปบำเรอกิเลสจนเขากิเลสอ้วนแล้วจะทิ้งกันง่ายๆนี่ไม่มีทาง ครอบครัวจะรั้งเราไว้ มันจะมีเหตุการณ์ประหลาดที่กั้นขวางไม่ให้เราสามารถเข้าใกล้ธรรมได้มากมาย

สุดท้ายกว่าจะได้โอกาส ได้อิสระไปค้นหาความหมายของชีวิตอีกครั้งก็คงจะใกล้วัยชราแล้ว มีเวลาเหลือน้อยแล้ว สุขภาพไม่เอื้ออำนวยเหมือนตอนวัยรุ่นแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ตายไปหมดแล้ว สุดท้ายก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยสนองกิเลสแล้วก็รอวันตายไปเปล่าๆอีกหนึ่งชาติ ถือว่าเกิดมาเสพกิเลสฟรีๆ เป็นโมฆะบุรุษไป เสียกุศลที่สร้างมา แถมยังต้องรับอกุศลคือกรรมชั่วที่ทำไว้มากมายในชาตินี้อีก

เกิดมาเป็นคนใหม่ก็พยายามจะค้นหาความหมายของการมีชีวิตเหมือนเดิม แต่ไม่นานกิเลสเพื่อนเก่าก็เข้ามาทักทาย สุดท้ายก็แพ้กามราคะเหมือนเดิม ไปแต่งงานมีลูก ผูกครอบครัวเหมือนเดิม กว่าจะหลุดได้ก็แก่เหมือนเดิม แก่แล้วก็ขี้เกียจเหมือนเดิม สุดท้ายก็ตายไปเปล่าๆเหมือนเดิม

ถ้าอย่างแย่ที่สุดคือหักห้ามใจไม่ไปแต่งงานเสีย ถ้าคบอยู่ก็ให้เป็นแค่เพื่อน ถ้ารักกันจริงก็อย่าให้เสียประโยชน์ตนเอง ก็อาจจะทำให้พ้นจากนรกที่ไม่มีวันจบสิ้นแบบนี้ได้เร็วขึ้น แต่ถ้าเผลอพลาดไปแต่งงานแล้วล่ะก็ ตัวใครตัวมัน ตอนแก้มันไม่ง่ายเหมือนตอนผูกนะ เงื่อนกรรมมันพันแน่นซับซ้อนมาก

ใครอยากมีความสุขในชีวิตก็ไม่ต้องไปผูกเงื่อนกรรมพ่วงชีวิตกับใครไว้ เพราะเพียงแค่ชีวิตเราเองก็เป็นภาระที่ต้องจัดการมากพอแล้ว ยังจะเอาคนมีกิเลสมาผูกไว้ด้วยอีกคน แถมกิเลสของบรรดาญาติมิตรสหายของเขาอีก นี่มัน “ อภิมหากองกิเลส “ ใครคิดว่าแน่จะไปลองลิ้มชิมนรกเช่นนี้ดูก็ได้ เพราะถ้าปัญญามันไม่เต็มรอบ ยังไงมันก็ไม่เข็ด มันจะไปเสพอยู่นั่นแหละ มันจะโง่ไปเอาภาระ วิ่งไปหาเหามาใส่หัว แกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่นั่นเอง

พอมีคู่มาผูกนี่มันออกไม่ได้ง่ายๆนะ แม้เราจะมีครูบาอาจารย์ที่มีวิชชาสอนให้พ้นทุกข์ได้ แต่วิบากกรรมมันจะกั้นไม่ให้เราออกมาง่ายๆ เขาจะขวาง เขาจะห้าม ถึงเขาไม่ห้าม เราก็ห่วง เราก็ระแวง มันจะมีอะไรสักอย่างมาดลบันดาลทำให้ออกไม่ได้ ทีนี้เวลาวิบากกรรมชั่วชุดใหญ่มันมาแล้วตนเองไม่มีธรรมที่กล้าแกร่งพอ มันจะทุกข์และทุกข์หนักมาก แต่ถึงแม้จะทุกข์สุดทุกข์ก็จะออกจากนรกแห่งความทุกข์นั้นไม่ได้ มันจะผูก จะเหนี่ยว จะรั้งไว้ ให้ทนทุกข์อยู่นั่นแหละ สิ่งที่ทำให้ต้องทนทุกข์แม้ว่าเหมือนจะออกได้แต่ออกไม่ได้ก็คือ ผลของกรรมที่ไปผูกเขาไว้นี่เอง

ตอนได้เสพกัน ได้สนองกิเลสกัน ได้สมสู่กันมันก็ดูเหมือนจะมีความสุขดีอยู่หรอก แต่ตอนที่วิบากกรรมชั่วมาถึงนี่มันไม่สุข ไม่สนุกเลยนะ ใครจะลองศึกษาชีวิตด้วยทางนี้ก็ได้เหมือนกัน ทางเส้นนี้ทุกข์มากสุขน้อย แต่คนเขลาจะเห็นว่าทุกข์น้อยสุขมาก จะบอกยังไงก็คงไม่เชื่อ ก็คงต้องลองกันดูเอง แต่ถ้ารู้แล้วไม่ไปลองก็ถือว่าเอาตัวรอดเป็น

สุดท้ายนี้ก็ขอสรุปว่าการมีคู่นี่มันเป็นการผูกพันให้ต้องมารับภาระ รับทุกข์ รับวิบากกรรมกันชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่จบไม่สิ้น

– – – – – – – – – – – – – – –

1.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)