Tag: เนื้อคู่

เนื้อคู่

May 13, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,253 views 0

เนื้อคู่

คำสั้นๆที่พาให้คนมากมาย

หลงวนเวียนอยู่กับฝันลวงๆ

= == = = = = = = = = = = =

เนื้อคู่ หรือจะเรียกให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า “ตัวเวรตัวกรรม” คือใครสักคนหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตและก่อเวรก่อกรรมกันไปให้ต้องไปรับวิบากกรรมกันทีหลัง

และคนที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากก็มักจะถูกเรียกว่า คู่แท้ หรือไม่ก็เนื้อคู่ มักจะถูกใช้ในมุมของ “คู่ครองที่ดี” เท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วศัตรูคู่แค้นก็สามารถเกิดมาเป็นคู่ครองได้เช่นกัน ดังนั้นสภาพของคู่แท้ คือแท้ด้วยการผูกกันด้วยหนี้บาปหนี้กรรมทั้งหลาย เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคนสองคน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องคู่เท่านั้น

แม้ว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาจะมีบทบาทในชีวิตมาก มีรักที่เกื้อกูลแบ่งปันอย่างจริงใจ แต่มักจะไม่ค่อยได้รับสิ่งดีที่ลูกตอบแทนให้ ตำแหน่งของคู่แท้หรือเนื้อคู่กลับไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาในชีวิตและเสริมเติมแต่งบำรุงบำเรอกิเลสให้กันจนถึงวันแต่งงาน

เมื่อมีการแต่งงานนั่นหมายถึงวันที่เกิดความคะนองกิเลสสูงสุด สุขที่สุด ใคร่อยากเสพมากที่สุด มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น ทุกคนต่างพากันยินดีในคนสองคนที่กิเลสหนามาอยู่ด้วยกัน พากันยินดีในการมีคู่ นี่คือการก่อเวรก่อกรรมที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต

พออยู่ร่วมกันไปก็มีทะเลาะกันบ้าง เสพสุขร่วมกันบ้าง ทุกข์สุขปะปนกันไป เกิดเป็นเวรเป็นกรรมที่ต้องมาคอยรับผลกันอีก หนี้เก่ายังไม่หมดก็ยังก่อหนี้ใหม่ขึ้นมาอีก เลยกลายเป็นตัวเวรตัวกรรมที่จะต้องมาชดใช้หนี้กรรมกันไปอีกหลายต่อหลายชาติ

แล้วตกลงมันน่าเจอไหมนี่ สิ่งที่เขาเรียกว่า “เนื้อคู่” เนี่ย…

– – – – – – – – – – – – – – –

13.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

กรณีศึกษา : ความเชื่อมั่นในความรักกับความไม่เคยพอของกิเลส

April 25, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,331 views 0

ยิ่งกว่าละคร… ( http://pantip.com/topic/33550684 )

วิบากกรรมชั่ว นี่ตอนแรกจะมาดีๆนะ มาแบบหลอกให้เราหลงว่าคนนี้แหละ ใช่เลย!! เนื้อคู่แน่ๆ

อาจจะใช้เวลาเป็นปี สิบปี ยี่สิบปีก็ได้ อาการคือ คอยตามสนองกิเลส ตามจีบ ตามง้อให้เรายอม

พอยอมเท่านั้นแหละ ลงนรกไปเลย… หลังจากนี้เราก็จะได้ลิ้มรสวิบากบาปที่ตัวเองเคยทำไว้อย่างสาสมเท่ากับที่เราทำมา

ก็จะโทษใครได้เล่า ทั้งหมดนั้นก็คือผลกรรมที่เราทำมาเองนั่นแหละ มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะดูออก เพราะมันจะทำให้เราหลงไปยินดีกับเรื่องที่พาให้ชั่วได้ง่ายๆเลย

วิธีพิสูจน์รักแท้

December 24, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 16,891 views 0

วิธีพิสูจน์รักแท้

วิธีพิสูจน์รักแท้

…รักนั้นแท้จริงหรือ? เป็นกุศลจริงหรือ? นำมาซึ่งความสุขจริงหรือ?

ความต้องการที่จะมีใครสักคนเข้ามาอยู่ข้างกาย เข้ามาเป็นคู่ชีวิตนั้นเป็นความต้องการที่ยากจะต้านทานได้ แม้ว่าจะได้ยินคำบอกเล่าเรื่องจริงของความรักมามากมาย แต่เราก็มักจะเลือกเชื่อในมุมที่เราต้องการ เลือกที่จะเชื่อว่าความรักนั้นคือสิ่งที่สวยงาม เชื่อว่าความรักของเราคือความสุข คือความยั่งยืน เคียงคู่กันสร้างกุศลร่วมกันตลอดไป

การสร้างกุศลร่วมกันนั้นดูจะเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้เราคิดว่าการมีคู่นั้นดี เพราะเป็นไปในแนวทางร่วมกันทำดี ร่วมกันเจริญ คงเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถต้านทานความดีความเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบทั้งหน้าตา ฐานะ นิสัยของคู่รัก เราจึงสร้างเหตุผลต่างๆนาๆขึ้นเมื่อเพื่อให้เราได้มีคู่อย่างมั่นใจ เต็มใจ ภาคภูมิใจ เพื่อให้เราได้เสพสมใจในความรัก ในความมั่งคั่ง ในความสมบูรณ์ตามแบบที่โลกเข้าใจ

…รักแท้นั้นคืออะไร?

รักนั้นคือความต้องการ คือตัณหา คือความอยาก ส่วนคำว่าแท้นั้นหมายถึง เที่ยง ไม่แปรเปลี่ยน ไม่แปรปรวน ไม่หวั่นไหว ความรักแท้ก็คือความรู้สึกต้องการที่ไม่หวั่นไหว ในเรื่องของคู่รักนั้นก็หมายถึงความรู้สึกที่มีต่อคู่ของตนอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

คนเรานั้นมีความพยายามที่จะทำสิ่งต่างๆเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้ายก็จะพยายามไขว่คว้าให้ได้มาเสพสมใจ คนรักก็เช่นกัน เป็นหนึ่งในเรื่องที่เราต้องพยายาม ในมุมของผู้ชายก็ต้องดูแลเอาใจ เลี้ยงดู ป้อนคำหวานให้คำสัญญา ในมุมของผู้หญิงก็คล้ายๆกันแต่ก็มักจะมีเรื่องของความงามเข้ามาเกี่ยวมากหน่อย คือต้องทำตัวให้งาม ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ว่าง่ายๆก็คือต้องพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ เพื่อที่จะให้ชายสักคนมาหลงใหลได้ปลื้ม

เราจึงพยายามเร่งและบำรุงบำเรอกิเลสของอีกฝ่ายให้ตกลงปลงใจเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ ถาวร มั่นคง ซึ่งในระยะนี้หลายคนจะเรียกว่า “ช่วงโปรโมชั่น” เป็นช่วงที่แต่ละฝ่ายจะพยายามให้ว่าที่คู่รักได้เห็นภาพที่ดีที่สวยงามของตนเอง เพื่อที่จะได้อีกฝ่ายมาเสพสมใจ ชายก็เสพหญิง หญิงก็เสพชาย เสพในตัวตนของกันและกัน

ทีนี้ช่วงโปรโมชั่นนั้นจะสั้นจะยาวก็ขึ้นอยู่กับกิเลส ถ้ากิเลสมากก็จะสั้น ถ้ากิเลสน้อยก็จะยาว ยกตัวอย่างเช่นพ่อบุญทุ่ม ที่ดูแลเทคแคร์เอาใจ เลี้ยงดูทั้งกายและใจของอีกฝ่ายหมายจะให้เขาหลงรัก ลักษณะนี้ก็มักจะเป็นแบบสั้น แต่ถ้าคบกันเป็นเพื่อนช่วยเหลือกันดูแลกันไปแบบนี้ก็มักจะยาวหน่อย

แต่เมื่อปัจจัยต่างๆได้เปลี่ยนไป เช่น เปลี่ยนจากคนที่คบหาเป็นแฟน จากที่เคยมีระยะห่างก็จับมือถือแขนกอดจูบใกล้ชิด จากที่ไม่เคยมีอะไรกันก็มีอะไรกัน จากแฟนมาเป็นสามีภรรยา จากที่เคยเต่งตึงกลับหย่อนยาน จากที่เคยมีกันสองคนก็มีคนเพิ่มมาหลายคนจากที่เคยไม่มีภาระก็มีภาระ จากที่เคยสนองกิเลสกันได้ก็เริ่มจะไม่สามารถสนองกันได้จนเต็มอิ่ม

ปัจจัยเหล่านี้เองที่จะมาทดสอบความรักแท้ คนที่อ้างนักอ้างหนาว่าตนเองมีรักแท้ รักที่ตนมีเป็นของแท้ คนที่ตนเองเลือกคือเนื้อคู่ คือคนที่ฟ้าส่งมาให้ คือคนที่จะร่วมชีวิตไปจนตาย หลังจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ “ความรัก” ยังจะสามารถคง “ความแท้” ได้หรือไม่

เราจะเห็นได้ว่าความจริงมักจะเปิดเผยหลังการเปลี่ยนแปลง ว่าความรักนั้นแท้หรือไม่แท้ เอาของปลอมมาหลอกขายเป็นของแท้หรือไม่ โดยการดูจากเหตุการณ์เหล่านี้ หลายคู่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้กัน หลายคนเปลี่ยนไปหลังจากเป็นแฟนกัน หลายคู่เปลี่ยนไปหลังจากแต่งงานกัน หลายคู่เปลี่ยนไปหลังจากมีลูกด้วยกัน หลายคู่เปลี่ยนไปหลังจากผ่านไปเป็นสิบยี่สิบปีก็มี

และหลายคู่เหล่านั้นทำได้แค่ประคองชีวิตคู่ต่อไปแบบที่ทั้งรักทั้งชัง หวานอมขมกลืน ใช้ชีวิตแบบน้ำท่วมปาก จะพูดว่าชีวิตดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่จะบอกทุกข์มันก็มีสุขร่วมด้วยอยู่บ้าง สุขทุกข์ปนกันไป ทุกข์มากหน่อย สุขนิดเดียว แต่ก็ยอมทนต่อไป บางคู่ทนไม่ได้ก็เลิกราหย่าร้างกันไป ทิ้งไว้เพียงคนที่อกหักผิดหวังกับความรัก รังเกียจความรัก ประณามความรัก

ทั้งหมดนั้นเกิดก็เพราะว่า “ความรักมันไม่แท้ตั้งแต่แรก” ไม่ใช่ว่าตอนแรกแท้แล้วตอนหลังมันไม่แท้ อันนี้มันเล่นคำ ของแท้จริงๆมันต้องไม่แปรเปลี่ยน ไม่เวียนกลับ ไม่เปลี่ยนจากรักเป็นเมินเฉย ไม่เปลี่ยนจากความต้องการเสพเป็นต้องการให้ออกไปจากชีวิต

การพิสูจน์ความรักแท้โดยรอการทดสอบจากกาลเวลาและกรรมนั้นช้าและเสี่ยง เพราะบางคู่กว่าจะรู้ตัวก็มีลูกเป็นเครื่องผูกมัดไปแล้ว หนีไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องแบกไว้แบกทั้งลูกแบกทั้งความขมขื่นที่ได้รับ เราจึงควรศึกษาวิธีพิสูจน์รักแท้ในหัวข้อต่อไป

…การสร้างกุศลร่วมกันคืออะไร?

หลายคนที่คิดจะมีคู่ก็มักจะใช้เหตุผลเรื่องของการสร้างกุศล ร่วมบุญ สร้างความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมไปด้วยกัน การที่คนเราจะเจริญไปพร้อมๆกับคู่รักได้นั้น ต้องมี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาที่เสมอกัน (สมชีวิสูตร) ความเสมอกันนี้จะทำให้ได้พบเจอกันในชาติภพต่อๆไป ชาติในที่นี้ไม่ใช่แค่ชีวิตหน้า แต่เป็นชีวิตนี้ที่จะเกิดความรู้สึกต่างๆในอนาคตต่อไป

คู่รักที่ประคองคุณสมบัติสี่ข้อนี้ให้เสมอกันได้จะทำให้ชีวิตรักเป็นไปอย่างราบรื่น ได้อยู่ด้วยกันนานตราบเท่าที่ยังเสมอกัน แต่ความเสมอกันนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ความดีเท่านั้น อาจจะหมายถึงความเลวเสมอกันก็ได้ เช่นไม่มีศรัทธาในความดีเหมือนกัน ไม่ถือศีลเหมือนกัน ไม่เสียสละเหมือนกัน ไม่มีปัญญาเหมือนกัน คู่ที่เสมอกันเหล่านี้ก็สามารถร่วมภพร่วมชาติกันสร้างบาป เวร ภัยไปได้กันทุกภพทุกชาติเช่นกัน

ดังเป้าหมายของเราที่ตั้งไว้ว่าเราจะครองคู่กันเพื่อร่วมกันสร้างกุศล ร่วมบุญ สร้างความเจริญต่างๆ เราจึงไม่มีทางที่จะเลือกวิธีที่ทำให้ชีวิตตกต่ำอย่างแน่นอน เช่นเดียวกันกับคำว่าการสร้างกุศลนั้นคือการเพิ่มความดี นั่นหมายถึงเราต้องพากันทำดี เร่งทำความดีและจะไม่หยุดอยู่ที่เดิมแล้วใช้ชีวิตเสพสุขไปวันๆอย่างแน่นอน

การสร้างกุศลร่วมกันนั้นหมายถึงการยกระดับศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ไปด้วยกันกับคู่รัก ในบทนี้จะขอยกตัวอย่างในกรณีของศีลเพราะเห็นภาพได้ชัดเจน

ความเจริญของคนนั้นเริ่มต้นจากการมีศีล มีศีลก็มีธรรม มีศีลก็มีปัญญา จริงๆแล้วทั้งสี่ข้อนี้ไม่ได้แยกกันแต่เชื่อมโยงกันร้อยเรียงผูกพันกันอย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อหยิบยกข้อใดข้อหนึ่งมาอธิบาย ก็สามารถขยายไปถึงข้ออื่นๆได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราตั้งใจจะยกระดับการทำกุศลของชีวิตคู่ เราจึงตัดสินใจถือศีลในข้อที่ละเว้นการเบียดเบียนสัตว์อื่น เราจึงเลือกที่จะกินมังสวิรัติ การเลือกที่จะถือศีลนี้ต้องมีศรัทธา และมีความเสียสละความอยากเพื่อละเว้นการเบียดเบียน รวมถึงมีปัญญาที่จะทำให้การถือศีลเป็นไปในแนวทางที่พาพ้นทุกข์ได้

เมื่อเราถือศีลดังนี้ ก็จะเป็นกุศล เป็นความดีในชีวิตเรา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคู่ของเราจะสามารถถือศีลตามได้ด้วย เช่นเรากินมังสวิรัติ แต่เขากลับยินดีในการกินเนื้อสัตว์ ไม่ยินดีจะเป็นมังสวิรัติ เท่านี้ศีลก็เริ่มไม่เสมอกันแล้ว เพราะศรัทธาไม่เสมอ จาคะไม่เสมอ และปัญญาไม่เสมอ จึงไม่ยินดีที่จะถือศีลร่วมกัน

เมื่อเกิดความเหลื่อมล้ำขององค์ประกอบทั้งสี่ข้อนี้แล้ว ก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตคู่เกิดขึ้น เหมือนเทวดากับมารอยู่ด้วยกัน วิธีที่จะทำให้กลับมาเป็นคู่กันแบบปกติมีสองทาง ทางหนึ่งคือทำให้เป็นเทวดาทั้งคู่ ทางที่สองคือกลับไปเป็นมารเหมือนกันทั้งคู่

แต่ในเมื่อเราบอกว่าเรามีคู่เพื่อทำกุศลไปร่วมกัน เพื่อความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมไปด้วยกัน หากคำตอบของเราที่ว่าจะยอมลดศีลไปเพื่อให้ชีวิตได้เคียงคู่กันอย่างปกตินั้น ก็สามารถเป็นเหตุผลได้แล้วว่าจริงๆเราไม่ได้อยากมีคู่เพราะจะทำกุศลร่วมกันหรอก เราแค่อยากมีคู่เฉยๆและอยากมีเพื่ออะไรก็มีกิเลสมากมายมารองรับในผลนี้ ส่วนการทำกุศลนั้นก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างให้เราได้เสพคู่อย่างดูมีเหตุมีผลเท่านั้นเอง

คนที่มีปัญญาก็จะไม่รีบแต่งงาน จะดูกันไปคบกันไป เพิ่มอธิศีล คือกระทำศีลให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ดูว่าคนที่เราเรียกว่าเนื้อคู่นั้นจะตามศีลเราไหวไหม เขามีอินทรีย์พละมากพอไหม เขามั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไหม ถ้าเรายกระดับศีลเรื่อยๆแล้วเขาตามไม่ทัน นั่นไม่ใช่เนื้อคู่ของเราอย่างแน่นอน เพราะถ้าเราสามารถถือศีล ปฏิบัติศีลยากๆได้ แต่เขาทำไม่ได้ ก็คือศีลไม่เสมอกัน ดังนั้น ศรัทธา จาคะ ปัญญา ก็จึงไม่เสมอกัน คนที่มีบุญบารมีไม่พอเหมาะกับเราก็ไม่มีทางเป็นเนื้อคู่เราได้อย่างแน่นอน

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ศีลจะเป็นสิ่งที่ทดสอบความแท้ของคน ทดสอบบุญบารมีของคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะสนใจทดสอบคู่ของตน ในทางกลับกันก็ยังยอมยินดีลดศีลของตนเพื่อให้ตัวเองได้มีคู่อีกด้วย เช่นบางคนกินมังสวิรัติได้ แต่เพื่อให้ได้มีสามีหรือภรรยาเป็นตัวเป็นตน ก็ยอมเลิกกินมังสวิรัติกลับไปกินเนื้อสัตว์เพราะคู่คนนั้นเขาไม่กินมังสวิรัติ ความจริงที่เกิดในโลกมันก็แบบนี้ ใครจะยอมเพิ่มศีลเพื่อคัดคนที่ตัวเองหลงออกจากชีวิตได้ เวลาคนหลงแล้วธรรมะก็ไม่เกิด กิเลสมันชั่วแบบนี้เพราะมันทำให้เราทิ้งศีลธรรม ยอมลดคุณงามความดีกลับไปชั่วเพื่อไปเสพให้สมใจตามที่กิเลสต้องการ

…ความสุขในการมีคู่คืออะไร?

การที่เราไปมีคู่นั้น ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากความหลงสุข หลงว่ามีคู่แล้วจะเป็นสุข หลงว่าชีวิตสมบูรณ์แล้วจะเป็นสุข ถ้าถามว่าความสุขของการมีคู่คืออะไรก็มักจะได้คำตอบแบบอุดมคติว่าอยู่ด้วยกัน ดูแลกัน พึ่งพากัน ฯลฯ ซึ่งจริงๆความสุขเหล่านี้มีอยู่แล้วในครอบครัว ในพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มิตรสหาย เราสามารถใช้คำเหล่านี้ได้กับคนใกล้ตัวของเราทุกคน

สิ่งเดียวที่ต่างออกไปจากสิ่งที่ได้รับจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มิตรสหายก็คือการสมสู่หรือเซ็กส์ (sex)…เรามักจะปิดบังความจริงไว้ใต้เหตุผลสวยหรูต่างๆให้ดูว่าความรักของตนนั้นสวยงามเลิศเลอและสูงค่า แต่สุดท้ายก็มาติดตรงเรื่องเซ็กส์ เรื่องการสมสู่ เป็นเรื่องลับๆที่ไม่มีใครเคยบอกกล่าว ว่าจริงๆแล้วฉันมีคู่และฉันแต่งงานก็เพราะอยากมีเซ็กส์นี่แหละ เรื่องเซ็กส์จึงเป็นเหมือนคลื่นใต้น้ำ เป็นปัญหาที่หลายคนสงสัยว่าทำไมหลายคนหลายคู่จึงทะเลาะเลิกรากัน หรือจนกระทั่งมีปัญหา ชู้ กิ๊ก เมียน้อย ฯลฯ เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มักจะมีเรื่องเซ็กส์เป็นเบื้องหลังเสมอ

โดยปกติแล้วเรามักจะไม่ยอมรับในเรื่องเซ็กส์หรอก มันเป็นกิเลสที่เก็บไว้ลึกๆ เก็บไว้สนองกันในคู่ของตน ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเพราะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เราสามารถเห็นภาพสะท้อนได้จากสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น มีการผลิตยาปลุกเซ็กส์ หรือยาที่ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว หรือเมื่อมีกระแสสมุนไพรกระชับช่องคลอดหรือทำให้หน้าอกใหญ่ก็มีแต่คนตามหา ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นเป็นตลาดที่มีการเจริญเติบโตอย่างลับๆแม้ว่าจะไม่เปิดเผย แต่ก็มี supply & demand มากจนสังเกตได้ถึงขนาดที่ว่าในยุคสมัยนี้มีการศัลยกรรมเพื่อให้มีหน้าอกใหญ่กลายเป็นเรื่องปกติ หรือมีดารานักน้องที่แต่งตัวโป๊ เต้นด้วยท่าเต้นที่ยั่วยวนจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามากเกินไปจนอุจาดตา ซึ่งเป็นเจตนาที่ชัดเจนในการกระตุ้นทางเพศ

ถ้าเราสามารถตัดเรื่องเพศ เรื่องการสมสู่ออกไปจากชีวิตคู่ได้ เราจะไม่รีบแต่งงาน เราจะไม่มีรู้สึกว่าต้องการ การกอด การจูบ หรือแม้แต่การถูกเนื้อต้องตัวกัน ไม่รีบเสียตัวให้กันและกันเพียงเพราะความใคร่อยาก เราจะคบกันไปเรื่อยๆ ดูกันไปเรื่อยๆ เพราะหวังคบกันอย่างเพื่อนชีวิต เมื่อเซ็กส์ไม่ใช่คำตอบในชีวิต การแต่งงานหรือการคบหาในลักษณะแฟนก็ไม่ใช่คำตอบในชีวิตเช่นกัน คนที่รักกันอย่างจริงใจจะไม่รีบหรือผูกมัดกันและกันด้วยการสมสู่หรือการแต่งงาน

นอกจากเรื่องการสมสู่แล้วคนทั่วไปก็ยังคบหากันด้วยผลประโยชน์ต่างๆ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ในเรื่องลาภก็คบกันเพราะเขามีเงิน เพราะเขารวย มีกำลังปรนเปรอกิเลสของเรา เราจึงมีความสุข ในเรื่องยศเพราะเขามีหน้าที่มีตำแหน่งมีอำนาจเราจึงเสพสุขด้วยผลพวงแห่งอำนาจของเขา ในเรื่องสรรเสริญเพราะเขาเป็นคนที่ได้รับความนิยม เป็นคนที่สังคมยอมรับเราจึงพลอยหลงใหลได้ปลื้มไปกับเขาด้วย ในเรื่องโลกียสุขคือเราได้เขามาปรนเปรอกิเลสต่างๆ มาดูแลเอาใจ มาบำรุงกาม มาบำเรออัตตาของเรา เราจึงเป็นสุขและหลงในสุขเหล่านั้น

มีหลายต่อหลายคู่ที่คบหากันด้วยผลประโยชน์ทางโลกเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรความสุขของคนมีกิเลสก็หนีไม่พ้นอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา แม้จะมีเหตุผลมากมายที่ยอมรับได้ในทางโลกแค่ไหน ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่สวยหรูที่ใช้กันในสังคมอุดมกิเลส เพื่อที่จะทำให้การเสพกิเลสเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เป็นเรื่องปกติ เช่น ถึงคนคนนี้จะดีแสนดีแค่ไหนแต่ถ้าจนฉันก็ไม่แต่งงานด้วยถึงแม้เขาจะเป็นคนดีแต่ถ้าเลี้ยงดูบำรุงบำเรอกิเลสฉันไม่ได้ก็ไร้ค่าและสังคมอุดมกิเลสก็จะเออออตามไปด้วย ในทางตรงกันข้ามถึงแม้คนคนนี้จะเลวทรามแค่ไหนแต่ถ้ารวยฉันก็ยอมได้ฉันพร้อมจะหาข้อดีของเขาแม้จะยากปานงมเข็มในมหาสมุทรก็จะหาและสังคมอุดมกิเลสก็จะเออออตามไปด้วย เหล่านี้เองเรียกว่าการเสพสุขทางโลกซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปในสังคม มีให้เห็นกันเป็นประจำตามข่าวสารประจำวัน

ในความเจริญสูงสุดตามหลักการของพุทธ สุดท้ายคู่รักก็จะกลายเป็นเสมือนญาติคนหนึ่ง เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ไม่มีเซ็กส์ ไม่มีการกอดจูบลูบคลำ ไม่มีการสนองกิเลสใดๆแก่กันและกัน สรุปแล้วก็เหมือนได้ญาติเพิ่มมาคนหนึ่ง แล้วจะเอาเขามาเพิ่มทำไมในเมื่อจริงๆแล้วเราก็มีญาติพี่น้องมิตรสหายให้ดูแลมากอยู่แล้ว

คนที่อยากจะรักใคร ดูแลใครสักคนตราบชั่วชีวิตจริงๆ มีรักแท้จริงๆ เขาจะไม่ไปหาคู่ให้เสียเวลาหรอก เพราะเขามีพ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนมิตรสหายที่พร้อมจะให้เขาดูแลอยู่ตั้งมากมายแล้ว ทำไมยังต้องเอาคนที่ไม่รู้จักกันเข้ามาในชีวิตเพียงเพราะอยากเสพกิเลสบางอย่างแค่นั้นเอง

การเพิ่มใครสักคนเข้ามาในชีวิตจะทำให้เราเสียเวลาในการดูแลคนสำคัญในชีวิตไปเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เรามีแฟนเพิ่มมาหนึ่งคนก็ลดเวลาที่เราจะพูดคุยและดูแลพ่อแม่ไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเรามีแต่งงานมีลูกเราก็แทบจะไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่เลย นี่หรือสิ่งที่เราเรียกว่าความรัก นี่หรือคือสิ่งที่เราตอบแทนคนที่รักเรามากที่สุด กับคนที่ห่วงใยเรามาทั้งชีวิตเรายังให้ค่า ให้ความสำคัญไม่เท่าใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาในชีวิตเรา เพียงเพราะเขามาบำเรอสุขให้เรา เพียงเพราะต้องการสมสู่ เพียงเพราะแค่อยากมีลูก จึงทำให้เราเห็นแก่ตัวเอาความสุขนั้นไว้คนเดียวแล้วทิ้งให้คนที่รักเรารอคอยอย่างเดียวดายหรือ

ความสุขในการมีคู่ของคนมีกิเลสก็จะเยอะแยะมากมายไปหมด ให้พูดกันทั้งวันก็ไม่จบ มีหลักฐานมีที่อ้างตามแต่กิเลสจะพาไป แต่ถ้าได้ลองล้างกิเลสกันดูจะพบว่ามันไม่เห็นว่าจะมีความสุขตรงไหน คบกันเป็นเพื่อนก็ได้ เป็นคู่กันไปก็มีแต่ภาระ พาชั่ว พาจน ยากนักที่จะพาให้เจริญในศีลในธรรมร่วมกัน แต่การพากันเสพกิเลสไม่ว่าจะเรื่องอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตานั้นเป็นเรื่องง่ายสุดง่าย

แต่ก็อย่างว่า ขึ้นชื่อว่าคนมีกิเลสก็คือคนที่หลงมัวเมาในสุขลวง หลงมัวเมาในเรื่องโลก ไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นกุศลอกุศลได้ ไม่สามารถแยกแยะความดีความชั่วจริงๆได้ ก็จะวนเวียนต่อไปในเรื่องคู่เพราะหลงว่าเป็นสุข มีความสุข สามารถบำเรอสุขให้ตนได้ ที่จริงแล้วมันก็กิเลสแท้ๆ กิเลสบริสุทธิ์ เป็นทุกข์แท้ๆ เพราะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เพียงแค่ได้สุขลวงมาเสพ ก็ยินยอมที่จะทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์

– – – – – – – – – – – – – – –

24.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร

December 1, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,164 views 0

เนื้อคู่...อยากรู้ว่าใคร

เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร

ถ้าพูดกันถึงเรื่องความรักก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเนื้อคู่ โดยเฉพาะคนโสดที่ยังเฝ้าฝัน เฝ้าใฝ่หาใครสักคนมาครองคู่ซึ่งเรามักจะเรียกคนนั้นว่า “เนื้อคู่” เรามักจะเข้าใจคำว่าเนื้อคู่ไปในเชิงอุดมคติ ฟังดูโรแมนติก เหมือนเรื่องในนิยาย พาให้ฝันหวาน พาให้เคลิ้มไป ทั้งๆที่เนื้อคู่นั่นแหละคือ “ตัวเวรตัวกรรม” ของจริงเลย

ในบทความนี้เราจะมาตอบคำถามในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องของเนื้อคู่ในบทของคู่รัก โดยรวบรวมมาทั้งหมด 13 หัวข้อ ซึ่งจะค่อยๆตอบคำถามคลายความสงสัยเกี่ยวกับเนื้อคู่ไปตามลำดับ

1).เนื้อคู่อยากรู้ไปทำไม?

คงจะสงสัยว่ามันมีจริงไหม ที่เขาว่ากันว่าคนเรามีเนื้อคู่ คนที่มีครอบครัวหรือมีคนรักแล้วส่วนใหญ่ก็คงจะไม่สงสัยเพราะได้เจออยู่ตรงหน้าแต่ส่วนจะคิดว่าใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่อง คนที่อยากรู้เรื่องเนื้อคู่โดยมากจะเป็นคนโสดหรือคนอกหักที่ผิดหวังกับความรักมา

จริงๆแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องเนื้อคู่ไปทำไม เพราะถึงรู้ไปแต่ไม่เจอมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี หรือถึงจะเข้ามาในชีวิตแต่เราไม่ยินดีหรือไม่ประทับใจมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี เนื้อคู่จึงกลายเป็นวิมานบนฟ้าที่จับต้องไม่ได้เป็นเหมือนภาพสวยๆเอาไว้ปลอบใจคนให้เฝ้าฝันว่าสิ่งที่ค้นหานั้นมีอยู่จริงสักวันคงจะเจอ

ก่อนจะอ่านต่อไปก็ให้ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราอยากจะรู้เรื่องนี้ไปทำไม รู้แล้วมันมีประโยชน์อะไร รู้ไปแล้วมันมีความสุขขึ้นไหม หรือยิ่งรู้ยิ่งทุกข์

2).เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร?

การที่เราจะไปอยากรู้ว่าเป็นใคร คนไหน ทำอะไร มาเมื่อไร เรามักจะใช้ช่องทางที่ผิด คือไปดูดวง ไปดูหมอ ไปฟังการทำนายต่างๆ ซึ่งส่วนมากก็จะไม่ตรงและเป็นโทษ

เพราะทำให้เราหลงสะกดจิตตัวเองเข้าไปในภพหรือในความคาดหวังตามลักษณะที่เขาระบุเข้าให้แล้ว เมื่อเจอคนที่ตรงตามลักษณะก็อาจจะทำให้หลงไปเองทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแต่กิเลสนั้นพาให้เราเข้าไปเกี่ยวเอง

การจะรู้ได้ว่าเนื้อคู่เป็นใครนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อพบแล้ว เจอแล้ว หลงแล้ว รักแล้ว ทุกข์แล้ว คือพอเจอแล้วสุขแล้วทุกข์ หนีเท่าไรก็หนีไม่ได้ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็เล่นเอาหลงแทบตายหรือไม่ก็ไปตาสว่างตอนแต่งงานแล้ว คนที่อยู่กับเราใกล้ชิดกับเราแล้วทำให้เกิดทุกข์สุขนั่นแหละเนื้อคู่ เป็นคู่เวรคู่กรรม เป็นตัวเวรตัวกรรมที่เกิดมาสร้างบุญสร้างบาปร่วมกับเรา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางสร้างบาป

3).เนื้อคู่จะพบเจอได้อย่างไร?

การพบเนื้อคู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดที่ต้องเดินทางไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนให้มันลำบาก ถ้าไม่มีกรรมร่วมกันขอให้ตายก็ไม่มีวันเจอ จะบินไปอ้อนวอนบนบานเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วโลกก็ไม่มีทางได้พบ เพราะเนื้อคู่เป็นเรื่องของบุญและกรรม

ผู้คนมักเฝ้ารอคอยว่าเนื้อคู่จะเป็นใคร มาถึงเมื่อไหร่ เขาจะเป็นอย่างไร เฝ้าตามหา เฝ้ามองหาซึ่งจริงๆแล้วเรื่องเนื้อคู่มันง่ายกว่านั้น ง่ายจนไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ พอถึงเวลาเขาก็มาเคาะประตูหน้าบ้านเอง หรือไม่ก็จะมีอะไรบางอย่างดลให้ได้พบเจอ ได้ผูกพัน ได้ใกล้ชิด ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยไม่จำเป็นต้องไปวอนขอกับใครที่ไหน

การวอนขอหรือตั้งจิตขอนั้น แท้จริงเป็นการเบิกบุญกุศลของตัวเองนำสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาออกมาใช้ นั่นหมายถึงถ้าเราเคยทำกรรมเรื่องคู่ไว้ เราก็อาจจะได้เจอก็ได้ แต่ถ้าเราไม่เคยเกื้อกูลใครไว้ ไม่เคยทำดีหรือทำชั่วกับใครไว้ก็ยากที่จะดึงใครเข้ามาในชีวิตเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วหากเราเบิกกุศลที่ตัวเองเคยทำมามันจะไม่ได้ทันที ฟ้าหรือกรรมจะแกล้งไม่ให้เรารับผลที่เราอยากได้ในทันที เรามีกรรมที่จะมีคู่จริงนะแต่โอกาสนั้นมันจะยังไม่เป็นของเรา เพราะเราอยากมีด้วยความอยากซึ่งเป็นกิเลส พอเป็นกิเลสกรรมก็จะดึงอกุศลเข้ามาร่วมด้วย ทำให้เราต้องพบกับทุกข์ทรมานทางจิตใจ เหมือนจะได้เหมือนจะไม่ได้อยู่นั่น ผลสุดท้ายแล้วจะได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับบุญและกรรมที่เรามีและเคยมีร่วมกัน

4).เนื้อคู่ถ้าเจอแล้วจะมีลักษณะอย่างไร?

ลักษณะหรืออาการเวลาที่เจอกับเนื้อคู่นั้น มักจะมีอาการพิเศษแตกต่างจากคนอื่นจนรู้สึกได้ การได้พบเจอนั้นไม่ได้หมายว่าต้องตอนนั้นหรือในเวลานั้นทันที อาจจะต้องรอไปจนถึงเวลาที่เหมาะสม เวลาที่กรรมจะเขียนบทให้ได้มีความสัมพันธ์ร่วมกัน

เมื่อเจอแล้วจะพบว่ามีความรู้สึกดูดดึงแปลกๆ จะดูดตลอดเวลา จะผลักก็ไม่ได้ ถึงจะพยายามผลักไสเขาออกจากชีวิตแต่เดี๋ยวก็จะวนกลับมา จะมีเหตุให้ต้องกลับมาคบหากันอีกเรียกได้ว่าถึงไล่ก็ไม่ไป เพราะส่วนหนึ่งคือเราก็จะไปหลงเขาเองอีกส่วนหนึ่งคือกรรมมันผูกกันมาด้วย

เนื้อคู่ที่เคยร่วมภพร่วมชาติกันมานั้นจะมีลักษณะที่เห็นได้เด่นชัดคือทั้งดูดทั้งผลัก ทั้งรักทั้งชัง คือมีทั้งดีและร้ายซึ่งเป็นกรรมของคนที่เคยปฏิบัติดีและปฏิบัติไม่ดีต่อกันมาก่อน เป็นผลกรรมที่เคยร่วมชาติกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดใดๆในชาติก่อนๆเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา ญาติ ลูกน้อง ศัตรู ก็สามารถที่จะวนกลับมาเป็นเนื้อคู่ของเราได้ เพราะมีกรรมที่ผูกพันกัน

เราสามารถดูลักษณะได้จากการคบหาว่าเคยมีกรรมแบบใดกันมา เช่น ถ้าคบหาแล้วสร้างแต่ทุกข์ เอาแต่พลาญเงินทอง ทำลายชื่อเสียงนั่นแหละกรรมเขาดึงศัตรูมาให้เป็นคู่ แต่มันจะออกไม่ได้นะมันจะรักจะหลงเขาไปจนหมดกรรมนั่นแหละ หรือถ้าเป็นแม่กันมาก็จะคบกันแล้วมีลักษณะคล้ายแม่กับลูก มีคนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็กและทั้งคู่ก็ยินยอมให้เกิดสภาพนั้นด้วยนะ ส่วนถ้าเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนก็มักจะเสมอกันจะมีอาการดูดผลักรักชังกันอย่างชัดเจน เพราะเคยรักกันทะเลาะกันมาก่อน ชาตินี้ก็เลยต้องมารับกรรมเดิมต่อ

การพบเจอใครสักคนแล้วหลงรักหลงชอบไม่ได้หมายความว่าเป็นเนื้อคู่เสมอไป แต่อาจจะเป็นเพราะกิเลสเราทำให้เราคิดจินตนาการไปเอง เช่นเราชอบคนหน้าตาแบบนี้พอวันหนึ่งไปเจอคนแบบนี้แล้วได้ใกล้ชิดเราก็หลงไปว่าเป็นเนื้อคู่ อันนี้เราคิดไปเองเพราะกิเลสเราสั่งให้เราพยายามที่จะไขว่คว้าในสิ่งที่เราหลงชอบ

เนื้อคู่จริงๆนั้นมันจะมาแบบทะลุสติ จะกันไม่อยู่ ถึงจะมีสติมากเก่งกล้าเพียงใดแต่จะทะลุกำแพงที่ป้องกันไว้ทั้งหมด เพราะกรรมนั้นทะลุทุกสิ่ง กรรมจะดลให้ต้องพบ ต้องเจอ ต้องหลง ต้องรัก ต้องทุกข์ทรมานเศร้าโศกเสียใจคร่ำครวญรำพัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีทดสอบดูว่าเนื้อคู่จริงหรือไม่ก็ให้ล้างกิเลสของเราให้ได้ก่อนจึงจะเห็นได้อย่างแท้จริงว่าคนที่เรารู้สึกดูดดึงนั้นมาจากกิเลส หรือมาจากกรรมเก่าจัดฉากให้เราต้องรับกรรมนั้น

5).เนื้อคู่มีแล้วได้อะไร?

เราอาจจะไม่เคยคิดไปว่ามีเนื้อคู่ไปแล้วได้อะไร มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนในชีวิตแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น เราต้องการเพียงแค่คนแก้เหงา คนดูแล คนปรนเปรอเรื่องการสมสู่การมีลูก หรือสิ่งที่เรียกว่าการสร้างครอบครัวเท่านั้นหรือ

น้ำหนักโดยส่วนมากของการมีคู่จะหนักไปในทางการสมสู่หรือการมี sex ด้วยซ้ำ คนจะเข้ามาหากันส่วนหนึ่งก็เพราะดึงดูดทางเพศ คนจะเบื่อหน่ายกันทะเลาะกันส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาเรื่องการสมสู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ยอมรับแต่กลับเป็นเรื่องจริงที่ทรงอิทธิพลต่อการมีคู่ มีสักคู่ไหมที่คบหากันแต่งงานกันแล้วมีการสมสู่เพียงแค่ต้องการมีลูก โดยมากก็สมสู่ด้วยความอยาก ด้วยกามราคะ ด้วยกามตัณหา ด้วยความใคร่อยากเสพกันทั้งนั้นซึ่งจริงๆแล้วการมีคู่คือการเอาคู่มาปรนเปรอกิเลสตัวเองโดยใช้คำว่าธรรมชาติ การแต่งงาน ความสมบูรณ์ของชีวิตเป็นคำที่ดูเหมือนจะดูดีมาปิดปังกิเลสไว้

อีกเหตุผลหนึ่งคือการมีครอบครัว อยากมีลูก อยากมีใครให้ดูแล แล้วที่มีอยู่มันไม่พอดูแลหรืออย่างไร พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรที่เคยเกื้อกูลเรามาตั้งแต่เด็ก คนเหล่านี้ไม่เรียกว่าครอบครัวหรืออย่างไร ทั้งที่จริงครอบครัวของคนส่วนใหญ่นั้นก็สมบูรณ์อยู่แล้วไม่ต้องไปหาเพิ่มแล้ว เพียงแค่กลับมาดูแลผู้มีพระคุณก็ประเสริฐมากแล้ว

แต่กลับไปแยกครอบครัวสร้างครอบครัวใหม่ เพิ่มภาระให้ตัวเองลดเวลาในการที่จะดูแลพ่อแม่ลง มันเป็นสิ่งที่สมควรจริงหรือ เป็นสิ่งดีงามจริงหรือ แม้จะดูเหมือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องขยายพันธุ์แล้วมันดีจริงหรือ ถ้าดีจริงทำไมพระพุทธเจ้าให้อยู่เป็นโสด ให้งดสมสู่ ให้ออกบวชเพื่อพ้นจากเพศฆราวาส ทั้งหมดก็เพื่อการพ้นทุกข์ นั่นหมายถึงว่าการสร้างครอบครัวใหม่ การสมสู่ การมีลูก เป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกข์อยู่นั่นเอง

เรามีคู่เพียงแค่ต้องการเสพเรื่องสมสู่ อยากมีคนดูแลเอาใจใส่ อยากมีลูก อยากรู้สึกมีความมั่นคงในชีวิต มันคุ้มแล้วจริงหรือที่จะได้สิ่งเหล่านี้มาครอบครองโดยแลกกับทุกข์ชั่วนิรันดร์

6).เนื้อคู่ของขวัญจากฟ้าจริงหรือ?

คำว่าเนื้อคู่นั้นถ้าได้ฟังแล้วก็เหมือนสิ่งดีสิ่งพิเศษที่ฟ้าส่งมาให้ แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ดลบันดาลให้เราเจอเนื้อคู่ก็คือกรรมของเราเองและเนื้อคู่นั้นก็คือคู่กรรมของเราเองคู่ที่สร้างกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วที่สร้างร่วมกันมาก็ต้องมารับต่อ

ดังนั้นเนื้อคู่จึงไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะคนที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันมาก็ต้องมีทั้งเรื่องดีและร้ายเราก็ต้องมารับทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ซึ่งกรรมดีเหล่านั้นก็มักจะให้ผลเป็นสุข ส่วนกรรมชั่วก็จะพาให้ทุกข์ จึงต้องเจอทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป

ทีนี้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะรับทั้งสุขและทุกข์เพราะเข้าใจว่ามันเท่าๆกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่เท่ากันเพราะการอยากมีคู่นั้นเป็นกิเลส เรื่องราวในชีวิตของคนคู่ไม่ว่าจะเป็นการสมสู่ การมีลูก การพากันเสพสุขต่างๆ ปัญหาในครอบครัวล้วนแต่เป็นเรื่องที่พาให้เพิ่มกิเลส พอเพิ่มกิเลสมันก็เพิ่มทุกข์ แรกๆมันจะสุขเพราะได้เสพแต่หลังๆมันจะทุกข์สุดทุกข์ ทุกข์แต่ก็ออกไม่ได้บอกใครไม่ได้เพราะหลงติดสุขลวงเล็กๆที่กิเลสหลอกให้สุขน้อยทุกข์มากอยู่ร่ำไป

ดังนั้นเนื้อคู่คือของขวัญจากฟ้าหรือสิ่งดีคงจะตอบได้ว่าไม่ใช่ เป็นแค่เพียงกรรมเก่าของเรา เราดีทำมามากกว่าชั่วเราก็รับดีมากกว่า เราทำชั่วมากกว่าดีเราก็รับชั่วมากกว่า แต่สุดท้ายถ้าเรารับเนื้อคู่คนนั้นเขามาในชีวิตเราก็จะสะสมเรื่องชั่วไปเรื่อย เพราะเรื่องดีที่สุดคือปล่อยเนื้อคู่คนนั้นไปตามกรรมของเขาเสีย

7).เนื้อคู่คือสุดท้ายของชีวิตคู่

หลายคนเข้าใจว่าเนื้อคู่คือที่สุดของชีวิต คือสุดท้ายของชีวิต คือบทจบอย่างสวยงามของชีวิต ก่อนจะเข้าเรื่องก็ถามกันก่อนว่าจนป่านนี้แล้วเจอเนื้อคู่มากี่คนแล้ว มีแฟนคบหาดูใจกันมากี่คนแล้ว แล้วมันสุขไหม มันจบไหม ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นแต่อาจจะมีกรรมไม่แรงพอจะดลให้แต่งงานก็ได้

คนที่ได้แต่งงานก็หลงไปว่าแต่งงานครั้งสุดท้ายในชีวิต ชีวิตจะจบสวยงามเหมือนในนิทานในหนังที่ตัดจบอวสานไปตอนที่พระเอกนางเอกตกลงครองรักกัน แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหลายคู่คบกันไม่นานก็ต้องหย่าร้างกัน หลายคู่มีลูกด้วยกันหลายคนแล้วก็ยังมีปัญหาชู้สาว คบหากันมาเป็นสิบยี่สิบปีสุดท้ายเลิกรากันก็มีให้เห็นอยู่มาก

ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นนะ ตอนแต่งงานไม่เห็นมีสักคนที่คิดว่ารักฉันจะล่มในวันใดวันหนึ่ง คิดแค่ว่าคนนี้แหละคู่ฉันคนสุดท้ายของฉัน เขาทั้งคู่คิดอย่างนั้นจริงๆนะ แต่สุดท้ายมันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ คือกิเลสมันไม่เที่ยง มันเพิ่มได้ พอเราเสพสมใจในคู่ตัวเองแล้วเบื่อ แต่กิเลสยังมีฤทธิ์แรงอยู่ก็จะผลักดันให้ไปหากินนอกบ้านไปสมสู่คนอื่นไปมีชู้ไปมีคู่ใหม่ อาการเหล่านี้เป็นได้ทั้งชายและหญิงเพราะกิเลสไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ

ปัญหาเรื่องการสมสู่ที่ไม่เป็นไปดังใจหวังนับเป็นปัญหาระดับโลกของการมีคู่ เพราะต้องคอยสนองกิเลสให้คู่ของตนบำรุงบำเรอกาม หากไม่บำเรอกามคู่ของตนก็อาจจะมีปัญหาภายในบ้าน และสุดท้ายก็ต้องพบปัญหาเพราะเราไม่สามารถสนองกิเลสใครได้ตลอดเวลาและตลอดไป ไม่ว่าอายุมากแค่ไหนแต่ถ้ากิเลสไม่ดับกามเมถุนก็ไม่ดับ ความอยากสมสู่ไม่มีวันดับไปด้วยการเสพสมใจแต่จะดับไปได้ด้วยการพิจารณาธรรมให้ถูกตัวกิเลส

ดังนั้นการจะบอกว่าเนื้อคู่เป็นที่สุดของชีวิตนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันก็คงจะไม่ใช่คำที่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด

8).เนื้อคู่ที่ใช่ในวันที่ไม่ใช่

คนที่เข้ามาในวันเวลาที่ไม่สมควร ไม่เป็นกุศลเป็นข้าศึกต่อศีล ไม่ใช่เนื้อคู่ที่มาดีแน่ ผู้ที่เข้ามาและพาให้ผิดศีลผิดธรรมนั้นเป็นคู่บาปอย่างแน่นอน เพราะคู่บุญนั้นแม้ว่าจะมีอาการดูดดึงต่อกันก็จะมีความรู้สึกผิดและเกรงกลัวต่อบาปหรือที่เรียกว่ามี “หิริโอตัปปะ

สมควรแล้วหรือที่เราจะต้อนรับคู่บาปเข้ามาในชีวิต จะดีจริงหรือที่เราจะเปิดโอกาสให้เขาทำบาปกับเรา ถ้าเราตัดใจเสียก็ไม่ต้องก่อเวรก่อบาปซ้ำซ้อนไปอีก คนที่เข้ามานั้นเขาเพียงแค่เข้ามาเพื่อทดสอบความมั่นคงของเรา ทดสอบศีลธรรมของเราว่าเรานั้นยังควรคู่กับคำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐอยู่หรือไม่

9).เนื้อคู่กับการจองเวรข้ามภพข้ามชาติ

การมีเนื้อคู่นั้นหมายถึงการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพชาติ ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจก็ตามแต่ผลมันจะเป็นไปตามกรรมที่ทำเช่น ชาตินี้เรามีแฟนผูกพันกัน ทำดีต่อกันเราก็ยึดดี พอทำไม่ดีต่อกันเราก็ผูกโกรธพยาบาท ทั้งดีทั้งร้ายนี้เราก็ต้องมารับผลกรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะจองเวรจองกรรมในด้านดีหรือร้ายก็ตาม เราก็ต้องตามไปรับผลนั้นด้วย นั่นหมายถึงว่าชาตินี้คือตัวกำหนดภพหรือสภาพที่จะต้องเจอของชาติหน้าหรือเหตุการณ์หน้า นั่นอาจจะหมายถึงคู่คนถัดไปในชาตินี้หรือจะทะลุไปยังชีวิตหน้าก็ได้

เมื่อเห็นอนาคตดังนั้นจึงย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน สภาพของปัจจุบันที่เราเจอนั้นเกิดจากกรรมในอดีต เกิดจากการจองเวรจองกรรมในอดีต ทุกคนทุกคู่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราทั้งสมหวังทั้งผิดหวังคือเนื้อคู่ที่จองเวรจองกรรมกันมา แล้วแต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน ถ้าเวรกรรมน้อยก็แค่ทนทุกข์ในขณะคบหาเป็นแฟน แต่ถ้าเวรกรรมมันมากก็ต้องแต่งงานไปชดใช้กรรมร่วมกัน จะหนีก็หนีไม่ได้นะ ยิ่งถ้าไม่ได้ล้างกิเลสนี่ยิ่งไปกันใหญ่นอกจากกรรมเก่าจะไม่ได้ชดใช้จนหมดแล้วยังสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกผูกภพผูกชาติกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมต่อกันไปในชาติหน้าอีก

โดยทั่วไปคนอาจจะมองว่าดีจัง มีคนผูกไปทุกชาติ ลองไปถามคนที่ทุกข์เพราะรัก และรักแล้วยังทนทุกข์หรือคนที่ชีวิตพังเพราะรักว่าให้เจอแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม ให้สุขน้อยทุกข์มากแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม พอคนรู้แล้วว่าสุขน้อยทุกข์มากก็จะไม่มีใครเอาเพราะเขารู้ความจริง

ทีนี้คนที่หลงไปกับโลกหลงไปกับสื่อที่โลกลวงในเรื่องของเนื้อคู่ คนรัก แฟน ครอบครัวว่าถ้ามีแล้วจะมีความสุขมีแล้วชีวิตจะสมบูรณ์ก็คือคนที่ยังไม่เห็นทุกข์ ดังนั้นเลยต้องไปลองทุกข์ให้เห็นก่อนจึงจะเข้าใจ ส่วนคนที่มีปัญญาเห็นคนอื่นทุกข์ก็ไม่เอาด้วยแล้ว เพราะสิ่งนี้มันสะสมมาหลายภพหลายชาติ เขาเจ็บเขาทุกข์เพราะการมีเนื้อคู่มาหลายชาติมันก็เลยจดจำในวิญญาณแม้ชาตินี้จะไม่เคยมีคู่แต่มันจะไม่เอาโดยธรรมชาติ ให้ไปเสพก็จะไม่สุข ถึงสุขก็ไม่นาน พอได้รับทุกข์ก็จะกระเด็นออกมา เพราะมันเข็ด มันขยาด มันทุกข์

เนื้อคู่นั้นจริงๆแล้วไม่ใช่สิ่งที่ดีไปเสียหมด เพราะต้องมาคอยใช้เวรใช้กรรมกัน และส่วนมากเป็นการใช้หนี้ เพราะเมื่อมีคู่เราก็ทำแต่บาป ทำบาปมันก็มีแต่ทุกข์ มีแต่หนี้บาปที่ต้องมาชดใช้กันข้ามภพข้ามชาติเพียงเพราะหลงไปเสพสุขลวง

10).เนื้อคู่เมื่อไหร่จะหนีพ้น

เมื่อเห็นความทุกข์ทรมานจากสุขน้อยทุกข์มากของการมีเนื้อคู่มาตามจองเวรจองกรรมแล้วก็อาจจะเริ่มขยาด เริ่มรู้สึกไม่อยากทุกข์ อยากจะเจอแต่ความสุขจะได้ไหม ก็จะตอบกันว่า ”ได้” นั่นคือหนีเนื้อคู่ให้พ้น

การหนีไม่ใช่การวิ่งหนี ย้ายบ้านหนี หลบหน้า ไม่ยอมพบเจอ ไม่รับโทรศัพท์อันนี้มันหนีแบบโลกๆ มันหนีไม่พ้นเพราะถึงจะหนีพ้นชาตินี้ชาติหน้าก็เจออยู่ดีเพราะกรรมมันไม่ได้ถูกชดใช้มันก็จ่อรอส่งผลอยู่นั่นเองและมันจะสะสมมากขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นก้อนใหญ่ขนาดที่หลบไม่พ้นหนีไม่ได้ในวันใดวันหนึ่ง

การจะหนีจากเนื้อคู่ต้องหนีด้วยการล้างกิเลสในตัวเราและทำกุศลทำดีกับเขาหรือคนรอบข้างเขาให้มาก เพราะคนที่เป็นเนื้อคู่กันมาคือคนที่มีหนี้บาปหนี้บุญกันมา ดังนั้นจึงต้องใช้หนี้จนหมดจึงจะพ้นจากการไล่จองเวรจองกรรมและล้างกิเลสของเราเพื่อไม่ให้ตัวเราไปจองเวรจองกรรมเขาจนต้องวนเวียนมาใช้กรรมกันอยู่เรื่อยๆ

11).ประโยชน์ของเนื้อคู่

มาถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าเนื้อคู่จะไม่ได้มีแค่มุมดีเพียงอย่างเดียว ยังมีมุมร้ายมุมทุกข์ซ่อนอยู่มากมายเหมือนขนมหวานที่สอดไส้ด้วยยาพิษ จะว่าไปแล้วมันก็ทุกข์ทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะสุขที่ได้ก็เป็นเพียงสุขลวงที่รอให้เกิดทุกข์แท้ๆ

แต่การมีเนื้อคู่เข้ามาในชีวิตก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมด ผู้มีปัญญาสามารถหาประโยชน์ได้แม้ยามตัวเองต้องตกหล่นไปในกองกิเลส พยายามหาทางแหวกว่ายดิ้นหนีจากบ่วงกรรมที่ผูกมัด เนื้อคู่นี้เองที่เข้ามาเป็นโจทย์ให้เราศึกษาธรรม ให้เราบรรลุธรรม ให้เราพ้นทุกข์

การจะออกจากทุกข์ได้นั้น เราจำเป็นต้องทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เข้าใจทุกข์จึงจะเห็นธรรม การมีอยู่ของเนื้อคู่จึงมีคุณค่าตรงที่เป็นตัวกระตุ้นเป็นตัวกระทุ้งให้เราเห็นกิเลส เพราะต้องเป็นคนนี้เท่านั้นที่เราจะเกิดอาการหลง อาการมัวเมาไปกับเขาได้ กับคนอื่นเราไม่หลงขนาดคนนี้เราก็ต้องใช้คนนี้แหละเป็นโจทย์ในการล้างกิเลสเพื่อบรรลุธรรมของเรา

จะว่าเนื้อคู่นั้นมีอยู่เพื่อให้เราออกจากคู่ก็ว่าได้ เขาจะเข้ามาทำให้เราทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกชาติจนกว่าเราจะเกิดปัญญา จนกว่าจะเห็นว่าการมีคู่ชีวิตที่รับเข้ามาเป็นคู่รัก เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา เป็นครอบครัวนั้นเป็นภาระ พาทุกข์ พาชั่ว พาจน พาวนเวียนในวัฏสงสารอย่างไร

12).เนื้อคู่กับความรักที่เหนือโลก

คงจะมีคำถามว่าถ้ามีคู่กันแล้วร่วมสร้างกุศลช่วยเหลือเกื้อกูลกันทำประโยชน์กันไปเรื่อยๆได้ไหม เพราะการจะไม่มีคู่เลยมันก็รู้สึกทุกข์มากเหมือนกัน เหตุเพราะความอยากมีคู่กับความเหงานั้นรุนแรงเหลือเกิน

ก็คงจะตอบว่าได้ ถ้าความรักกับเนื้อคู่คนนั้นพาให้เกิดกุศลจริง ในกรณีคนที่คบกันแล้วสามารถพากันลดกิเลสได้ ลดกิเลสกันเป็น ไม่พากันเพิ่มกิเลส อยู่ในศีล ๕ กันเป็นเรื่องปกติในชีวิตก็ถือว่าอยู่ในขีดที่พ้นทุกข์และพ้นภัยไปได้หลายส่วน แต่ก็ยังต้องทุกข์อยู่ดี ถ้าจะคบกันให้เกิดกุศลมากขึ้นก็ให้ถือศีลเพิ่มคือ “อพรหมจริยา เวรมณี” คือให้เว้นขาดจากการประพฤติที่ไม่เป็นพรหมวิหาร ในความเข้าใจทั่วไปก็คือการไม่สมสู่กัน รักที่ไม่สมสู่กันคือการไม่เสริมกิเลสแก่กัน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากและยากจะเข้าใจถึงเนื้อหาสาระแท้ของศีลข้อนี้ หลายคนเข้าใจว่าการสมสู่คือหน้าที่ คือความสุข คือความสมบูรณ์แบบในชีวิตคู่ทั้งที่จริงสิ่งนั้นเป็นกิเลสแท้ๆ กิเลสบริสุทธิ์แบบไม่มีอะไรเจือปน ผู้ที่คิดจะคบหามีคู่ครองแล้วพากันเจริญไปทั้งทางโลกและทางธรรมจึงควรปฏิบัติศีลข้อนี้บ้าง และขัดเกลากิเลสจนถือศีลข้อนี้ให้ได้เป็นปกติ คือไม่สมสู่กันเป็นเรื่องปกติ เป็นความรักที่เหนือโลก เพราะตามโลกหรือโลกียะคนเป็นคู่เขาต้องสมสู่กันจึงจะมีความสุข แต่เราเป็นคนเหนือโลกคือไม่ไหลไปตามโลก แม้จะไม่สมสู่กันเราก็ยังคงรักกัน ดูแลกัน เกื้อกูลกัน และอยู่กันอย่างมีความสุข

13).เนื้อคู่กับกัลยาณมิตร

จะดีไหมหากเราจะเปลี่ยนเนื้อคู่ที่ต้องมาใช้เวรใช้กรรมกันทุกภพทุกชาติเป็นเพื่อน เป็นมิตรสหาย เป็นกัลยาณมิตร เพราะในที่สุดแล้วการจะคบหาเป็นคู่ครองนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นกัลยาณมิตรต่อกันแล้วก็คงจะช่วยกันลดทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตไปได้อีกมายมาย

กัลยาณมิตรหมายถึงมิตรที่ดีงาม มิตรที่พาเจริญไปทั้งในทางโลกและทางธรรม เป็นเสมือนเพื่อนคู่ชีวิตใกล้ชิดเรื่องใจ แต่ไม่ใกล้ชิดกาย เนื้อคู่หรือคู่รักที่เจริญทางธรรมมากสุดท้ายก็จะก้าวเข้าสู่ลักษณะของกัลยาณมิตรไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ร่วมกันหยุดชั่ว พากันไม่ทำชั่ว พากันถือศีล เจริญในธรรม พากันทำแต่ความดี สิ่งดี สิ่งที่เป็นกุศล พากันทำจิตใจให้ผ่องใส่ พากันลดกิเลส พากันล้างกิเลส มีความยินดีต่อกันเมื่อเกิดสิ่งดี และพร้อมจะช่วยเหลือกันหากพลาดพลั้งทำผิด และยอมรับคำตักเตือนของกันและกันเพื่อความเจริญแห่งสุขแท้

ถ้าเรามองว่าชีวิตนี้เหงา อยากมีคู่ อยากมีเพื่อนร่วมชีวิต อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คอยช่วยคิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุข เนื้อคู่ในเชิงคู่รักคงจะไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่ากับกัลยาณมิตร เพราะความเป็นเพื่อนนั้นตั้งอยู่ได้นานกว่า เป็นประโยชน์กว่า ทุกข์น้อยกว่า สุขใจเมื่อได้ใกล้ ยินดีแม้ยามห่างไกล กัลยาณมิตรนั้นแม้ตัวไกลแต่ใจก็ยังใกล้กันยังระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทกัน พร้อมเพรียงกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สภาวะเหล่านี้คือที่สุดแห่งมิตร เป็นสุดยอดแห่งกัลยาณมิตร และเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นแห่งการพ้นทุกข์

– – – – – – – – – – – – – – –

28.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์