Tag: อยากมีคู่

ปฏิบัติตนอย่างไร จึงทำให้ไม่อยากมีคู่

December 14, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 651 views 0

ถาม : ปฏิบัติตนอย่างไร จึงทำให้ไม่อยากมีคู่

ตอบ : กำจัดกิเลส

ขยายเพิ่ม…

กำจัดความหลงที่พาให้อยากไปมีคู่

ขยายเพิ่มอีก…

ความอยากไปมีคู่นั้นคือ “ตัณหา” คืออาการแส่หา แสวงหาสิ่งที่อยากได้อยากเสพ เพราะหลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี ที่ควรได้ น่าเสพ มีประโยชน์ ฯลฯ ความหลงคือ “โมหะ” ความยึดคือ “อุปาทาน” ที่คนอยากไปมีคู่เพราะยึดในความหลงสุขจนปล่อยตัวปล่อยใจไปแสวงหาคู่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องกำจัดคือความหลง แต่จะไปกำจัดความหลงตั้งแต่แรกไม่ได้ เพราะมันอยู่ลึก เราต้องเริ่มจากตื้นคือจัดการกับตัณหาเสียก่อน คุมทวารทั้ง 6 ตา หู จมูก ปาก ร่างกาย และใจ ไม่ให้ไหลไปตามความอยากเสียก่อน แล้วตั้งสติกำหนดรู้อาการที่เกิดขึ้น แล้ววิจัยอาการนั้น ๆ ว่าเกิดจากการที่เราอยากเสพสิ่งใด เราถึงมีใจพุ่งไปเช่นนั้น จับอาการนั้นได้ เหมือนจับโจรได้ แต่ต้องลงโทษโจรให้เด็ดขาด สรุปคือต้องชัดก่อนว่าที่อยากมีคู่นั้นอยากได้อยากเสพเรื่องอะไร แต่ละคนจะมีเรื่องที่ติดไม่เหมือนกัน ต้องแจกแจงกิเลสในตัวเองให้ละเอียดจึงจะสามารถ ดำเนินการต่อในขั้นกำจัดได้ ในขั้นกำจัดนั้น ต้องอาศัยธรรมะจากผู้รู้ จากพระพุทธเจ้า จากครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงจริง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่แค่แปะป้ายว่าอรหันต์ ต้องมีสภาวะจริง จึงจะได้ความรู้มาเพื่อพิจารณาล้างกิเลสในตน คือใช้ธรรมะ ล้างอธรรม จิตมันเบี้ยว มันหลงตรงไหน ใช้ธรรมะดัดให้ตรง ตัดให้ตรง เติมให้ตรง ทิฏฐิที่ผิดในความอยากมีคู่จะมีทั้งเกินและพร่อง ธรรมะของครูบาอาจารย์จะเป็นตัวเทียบว่าตนเองนั้นเกินหรือพร่อง นำมาพิจารณาเอาสิ่งที่หลงขาดหลงเกินออก จนได้เท่าครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านนั้นเป็นของจริง จะหมดความอยากมีคู่ได้จริง แต่ถ้าไม่ใช่ของจริง จะติดเพดานกิเลสของอาจารย์ท่านนั้น ๆ จะไม่สามารถไปไกลกว่าสภาวะจริงของท่านนั้น ๆ ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าคนจะพ้นทุกข์ได้ ต้องเริ่มจากการพบสัตบุรุษหรือคนที่พาพ้นทุกข์ได้จริงเท่านั้น

ขยายละเอียดหน่อย…

ในภาคปฏิบัตินั้น เบื้องต้นคือการสำรวมอินทรีย์ ในส่วนของศีลหรือข้อปฏิบัตินั้นเราได้มาแล้ว คือตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสด มีศีลแล้วก็สำรวมตนอยู่ในศีล ตรงนี้จะไม่เหมือนที่เขาเป็นโสดหรือไม่อยากมีคู่กันโดยทั่วไป เพราะคนไม่อยากมีคู่ทั่วไปมักจะมีเงื่อนไขในการมีหรือไม่อยากมี เช่น ไม่อยากมีคู่หน้าตาไม่ดี ไม่อยากมีคู่ไม่รวย อันนี้มันเป็นกำแพงกิเลส ไม่ใช่กำแพงธรรม ในส่วนของนักปฏิบัติธรรม จะเรียกว่า ทำตนให้ยินดีพอใจในการอยู่เป็นโสด ไม่ยินดีในการหมกมุ่นกับเรื่องคู่ครองอันเป็นเรื่องน่าเศร้าหมอง

เมื่อเราตั้งใจสำรวมกาย วาจาและใจของเราแล้ว ธรรมชาติของกิเลสก็จะเกิดเป็นธรรมดา เราจะสามารถสังเกตอาการที่จะพุ่งออกไปเสพ อยากคุยด้วย อยากมองเขา ชอบที่จะคิดถึงเขา ฯลฯ หลาย ๆ อาการที่จะพุ่งออกไปเสพ แม้จะเป็นแค่ในใจก็ตาม เราก็จะจับอาการเหล่านั้นนั่นแหละ มาพิจารณาสาเหตุว่าเราหลงอะไรหนอ เราติดอะไรหนอ เราอยากได้อะไรหนอ

ติดมุมไหนก็ต้องแก้มุมนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีใครทำสารบัญกิเลสในความอยากมีคู่ เพราะถึงจะทำกระดาษก็คงไม่พอ เพราะกิเลสเป็นเรื่องหยุมหยิบ ซับซ้อน น่าปวดหัว มีมารยา ไม่เปิดเผยตามจริง ดังนั้น การที่จะพิจารณาอาการได้ชัดจะต้องมีสัญชาติญาณคนตรงว่าติดตรงไหน โดยปกติกิเลสมันจะปัดป้องให้มันเบี้ยวออกไป เพื่อที่จะไม่ได้จับตัวมันได้ อาการที่เกิดขึ้นคือความจริง แต่กิเลสจะสร้างความคิดขึ้นมาว่านั่นไม่ใช่บ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง โดยเบื้องต้นต้องหัดที่จะยอมรับความจริงก่อนว่าเราหลงมามากจริง ยอมรับความจริงว่ามันติด มันชั่ว มันทุกข์ อยากจะออกจากความหลงติดหลงยึดหลงผิดไปชั่วนั้น มันจะเบิกทางได้ง่ายขึ้น ถ้ามาปฏิบัติตนเป็นโสดแล้วไม่ยอมรับความจริงตามความเป็นจริงในแต่ละอาการที่เกิดขึ้น เรียกว่าปิดประตูบรรลุธรรมได้เลย เพราะนอกจากจับโจรไม่ได้แล้ว ยังโดนโจรหลอกปั่นหัวอีกด้วย

เมื่อเราซื่อตรงกับตนเอง พบว่าตนเองหลงติดเรื่องนั้นเรื่องนี้ว่าเป็นสุข น่าได้น่าเสพ ตรงนี้เราก็กำหนดศีลเพิ่ม ว่าเราจะกำจัดความหลงตัวนี้ในหมวดความอยากมีคู่เพิ่ม เรียกว่าอธิศีล คือศีลที่มีความละเอียดในการกำจัดกิเลสมากขึ้น เหมือนลงรายละเอียดระดับจุดทศนิยม เป็นข้อย่อยของกิเลส ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติในการกำจัดกิเลส เราจะแจกแจงกิเลสไปเรื่อย ๆ จนลึกถึงขั้นโมหะ จนถึงตอนนั้นก็เรียกว่าจุดทศนิยมหลายหลักเลยเชียวล่ะ

เมื่อกำหนดศีลว่าจะกำจัดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ความรู้ของเราถึงขีดจำกัดแล้ว ธรรมะที่ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ เริ่มจะไม่ตอบโจทย์ที่ความลึกระดับนี้ ก็ให้หมั่นเข้าหาครูบาอาจารย์เพื่อสอบถามเพิ่มในรายละเอียด เข้าหาหมู่มิตรดีที่มีพลังในการพาพ้นเรื่องความอยากมีคู่ แล้วสอบถามสนทนา จะได้เหลี่ยมมุมในการรับมือกับกิเลส พร้อมกับปัญญาในการโต้กลับ ในตอนนั้น ปัญญาของเรายังเป็นระดับของสุตมยปัญญา คือปัญญาจากการได้ยินได้ฟัง ในขั้นต่อไปคือการพัฒนาตนไปสู่ภาวนามยปัญญา คือปัญญาจากการที่ได้พัฒนาจิตจนเกิดผล

ปัญญาจากการได้ยินได้ฟัง ก็เหมือนกับหลาย ๆ คน ในสำนักปฏิบัติธรรม สำนักใดสำนักหนึ่ง ที่อาจจะพูดหรือเข้าใจคล้าย ๆ กัน เพราะได้ยินได้ฟังและเข้าใจมาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความเวลาเขาเหล่านั้นกระทบกับทุกข์แล้วจะยังสามารถดำรงจิตได้ตามสิ่งที่เคยได้ยินมา แต่ถ้าเราพัฒนาจิตของเราได้จริง จนเกิดภาวนามยปัญญาคือสภาพที่ล้างกิเลสจนเกิดปัญญาในตน จะทำให้เราไม่หวั่นไหวแม้กระทบสิ่งยั่วยุยั่วยวนอยู่ นั่นเพราะมีปัญญาเห็นโทษชั่ว เห็นความจริงของสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเองแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินได้ฟัง

เมื่อได้ศึกษามาแล้วมาตรวจในจิตตนเอง จะพบว่าธรรมะกับกิเลสมันจะไม่ไปทางเดียวกัน กิเลสมันจะเถียงเอาอย่างมันท่าเดียว ฟังครูบาอาจารย์หรือหมู่มิตรดีมาเท่าไหร่ มันจะมีเงื่อนไข มีข้อแม้ มีแต่ว่า… เพื่อให้ได้มาเสพเสมอ นี่คืออาการดิ้นของกิเลสเมื่อเจอกับธรรมะ มันจะไม่ยอมสลายตัว มันไม่ยอมให้จิตเราเป็นเนื้อเดียวกับธรรมะ มันจะเป็นส่วนเกินของจิตอยู่เสมอ

ก็หมั่นพิจารณาความจริงตามความเป็นจริงตามที่ได้ศึกษาตามครูบาอาจารย์และหมู่มิตรดีมา กิเลสจะถูกทำลายโดยลำดับ เพราะมีพลังสัมมาทิฏฐิ มาเปลี่ยนมิจฉาทิฏฐิ ความสงบลงโดยลำดับ คือสามารถดับ 3 ภพ ของกิเลสได้โดยลำดับ คือ ดับกามภพ ดับรูปภพ ดับอรูปภพ

การดับกามภพคือ ไม่ไปเสพกามในหมวดนั้น ๆ อีกแล้ว ในเรื่องการมีคู่ ผู้ที่ดับกามภพได้จะไม่ไปมีคู่อีกต่อไปแล้ว แต่ในใจลึก ๆ ยังมีความยินดีในการมีคู่อยู่ เรียกว่ารูปภพ คือรู้ว่าตนเองอยาก แต่ไม่ได้อยากระดับที่จะต้องไปมีคู่ จะมีการปรุงเพื่อเสพสุขอยู่บ้าง ก็เป็นภายในใจ ไม่เผยให้คนอื่นได้เห็น ในขั้นนี้ก็ยังมีความหลงผิดเหลือ แต่เหลือในระดับรูปภพ คือยังเห็นกิเลสปรุงอยู่ชัด ๆ แต่ยังกำจัดมันออกไปไม่ได้

เมื่อเจริญถึงขั้นดับรูปภพ จะเข้าสู่อรูปภพ กิเลสที่เหลือจะไม่เป็นรูปให้เห็นแล้ว ไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ ขึ้นมาเป็นรูปชัด จะเหลือแต่อาการขุ่นข้อง หมองใจ หดหู่ ซึมเศร้า เห็นเขามีคู่ก็แอบฟู ๆ พอตนเองไม่มีก็ไม่สดชื่น ไม่สดใส ไม่เต็มใจ มันจะออกไปทางหมอง ๆ ไม่ใส ไม่ชัดเจนในความพ้นทุกข์ ในขั้นนี้จะมีอาการแล่บ ๆ ออกมาให้เห็นเป็นระยะอยู่ว่ายังไม่พ้น ซึ่งก็ตั้งศีลเพิ่มขึ้นไปอีก ละเอียดลงไปอีกว่าความหวั่นไหวแม้น้อยก็จะไม่มีเพื่อทำร้ายตนและผู้อื่น มันก็จะบีบกิเลสไปเรื่อย ๆ อาการจะชัดขึ้นเมื่อตั้งศีล สำรวมอินทรีย์ ก็ใช้วิธีเดิมในการปฏิบัติ ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนหมดโง่ พอหมดโง่ มันจะฉลาดเอง จะมีปัญญารู้เองว่าเคยโง่อะไร โง่แค่ไหน โง่อย่างไรมาก่อน ตัวพ้นทุกข์ คือปัญญาที่รู้แจ้งเท่าทันความโง่ในหมวดนั้น ๆ ทุกเหลี่ยมทุกมุม

เมื่อดับอรูปภพได้ จะไม่หวั่นไหวกับใครอีกต่อไปแล้ว แม้กระทบกับคนที่น่ารัก น่าเอามาเป็นคู่ที่สุดในโลกก็ตามที ในส่วนของการปฏิบัติ คือ ไม่เหลืองานในกิเลสเรื่องนี้ให้ทำอีกแล้ว ถือว่าได้ปฏิบัติตนเพื่อกำกัดความอยากมีคู่หมดแล้ว ก็เอากำลังกับธรรมะที่มีไปปฏิบัติเรื่องอื่น ๆ ที่หลงผิดต่อ

ที่เล่ามานี้ก็เป็นขั้นตอนโดยสรุปที่พยายามย่อให้สั้น ในรายละเอียดของการปฏิบัติ ก็ต้องเรียนรู้การตรวจสภาวธรรมข้ออื่น ๆ เช่น สติปัฎฐาน 4,เวทนา 108, อรูปฌาน 4 เพื่อใช้ในการตรวจสอบความหลงเหลือหลงโง่ในกิเลสเรื่องนั้น ๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย

14.12.2562

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เมื่อมีมาร มุ่งมาท้าทายความเป็นโสด

November 30, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,213 views 0

เมื่อมีมาร มุ่งมาท้าทายความเป็นโสด : “ความอยากมีคู่ครอง” กับดักเพื่อฆ่าบัณฑิตบนเส้นทางธรรม

ถ้าใครมีคำถามประมาณว่า พยายามประพฤติตนเป็นบัณฑิต พยายามปฏิบัติตนให้เป็นคนโสด แต่ก็มีผู้เข้ามาท้าชิง จนปวดหัว ไม่รู้จะทำอย่างไร พรากก็แล้ว ห่างก็แล้ว ยังตามจีบ ตามคุย ตามหา จะทำอย่างไรให้การตัดสินใจต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ดีงาม

ก็เป็นคำถามที่ดีนะครับ เพราะคนส่วนมาก แม้จะตั้งใจปฏิบัติให้ตนเป็นบัณฑิต ตั้งใจอยู่เป็นโสด แต่ส่วนใหญ่ พอเจอโจทย์เข้าจริง ๆ จะหลงไปเลย ไม่มีสติยั้งคิดที่จะมาถามหรือแสวงหาคำตอบอะไรหรอก คำตอบของเขามักจะเป็นไปสองทางคือ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ถ้าถูกใจก็ไปกับเขาเลย ถ้าไม่ถูกใจก็อาจจะลองดู ๆ กันไป หรือไม่ก็ผลักเขาออกไปเพราะไม่ถูกใจเท่านั้นเอง

ทีนี้คนที่ตั้งใจก็เหลือไม่เยอะหรอก คนส่วนน้อยในโลกเท่านั้นแหละ ที่จะตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดได้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่าวังน้ำวนโลกีย์ที่หมุนอย่างรุนแรงด้วยกำลังของกามและอัตตาในสังคมปัจจุบัน จะตอบคำถามโดยไล่เป็นประเด็น ๆ ไปนะครับ

  1. ผู้มาด้วยความกำหนัดกล้า

เมื่อเราตั้งจิตตั้งใจที่จะอยู่เป็นโสด ก็เป็นธรรมดาที่จะมีโจทย์เข้ามากระทบในชีวิตประจำวัน ผู้ที่มานั้น ก็ใช่ว่าจะมาอย่างไร้ศักยภาพ ฟ้าจะส่งผู้ที่มีความสามารถเข้ามาท้าทายเรา เหมือนมีอัศวินใส่เกราะขี่ม้าขาวมาพร้อมอาวุธครบมือมาท้าทายอยู่หน้าบ้าน คนที่จะเข้ามาเจอเรานี้ มักจะมีองค์ประกอบที่เราจะแพ้ทางโดยธรรมชาติ เพราะเขาคัดมาแล้ว ต้องแบบนี้ คนนี้เท่านั้นที่จะปราบความไม่จริงใจในความโสดของเราได้ หมายจะเอาชนะเราให้ได้แน่ ๆ ไม่ได้มาเพื่อแพ้ ให้ทำความเข้าใจไว้ได้เลยว่าประมาทไม่ได้ แม้หนึ่งการสบตาหรือรอยยิ้มเพียงแค่ครั้งเดียว เป้าหมายในการมีอยู่ของเขาก็แน่นอน ทำให้เราเกิดความอยากที่จะไปมีคู่

  1. มารไม่มา บารมีไม่มี

การประพฤติตนเป็นโสดนั้น ไม่ได้หมายความเป็นโสดอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ หลบ ๆ เลี่ยง ๆ แบบกลัว ๆ แต่สามารถตั้งใจเป็นโสดได้แม้จะมีสิ่งยั่วย้อมมอมเมาที่น่าใคร่น่าเสพขนาดไหนเข้ามาปะทะ ก็ยังตั้งใจที่จะอยู่เป็นโสดได้ แม้จิตหวั่นไหวก็ใจแข็งสู้ มันจะไม่ง่ายเหมือนคิดเอา เพราะจริง ๆ แล้ว เขามาเพื่อชนะ เราก็ต้องปราบมารนี่แหละ เพื่อที่จะเพิ่มกำลังของเรา แม้ในตอนแรกอินทรีย์พละ หรือกำลังของเรายังไม่สูง แต่ถ้าเราตั้งมั่นพากเพียร เราจะพบเลยว่า ตัวเราที่ผ่านโจทย์นี้มา จะเป็นตัวเราอีกคนที่เหนือกว่าตัวเราที่เคยเป็นอย่างเทียบไม่ได้ กำลังใจ กำลังปัญญาจะเพิ่มขึ้นมหาศาลแทบจะเปรียบได้ว่า ปราบอัศวินผู้ช่ำชองในการรบได้เพียงแค่กระดิกนิ้วเท่านั้น อันนี้เป็นผลของการปราบมาร เล่ากันไว้ก่อน จะได้มีเป้าหมาย

  1. มารทุบหม้อข้าวลุย

โดยธรรมชาติของมาร เวลาเราตั้งใจจะสู้จริง ๆ มันก็จะเอาจริงเหมือนกัน มันจะจริงจังตามความจริงใจในธรรมะของเราเลย ยิ่งถ้าเราตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดด้วยนะ เรียกว่าแทบจะไม่มีอะไรเหลือให้มารเสพเลย มันจะยอมหรือ? มันก็ทุบหม้อข้าวลุยล่ะทีนี้ หมายถึงมันก็ทุ่มหมดตัวเหมือนกัน เราก็ทุ่มหมดใจเหมือนกัน มารในที่นี้ไม่ใช่อัศวินขี่ม้าขาวนะ แต่เป็นความอยากมีคู่ในใจเรานี่แหละ ที่จะเสกอัศวินขึ้นมา ถ้าไม่มีจิตอยากมีคู่นะ ถึงจะมีโคตรอัศวินขี่ม้าขาวเป็นร้อย ก็ได้แค่เดินวนไปวนมาหน้าบ้านเราเท่านั้นแหละ เพราะไม่มีทางเข้ามาตีได้ สะพานไม่มีเขาจะข้ามมาได้อย่างไร อย่าไปทอดสะพานให้เขาเข้ามาตีแล้วกัน ยิ่งถ้าใหม่ ๆ ชักสะพานออกเลย ไม่ต้องไปยุ่ง อย่าไปพัวพันมาก เรื่องคู่นี่ไม่ใช่ง่าย รบแพ้แล้วมักจะแพ้หลุดลุ่ยเลย

  1. หมู่มิตรดี ชีวีผาสุก

เวลาเจอข้าศึกมาบุก การจะสู้คนเดียวมันก็ดูจะลำบาก ควรจะมีพันธมิตรร่วมสู้ด้วย การสร้างพันธมิตรหรือหมู่มิตรดีนั้น ก็ใช่ว่าจะสร้างกันตอนข้าศึกบุกทันนะ มันต้องขยันสร้างกันไว้แต่เนิ่น ๆ คือมีเวลาก็เข้าไปคบหาหมู่มิตรดีที่ตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดไว้  ให้เน้นคนที่มีกำลังใจกำลังปัญญามาก ๆ เช่นทนการยั่วเย้าได้มาก ๆ หรือ มีปัญญาเถียงสู้กิเลสได้เก่ง ๆ ยิ่งได้ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นเรื่องนี้แล้วยิ่งเป็นกำลังสำคัญเลยแหละ เรียกว่ากำลังเสริมระดับกองทัพ ยกทัพมาตีคนสองคนไม่รอดหรอก การสานพลังกับหมู่มิตรดี ก็คือเข้าไปคบคุ้น ช่วยกันทำดี หมั่นสนทนาธรรม ฟังธรรม หมั่นเข้าหาปรึกษาครูบาอาจารย์ จะทำให้เรามีความมั่นคงขึ้น ไม่มีทางถูกตีแตกได้ง่าย ๆ ไม่หวั่นไหวได้ง่าย ๆ เพราะมีที่พึ่งที่ถูก เป็นที่พึ่งที่พาพ้นทุกข์

*Key success factor หนึ่งเดียวของการพาตนเองเป็นโสดอย่างผาสุก ก็คือหมู่มิตรดีนี่แหละ ถ้าคบผิดกลุ่ม ไปคบหาของปลอม ไม่ได้มีธรรมะจริง ไม่มีของจริง ไม่หลุดพ้นจริง ไม่รอด 100% แต่ถ้าคบกับกลุ่มที่จริง ยังมีโอกาสรอดขึ้นมาตามความพากเพียร ถ้าคบผิดกลุ่มปิดประตูบรรลุธรรมไปได้เลย

  1. กิจตน กิจท่าน

เวลาเจอข้าศึกบุก หรือมีคนมาจีบ ให้ตั้งเป้าหมายให้ถูก เรียงลำดับความสำคัญให้ถูก กำลังจิตและปัญญาเรามีจำกัด ไม่ควรเทไปในจุดที่ยังไม่สมควร นั่นคือควรลำดับงานที่สมควรทำก่อน งานที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือล้างความอยากมีคู่ในตัวเองเสียก่อน เอาให้เด็ดขาดเสียก่อน อย่าพึ่งไปคิดเมตตาเขาหรือไปช่วยอะไรเขา เอาตัวเองให้รอดก่อน เดี๋ยวไม่งั้นมันจะกลายเป็นการทอดสะพาน ชักศึกเข้าบ้าน ไปช่วยเขา สุดท้ายเขามาแทงเราตาย อันนี้มันก็ผิด เราต้องจัดการศึกในตัวเราก่อน อย่าเพิ่งไปเปิดศึกข้างนอก พระพุทธเจ้าได้สอนพระอานนท์ไว้ว่า เวลาเจอเพศตรงข้าม ก็ไม่ต้องมอง ถ้าจำเป็นต้องมองก็ไม่ต้องพูด ถ้าจำเป็นต้องพูด ก็ให้ตั้งสติ พูดอย่างสำรวม อย่าให้ความอยากความหลง ความยินดีพอใจปลื้มใจในเพศตรงข้ามแทรกเข้ามาครอบงำจิตใจได้  จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติที่ตนก่อน เรื่องคนอื่นอย่าเพิ่งไปคิด

  1. ความอยากมีคู่คือเชื้อร้าย

ในท้ายที่สุด เราก็จะพบว่า ศัตรูที่แท้จริงก็อยู่แค่ภายในใจของเราเอง คือกิเลสที่มันสิงเราอยู่นี่แหละ เหมือนถูกผีสิง ความอยากมีคู่มันอยู่ในใจเรา มันเป็นเชื้อร้ายที่คอยดึงสิ่งต่าง ๆ เข้ามา ความปลื้มใจ ความยินดีพอใจต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มันเสกสร้างขึ้นมาทั้งนั้น อารมณ์สุขจากความอยากมีคู่ ความยินดีพอใจในการมีคู่ คือสิ่งที่กิเลสนั้นสร้างขึ้นมาหลอกให้เราหลงว่ามันเป็นสุข หลอกให้เราหลงวนอยู่ในโลกนี้ ในความสงสารนี้ เป็นสิ่งที่กักขังเราไว้จากอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ ความเป็นอิสระจากความอยากมีคู่นั้นหากจะลองยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ ก็เหมือนคนที่ถูกขังในคุกแคบ ๆ อันมืดมิดหนาวเหน็บอยู่หลายสิบปีแล้วต่อมาถูกปล่อยออกมาพบทุ่งกว้าง ลมพัดเย็น และอบอุ่น  เป็นความสบายใจ ความปลอดภัยที่ไม่มีวันจะพบได้หากยินดีที่จะดำรงอยู่ในคุก กิเลสมันก็หลอกเราว่า ในคุกนี้แหละดี เป็นสุข อย่างน้อยก็มีอาหารให้กินเลี้ยงชีพ มันก็เอาความอยาก เอารสยินดีพอใจในคนคู่นั่นแหละ มาเป็นอาหารให้เราเสพดำรงชีวิตไป นั่นเพราะเรามีอัตตายึดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ถ้าเราไม่ยึดความอยากมีคู่ คุกคนคู่นั้นย่อมพังทลายลง อาหารทิพย์นั้นรสดีสูงค่ากว่าอาหารคุกคนคู่มากนัก อย่างที่ไม่มีใครหลุดพ้นคุกคนคู่แล้ว เวียนกลับไปกินอาหารคุกอีกเลย

  1. สำรวมกายใจ

เมื่อรู้แล้วว่าต้องทำอะไร สิ่งใดที่เป็นภาพลวง สิ่งใดที่เป็นเป้าหมายที่ควรทำลาย ให้สำรวมระวังกายใจทั้งหมด โจทย์จะผ่านมาทางการกระทบ ด้วยหน้าตาลีลา ด้วยน้ำเสียง ด้วยคำหวาน ด้วยสัมผัส ฯลฯ สารพัดสิ่งที่เข้ามากระทบ โดยหลักแรก เราก็ต้อง สงบ สำรวม ไม่หวั่นไหว ดำรงสติให้ตั้งมั่นก่อน เมื่อมีสติแล้วจับให้ได้ว่าแต่ละครั้งที่กระทบ มันมีอาการใจฟู อิ่มใจ พอใจอะไรไหม เมื่อเห็นอาการก็พิจารณาวิจัยหาสาเหตุว่ามันมีจิตไปชอบสิ่งใดลีลาใด จับเหตุนั้นให้ได้ จับโจรให้ได้ก่อน ส่วนจะการลงโทษเป็นอีกขั้น ต้องใช้ปัญญาครูบาอาจารย์ร่วมด้วย เพราะปัญญาเราจะไม่พอ ถ้าปัญญาเราพอ เราจะไม่หวั่นไหว ถ้าเราหวั่นไหวแสดงว่ามันสู้ไม่ได้ ต้องใช้คำสอนคำแนะนำจากครูบาอาจารย์หรือมิตรดีที่ท่านพ้นเรื่องคู่เข้ามาช่วย จะเป็นการอ่านทบทวนธรรม จะฟัง  หรือจะเป็นการปรึกษาก็ได้ทั้งนั้น เอายังไงก็ได้ให้มีปัญญาไปเถียงกิเลส แน่นอนว่าไม่ง่าย มันต้องมีกำลังจิตพอที่จะกดไม่ให้ฟุ้งซ่าน และปัญญาที่คมพอจะตัดความโง่ที่ไปหลงผิด ที่ไปหลงปลื้มกับรสสุขลวงของกิเลสนั้นได้

มาถึงขั้นตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่เอาสมบูรณ์แบบ ทุกคนพลาดกันได้เป็นธรรมดา แต่พลาดแล้วต้องตั้งสติสำรวม อย่าพลาดซ้ำพลาดซ้อน หรือปล่อยให้พลาดจนไหลร่วงตกหล่นไปคบหากัน ไปแต่งงานมีลูกกัน เพราะความจริงมันมีเวลาให้พิจารณาโดยลำดับ แพ้ก็สู้ พลาดก็สู้ แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดพลั้งเผลอไปทุกวัน กำลังมันจะมากขึ้น แต่ถ้ายอมแพ้กิเลสทุกวัน ก็มีแต่จะเสื่อมถอยตกร่วงไปเรื่อย ๆ

  1. เมตตามหานิยม

อย่างที่กล่าวกันไว้ก่อนหน้านี้ ว่ากิเลสจะทุบหม้อข้าว ดังนั้นมันจะงัดทุกเหลี่ยมทุกมุมของอวิชชาที่มันมีออกมาโชว์ ให้เราเห็นว่าเราโง่แค่ไหน เราหลงแค่ไหน ให้พยายามตั้งสติเพียรพิจารณาล้างความหลงผิดไปโดยลำดับอย่างพากเพียร อย่าโทษเขา อย่าโทษใคร อย่าโทษตัวเอง ให้มีเมตตาต่อตัวเอง ให้เข้าใจว่าทำชั่วมามาก หลงมานานมาก มันมีคราบสกปรกเกรอะกรังมาก มันก็ต้องใช้เวลา ธรรมะหรือแม้แต่เหตุการณ์ที่พิสดารอย่างมากในการชำระล้าง อย่าโกรธแค้นตัวเองที่ทำชั่วมามาก ให้ทำความเข้าใจว่ากิเลสมันก็พาให้โง่ ให้หลงไปแบบนั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาพากเพียรล้างไป

อย่าไปโกรธเขาที่เขาพยายามที่จะเข้ามาจีบ มาหว่านล้อมเรา เพราะเขาไม่เข้าใจว่าความสุขแท้คืออะไร เขาก็แค่เล่นตามบทบาทของเขา เพื่อที่จะเอาชนะใจเรา เขามีความหลงผิดของเขา เราควรทำใจให้เมตตาเขา อย่าไปโกรธ อึดอัน ขุ่นเคืองใจในความไร้เดียงสาของเขา เมื่อเราล้างกิเลสไปโดยลำดับ เราจะยิ่งเห็นความจริงไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นการจีบ การดูแลเอาใจ จะเห็นความจริง คือกิเลสต่าง ๆ ที่แทรกอยู่ในลีลา อาการ คำพูด มารยาเหล่านั้นที่เขาแสดงออกมา ในเบื้องต้นเราจะชัง ซึ่งเป็นธรรมชาติของลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติธรรม มันจะต้องชังความชั่วก่อน ถึงจะล้างความชั่วได้ พอล้างความชั่วได้ ที่เหลือคือล้างความยึดดี ซึ่งก็ต้องจับความชัง แล้วล้างไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกหวั่นไหว ไม่เป็นสุขอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น

อย่าโกรธใครเขาที่ไม่เข้าใจเรา ในการปฏิบัติตนเป็นโสด ถ้าเขาจะไม่เข้าใจ ก็ถูกของเขา พอมาถึงจุดหนึ่งมันจะเหนือการรับรู้อย่างสามัญของโลกไปแล้ว แม้เขาจะเข้าใจอยู่บ้างว่า ศาสนาพุทธก็พากันยินดีในความเป็นโสด แต่เขาไม่เข้าใจหรอกว่าความเป็นโสดนั่นแหละคือความยินดี เต็มใจ พอใจ สุขใจ ถ้าเขาคิดเอาเอง ถ้าเป็นเขา เขาก็เป็นทุกข์ เขาจะไม่เข้าใจหรอกว่าการตั้งตนอยู่บนความโสดนั้นผาสุกอย่างไร มันเป็นเหมือนดินแดนอันเป็นทิพย์ที่เข้าไปได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตนตั้งอยู่ในคุณอันสมควรแล้วเท่านั้น ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่คนรอบข้างจะไม่เข้าใจ ให้เมตตาเขา อย่าไปถือสาเขา

  1. ปล่อยวางอย่างลูกหลานพระโพธิสัตว์

เมื่อเราทำงานของเราเสร็จ เราล้างความอยากมีคู่ของเราได้สำเร็จจนไม่เหลือแม้เศษฝุ่น หรือเศษเสี้ยวแห่งความหวั่นไหวใด ๆ ในใจเลย เราก็จะเหลือแต่งานนอก คือช่วยเหลือผู้อื่น

ด้วยกำลังของปัญญาที่เราสะสมมา จะทำให้เราเห็นมากกว่าที่เคยเห็น คือมีตาทิพย์ หูทิพย์ จะได้เห็นได้ยินความจริงตามความเป็นจริง นี่กิเลส นี่มารยา นี่ทุกข์ ปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้ จะสามารถเป็นผู้จำแนกอาการกิเลสและรู้วิธีแก้ตามประสบการณ์เท่าที่เราเคยได้ทำมา เราทำมาเท่าไหร่เราก็เก่งเท่านั้น แม้เราจะเก่งน้อยที่สุดของผู้มีปัญญาพ้นความอยากมีคู่ แต่ก็ความเก่งนั้นก็ยังห่างไกลกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างมากจนเทียบกันไม่ได้ นั่นหมายถึงเราจะสามารถเริ่มนำมาความรู้มาช่วยคนได้

คนที่เราช่วยแบบผ่านมาผ่านไปก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่คนที่เข้ามาจีบเรานี่แหละ เราจะช่วยอย่างไร กรรมเป็นของของเรา เราทำมา เราก็ต้องรับ ชาติใดชาติหนึ่งก็ไปหลับหูหลับตาจีบคนที่ไม่สมควรจีบแบบนี้แหละ ก็ทำความเข้าใจตรงนี้ ว่าแล้วก็ช่วยแนะนำเขาเท่าที่ปัญญาตัวเองมี หรือไม่ก็แนะนำคำสอนของครูบาอาจารย์ ก็ช่วยไปโดยสังเกตไปโดยลำดับว่าพาเขาลดกิเลสได้ไหม พาเขาคลายความอยากจะเข้าหาเราได้ไหม

ถ้าทำสำเร็จ นั่นก็เพราะความดีมันสังเคราะห์กันพอดี เขาก็ทำดีมามาก เราก็มีปัญญาพอจะช่วยเขา และที่สำคัญเขายอมให้เราช่วย มันจึงสำเร็จ

แต่โดยมากมันจะไม่สำเร็จ พอเมตตาไปแล้ว ลงมือช่วยไปแล้ว มันไม่สำเร็จ จะทำอย่างไร? ขั้นตอนนี้คือตอนจบของการปฏิบัติธรรม คือปล่อยวางให้ได้ ทำดีเต็มที่ สุดความสามารถแล้ว มันไม่ได้ผล งานที่ต้องทำมันก็เหลือแค่เลิกทำงานเท่านั้นเอง การปล่อยวางเป็นองค์ประกอบของหนึ่งที่สำคัญของนักปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การผลักดันช่วยเขาไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่พร้อม เขายังไม่ถึงวาระที่จะเข้าใจธรรมะจากเรา เขายังไม่ถึงเวลาที่เขาควรจะพ้นทุกข์ เขายังมีอกุศลวิบากที่ต้องใช้ เขายังมีบาปที่ต้องหลงต่อไป ให้เราทำความเข้าใจแล้วปล่อยวาง

ซึ่งก็ไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ต้องห่วงใคร เพราะแม้ว่าเราจะไม่สามารถที่จะช่วยเขาไว้ได้ แต่เขาจะจำสิ่งที่เราสอน สิ่งที่เราทำให้ดู สิ่งที่เราอยู่ให้เป็นตัวอย่าง แล้วพอเขาทุกข์มาก ๆ จากบาป จากอกุศลกรรมของเขา เขาจะระลึกได้ แล้วเขาจะหันมาทำตาม การที่เขาได้ให้โอกาสเราได้ช่วยเขา มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้กันได้แล้ว เราจะได้ทำหน้าที่เท่าที่ฟ้าให้เราทำ ความสำเร็จไม่ใช่สมบัติของเรา สมบัติของเรามีเพียงความผาสุก สงบเย็น แม้จะไม่สามารถช่วยใครได้ก็ตามที แท้ที่จริงเราก็ได้ช่วยไปแล้วนั่นแหละ เราได้ลงมือไปแล้ว เราได้ทำมันก็สำเร็จเท่าที่เราทำ แต่ผลสำเร็จที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นของเขา ของโลก เป็นส่วนของคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สมบัติของเรา เราจึงไม่ได้สิ่งนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาเพื่อจะเอาอะไร แม้จะเอาการได้ช่วยเราก็ไม่เอา เราก็ทำหน้าที่ไปตามธรรม เขาให้ทำ เราก็ทำเต็มที่ เราไม่ให้ทำ เราก็ปล่อยวางให้เต็มที่ แค่นี้ก็สุขที่สุดหาอะไรเปรียบได้แล้ว

สรุป… ความดีงามที่สุดคือทำตนเองให้พ้นความอยากมีคู่ให้ได้นั่นแหละ ดีที่สุด สมบูรณ์และเป็นไปได้มากที่สุด ส่วนเรื่องที่ปฏิบัติต่อคนอื่นให้เกิดกุศล ก็ทำไปตามความรู้ของตนตามที่ได้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านต่าง ๆ และพร้อมวางใจ เพราะโลกนี้ พร่องอยู่เป็นนิจ จะหาความสำเร็จที่สมบูรณ์ไม่ได้เลย

30.11.62

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

สุขกว่าโสด ในโลกนี้ไม่มี

August 1, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,573 views 0

สุขกว่าโสด ในโลกนี้ไม่มี

สุขกว่าโสด ในโลกนี้ไม่มี…

ความจริงข้อหนึ่งที่เป็นอมตะไปตลอดกาลนั่นก็คือ ความเป็นโสดนั้นคือสถานะที่สงบสุขที่สุด แต่ความจริงนี้กลับถูกบดบังไปด้วยความหลงผิด จนทำให้ความจริงเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ถึงกระนั้นความจริงก็ยังเป็นความจริง ความสุขที่สุดก็คือสุขที่สุดและมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

หากจะหาข้อดีที่สุดของความโสดที่ว่าสุขนั้น ก็คงจะต้องยกเรื่องของความไม่มีทุกข์ขึ้นมาว่ากัน เพราะความโสดนั้นไม่ต้องประสบทุกข์ใดๆ จากการมีคู่เลย ผู้ที่ล้างความอยากมีคู่ ล้างความหลงในสุขลวงได้จริงจะเห็นแต่ความทุกข์ในการมีคู่ นั่นหมายถึงการจะพ้นทุกข์เหล่านั้น ก็คือความเป็นโสด นั่นหมายความว่าการไม่ต้องทุกข์จากการมีคู่ก็สุขมากเกินพอแล้ว

แต่ความสุขจากความโสดกลับไม่ใช่สิ่งที่มีในโลกนี้ แต่เป็นเรื่องของโลกหน้า…. โลกนี้คืออะไร? โลกนี้ก็คือโลกที่ยังมีกิเลส ยังหลงสุข หลงติดหลงยึดในรสสุขของการมีคู่ ผู้ที่มีตัณหาและอุปาทานในการมีคู่ จะไม่สามารถหาความสุขของความโสดได้เลย เพราะเขาหลงว่าการมีคู่เป็นสุข เมื่ออยากได้อยากเสพการมีคู่แล้วไม่สมใจอยากก็ต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นความโสดจึงเป็นทุกข์สำหรับชาวโลกีย์ เป็นเหมือนคำสาป เป็นเหมือนคุกเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความอยาก

โลกหน้าคืออะไร? โลกหน้าก็คือโลกที่พ้นไปจากกิเลส พ้นจากความอยาก พ้นจากความหลงติดหลงยึดในสุขลวง เกิดดวงตาเห็นธรรมว่าแท้จริงแล้วการมีคู่มีแต่ทุกข์ ทุกข์ และทุกข์ ดังนั้นความสุขในความโสดจึงมีเฉพาะผู้ที่เข้าถึงโลกหน้า คือโลกุตระ ไม่มีความเห็นเหมือนกับคนทั่วไป แตกต่างจากผู้คนทั่วไป

ถ้ามองในมุมโลกียะ ความสุขกว่าความโสดย่อมมีมากมาย ซึ่งหลายคนสามารถพิจารณาข้อเสียของความโสด ข้อดีของการมีคู่เพื่อเข้าถึงสุขลวงได้อย่างมีความสุขจริงๆ เกิดรสสุขจริงๆ แต่สุขนั้นไม่ใช่ของจริง มันเสื่อมสลายและเลือนหายได้ จึงเป็นความหลงในสุขลวงอย่างแท้จริง

ถ้ามองในมุมโลกุตระ ความสุขกว่าความโสดยอมไม่มี ซึ่งเราไม่สามารถพิจารณาถึงข้อดีของการที่เราจะไปมีคู่ได้เลย นึกไปก็เห็นแต่ข้อเสียมากมาย และเห็นแต่ข้อดีของความเป็นโสด เพราะเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ยั่งยืน มีความเต็มในตนเอง ไม่ขาดไม่พร่อง ไม่ต้องเรียกร้องโหยหา

หากเรายังไม่สามารถชำระล้างความอยากในการมีคู่ได้เราก็จะไม่เห็นความสุข ไม่เห็นคุณค่าใดๆในความโสด จะเห็นแต่ประโยชน์ของการมีคู่

หากเราชำระความอยากในการมีคู่ได้ เราก็จะไม่เห็นว่าสุขลวงที่เคยมีเป็นความสุขอีกต่อไป เราจะเห็นความจริงตามความเป็นจริง เห็นทุกข์แท้ๆที่เกิดขึ้นจากความผูกพัน เป็นบ่วงของกันและกัน และจะเป็นโสดด้วยจิตใจที่ยินดีเพราะรู้แจ้งในโทษชั่วของกิเลสเหล่านั้น

ตามความเห็นทางโลกเขาก็จะสรรหาเหตุผลดีๆมากมายในการมีคู่ หาข้อยกเว้น หาข้ออ้างที่ดูดี เพื่อที่จะให้การมีคู่นั้นดูเป็นที่น่ายอมรับ เป็นที่น่าชื่นชม เป็นเกียรติ เป็นศักดิ์ศรี เป็นคุณค่า เป็นตัวตน

ตามความเห็นทางธรรม ก็จะไม่พยายามแสวงหาเหตุผลใดๆมาค้านแย้งคุณค่าของความโสด เพราะพระพุทธเจ้าก็ตรัสเกี่ยวกับโทษของการมีคู่ไว้มากมาย ดังนั้นผู้ที่ใฝ่ในธรรมจึงไม่คิดจะต่อต้านความเห็นที่ว่าความโสดคือสถานะที่ดีที่สุดสู่การพ้นทุกข์

…. จากที่ยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่า มุมมองของคนเรานั้นต่างกัน แต่ความแตกต่างนั้นมีเหตุ นั่นก็คือกิเลสเป็นเหตุของความแตกต่าง ผู้มีกิเลสจะมีความแตกต่างกันไปตามความหลงติดหลงยึดของแต่ละคน แต่ผู้ที่ล้างกิเลสในเรื่องคู่ได้นั้นจะมีความเห็นตรงกัน เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ขัดกัน นั่นเพราะการหลุดพ้นจากกิเลสนั้นมีรสเดียวกัน ใครที่สามารถปฏิบัติจนถึงผลได้ก็จะรับรู้เหมือนกัน

ดังนั้น คำว่า “สุขกว่าโสด ในโลกนี้ไม่มี” จึงเป็นคำกำกวมที่ตีความได้ตามความเห็น ถ้ายังมีความอยากก็จะเข้าใจในแนวทางที่ว่า “ ความสุขกว่าความโสดมันไม่มีจริงในโลก” แต่ถ้าไม่มีความอยากก็จะเข้าใจในแนวทางที่ว่า “ ในโลกนี้ไม่มีความสุขใดเท่าความโสดแล้ว

แต่ความจริงนั้นความโสดคือสถานะที่ดีที่สุดในการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ เราจะควรพิจารณาคุณค่าของความโสดเพื่อเข้าถึงประโยชน์นั้น และควรพิจารณาโทษ ภัย ผลเสียของการมีคู่เพื่อออกจากความหลงเสพหลงสุขนั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

30.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

โสดอย่างไร ให้ใจเป็นสุข

July 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,389 views 1

Download ภาพขนาดเต็ม กดที่นี่

โสดอย่างไร ให้ใจเป็นสุข

ความโสดนั้นมีมิติที่หลากหลายแตกต่างกันไป หากเรามองความโสดด้วยมุมมองทั่วไปในสังคม ก็มักจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครให้คุณค่าหรือใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นโสดกันสักเท่าไหร่

ในบทความนี้ก็จะแบ่งความโสดออกเป็นระยะกว้างๆด้วยกันสามระยะ คือโสดที่ยังมีความอยากมีคู่ โสดที่ไม่อยากมีคู่ และความโสดที่ไม่มีทั้งความอยากและไม่อยากมีคู่ มาเริ่มกันที่ความโสดแบบแรกกันเลย

โสดอยู่ไม่เป็นสุข (นรกคนโสด)

คือความโสดที่ยังเต็มไปด้วยความอยาก มีความต้องการ แสวงหาคู่ครอง แม้ว่าจะแสดงอาการหรือไม่ก็ตาม หากใจนั้นยังไม่ปิดประตูของการมีคู่ ก็ยังเรียกได้ว่า โสดแบบอยู่ไม่เป็นสุข การที่ความอยากนั้นยังไม่แสดงอาการ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีกิเลส ซึ่งอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นเด็กทารก เขายังไม่มีความอยากมีคู่ แต่ไม่ได้หมายความเขาจะไม่มีกิเลส

คนโสดที่อยู่ไม่เป็นสุข ก็เหมือนอยู่ในนรกคนโสด ต้องทุกข์กับความอยากมีคู่ พอหาคู่ได้ก็เปลี่ยนไปอยู่ในนรกคนคู่ พอเลิกคบหากันแต่ยังมีความอยากอยู่ ก็เวียนกลับมานรกคนโสด ซึ่งไม่ว่าจะโสดหรือจะมีคู่ก็ต้องถูกเผาด้วยไฟราคะ คือทุกข์จากความอยากเสพรสสุขใดๆก็ตามในการมีคู่ วนเวียนโสดบ้างมีคู่บ้าง แต่ก็หนีไม่พ้นความทุกข์จากกิเลสอยู่ดี

โสดบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ (อยู่ในโลก)

คือความโสดที่เกิดจากความไม่อยาก ด้วยการสร้างคุณค่าให้ตนเอง เติมช่องว่างในใจที่เคยเผื่อไว้ให้ใครสักคนให้เต็มด้วยอัตตาของตน จนกลายเป็นคนที่เต็มคน แข็งแกร่ง พึ่งตนเองได้ มีศักดิ์ศรี ไม่ยอมกลับไปมีคู่เพราะความยึดดี ซึ่งอาจจะเกิดจากความเจ็บช้ำ ความผิดหวังเมื่อตอนมีคู่ ผ่านประสบการณ์ที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่าการมีคู่นั้นทำให้ต้องประสบทุกข์อย่างมาก

แต่แม้จะเป็นความโสดที่แข็งแกร่งเพียงใด ความไม่อยากนั้นก็ยังเป็นทุกข์อยู่ดี ซึ่งเกิดจากอาการผลักการมีคู่อย่างรุนแรง ไม่อยากมีคู่เพราะเหตุผลบางอย่าง แต่กิเลสนั้นเป็นพลังงานที่เติบโตได้ ขยายได้ ปรับเปลี่ยนขั้วได้ เพราะไม่ว่าอยากหรือไม่อยากก็คือตัณหาเหมือนกัน อยากในสิ่งหนึ่งก็เกลียดอีกสิ่งหนึ่ง ไม่อยากในสิ่งหนึ่งก็ชอบอีกสิ่งหนึ่ง เช่นอยากมีคู่ก็เกลียดความโสด อยากเป็นโสดก็เกลียดการมีคู่

เมื่อยังมีความอยากและไม่อยาก มันก็จะสร้างทุกข์ให้กับตัวเองอยู่เรื่อยๆ ซ้ำร้ายวิบากกรรมอาจจะดึงสิ่งที่ไม่อยากได้คือการมีคู่ให้มาเข้าใกล้ พอโดนยั่วกิเลสเข้ามากๆก็อาจจะเวียนกลับไปมีคู่ได้ สุดท้ายก็ต้องเจอกับทุกข์แล้ววกกลับมาโสดแบบเกลียดการมีคู่อีก เปลี่ยนภพไปมาแบบนี้จนกว่าจะทำลายความอยากและไม่อยากจนสิ้นเกลี้ยง

โสดอย่างเป็นสุข (อยู่เหนือโลก)

คือความโสดที่ข้ามพ้นจากความอยากและไม่อยาก แล้วเลือกเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่มีโทษ มีทั้งประโยชน์ตนเองและประโยชน์ต่อผู้อื่น นั่นก็คือการเลือกเป็นโสด

ความโสดที่อยู่เหนือโลก นั้นคือโสดแบบโลกุตระ ไม่ไปเสพอย่างโลกีย์ และไม่ยึดดีอย่างโลกีย์ ไม่มีทั้งความอยากมีคู่ และความไม่อยากมีคู่ เพราะตัณหานั้นคือเหตุสู่ความทุกข์ สภาวะของความโสดเช่นนี้จึงเป็นสุขที่สุดในสภาพโสดทั้งหมด เป็นโสดที่ไม่มีทุกข์เจือปนอยู่แม้น้อย ที่ไม่มีทุกข์เพราะไม่มีกิเลสใดๆในเรื่องคู่ที่ผลักดันให้ต้องไปเสพ หรือต้องไปมีคู่กันให้ลำบาก

ความโสดเช่นนี้ไม่ใช่สภาพที่จะเลือกเอาได้ แต่สามารถเลือกที่จะปฏิบัติจนถึงผลเช่นนี้ได้ โดยจะต้องใช้ความเพียรในการชำระล้างกิเลสในเรื่องของคนคู่ให้หมดสิ้นไป จึงจะเกิดสภาพของความโสดที่ไม่มีทุกข์ใดๆเจือปนอยู่เลย

การพัฒนาจิตใจอย่างถูกตรงนั้นจะมีผลให้เกิดการหลุดพ้นอย่างถูกตรงเช่นกัน สภาพของความโสดอย่างเป็นสุข จะไม่มีการเวียนกลับไปมีคู่อีก ไม่กำเริบ ไม่แปรปรวน ยั่งยืน ยาวนาน ตลอดกาล ไม่เป็นอื่นใดอีก จะคงความโสดที่ไม่มีทุกข์ใดๆอยู่เช่นนั้นไปตลอดกาล

ไม่ใช่เพราะหาคู่ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีใครเอา ไม่ใช่เพราะว่าแก่เกินวัย ไม่ใช่เพราะไม่เหมาะสมกับใคร ไม่ใช่เพราะไม่มีใครดีพอ แต่เป็นเพราะเกิดญาณปัญญารู้ว่าความโสดนี่แหละเป็นสุขที่สุดแล้ว ที่สุขที่สุดเพราะมันไม่มีทุกข์ใดๆเลย และนี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว จะต่างกันกับชาวโลกีย์ที่มองว่าการมีคู่นั้นเป็นสุข หรืออย่างดีก็จะเห็นว่ามีสุขมีทุกข์ปนกันไป

แต่สำหรับชาวโลกุตระนั้นจะมองเห็นว่ามีเพียงแค่ทุกข์กับทุกข์เท่านั้น และเห็นว่าสุขที่เคยเข้าใจว่าเป็นสุขนั้น คือสุขลวงทั้งสิ้น ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน ไม่มีตัวตน เป็นของว่างเปล่า ดังนั้นจึงไม่มีข้อกังขาใดๆ ในเรื่องของการมีคู่อีก ไร้ซึ่งความลังเลสงสัยแม้แต่น้อยนิดในใจว่าทำไมต้องเลือกความโสด เพราะรู้แน่ชัดในตนแล้ว เกิดปัญญารู้ในตนแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างได้อีก

ไม่ว่าจะถูกเสนอด้วยคู่ครองรูปงาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกีย์อีกเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจที่หลุดพ้นจากกิเลสในเรื่องคู่นี้ได้ เพราะไม่ว่าจะได้อะไรมาแลกก็จะไม่ยอมสละความโสดนี้ไป ไม่มีอะไรมีคุณค่ากว่าความโสดนี้ ไม่มีการตั้งเงื่อนไข ไม่มีข้อแม้ ไม่มีช่องว่างใดๆเหลือไว้ให้จิตใจคิดถึงการมีคู่อีก

….สรุปบทความนี้กันด้วยหลักทางสายกลาง ความโสดที่ยังแสวงหาอยู่นั้นคือความโต่งไปในด้านของกาม ส่วนความโสดที่เกลียดการมีคู่นั้นคือความโต่งไปในด้านอัตตา และความโสดอย่างเป็นสุขที่ไม่แสวงหาคู่ ไม่ต่อต้านการมีคู่ แต่ก็ไม่สนับสนุนการมีคู่ คือทางสายกลางอย่างแท้จริง

– – – – – – – – – – – – – – –

29.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)