Tag: ประพฤติตนเป็นโสด

มีคู่ดี หนียาก พ้นทุกข์ยาก

May 17, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 614 views 0

วันก่อนพิมพ์บทความเกี่ยวกับความผาสุกของคนที่มีคู่ดีเมื่อเทียบกับคนโสด วันนี้จะมาบอกโทษของการมีคู่ที่ดี เป็นคนดี นิสัยดี ฯลฯ

การมีคู่ดี ก็เป็นเรื่องที่คนในโลกส่วนมากใฝ่หาอยู่แล้ว ใครล่ะจะอยากมีคู่ไม่ดี เขาก็อยากมีดี ๆ กันทั้งนั้น เหมือนอาหาร เขาก็อยากกินแต่ของอร่อย ใครมันจะไปอยากกินของไม่อร่อย ความอยากมันก็แบบนี้ มันจะเสพมาก เอามาก เป็นภพที่ฝังวิญญาณอยู่ สะกดไม่ให้ได้ออกไปไหน

แต่โทษภัยในคู่ดีนั้นยิ่งล้ำลึกออกยาก เรียกว่าถ้าคนจะประพฤติตนเป็นโสดแล้วดันมาเจอคู่ดี ถ้าไม่มีปัญญาจริงก็เรียกว่าไปไม่เป็นกันเลย คือไปไหนไม่รอด ต้องจมปลักอยู่กับความดีของเขา

เพราะคู่ไม่ดี คู่ชั่ว ผิดศีลกันชัด ๆ นี่เขาก็มีโทษมาก มีเหตุผลให้ออกได้ง่าย ๆ แต่เชื่อไหม แม้จะมีคู่ชั่ว ผิดศีล คบชู้ นอกใจ ใช้ความรุนแรง หลายคนก็ยังออกไม่ได้เลย เขาชั่วอยู่ชัด ๆ ก็ยังออกไม่ได้เลย ด้วยความหลงสุขบ้าง หลงทรัพย์จากเขาบ้าง ไม่มีอำนาจเหนือเขา ต้องยอมอยู่ภายใต้การผิดศีลเบียดเบียน

ไม่ต้องคิดเลยว่าคู่ดีจะออกยากขนาดไหน มันจินตนาการไม่ออกเลยที่จะทิ้งคนที่ดีพร้อมตามที่เราต้องการ ยิ่งดีเหนือคนอื่น อัตตามันจะยิ่งโตไปกันใหญ่ จะยิ่งภูมิใจ ยิ่งยึดมาก

ที่ยึดมากเพราะเราไปให้คุณค่าเขาไว้เอง คือเขาดี มันก็ดีของเขา แต่เราไปเอาดีของเขามาเป็นของเรา มันก็จะให้ความสำคัญกับเขา แล้วมันก็จะไม่ยอมพราก เพราะเข้าใจว่าคู่ดีมีศีลคือสิ่งสำคัญ เป็นของหายากในโลก

โทษของคู่ดีก็คือผูกเราไว้ในนรกนั่นแหละ จะว่าคู่ดีมันทุกข์น้อยกว่าคู่ไม่ดีมันก็ใช่ แต่มันยังทุกข์มากอยู่ เมื่อเทียบกับสถานะดี ๆ อีกมากมาย

ก็เหมือนนางวิสาขา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่ 7 ขวบ แต่จนโตก็ตันอยู่ที่โสดาบัน เพราะหลงในความรัก คู่ครอง ครอบครัว มันก็ตันอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า เทศน์ให้ฟัง ให้ก้าวขึ้นมาจากความทุกข์ ให้ออกมาจากนรก ก็ไม่ได้มีสัญญาณใด ๆ ว่าพยายามจะขึ้นมา

หลักฐานจากพระไตรปิฎกก็มีอยู่แค่นี้ คือได้สอน แต่ไม่มีบทบรรยายว่าได้ฟังแล้วบรรลุธรรมหรือร่าเริงในธรรมเหมือนท่านอื่น ๆ ก็สรุปความได้ว่านางก็คงจะยินดีอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ

ปฏิบัติธรรมมาประมาณหนึ่ง ชีวิตมันก็จะดี แถมเจอคนดีอีกต่างหาก มันจะก็จะออกยาก รักคู่ รักครอบครัว รักไปหมด มันก็ผูกไว้ ฝังไว้กับทุกข์ มันก็เป็นกิเลสนั่นแหละ ที่ดันไว้ไม่ยอมให้ขึ้นไปมากกว่านั้น แม้จะมีสัตบุรุษสูงสุดช่วยอยู่ แต่ถ้าไม่พาตนเองปีนขึ้นมาจากทุกข์มันก็ไปต่อไม่ได้

คู่ดีก็มีโทษประมาณนี้แหละ ก็อาจจะมีมรรคผลระดับหนึ่ง มีวิบากกรรมที่ดีระดับหนึ่งเลย ได้มาเจอคนที่ดี ที่เขามีศีล ไม่เบียดเบียนมาก

แต่มันก็ยังมีทุกข์มากอยู่ไง ทุกข์จนร้องห่มร้องไห้ เพราะความรักเป็นเหตุนั่นแหละ

ทุกข์มากที่ว่านี่มันก็เห็นกันได้ยาก คนทั่วไปเขาก็เห็นกันว่าทุกข์น้อย เขาเห็นว่ามีคู่ดี เขาก็ยอมทนทุกข์ที่จะเกิด เพราะเขาคิดว่ามันไม่น่าจะเยอะ ขนาดคู่ไม่ดีไม่มีศีล คนส่วนใหญ่เขายังยอมทนทุกข์กันเลย เพราะเขาหลงว่าสุขมันมากกว่าทุกข์ หรือแม้จะทุกข์ก็มีสุขให้เสพ

พระพุทธเจ้าบอกรักมีแต่ทุกข์ … ส่วนสุขท่านไม่ได้กล่าวถึง คือมันไม่มีนั่นแหละสุข แต่คนเขาปั้นขึ้นมาตามกิเลสเขา กิเลสมากก็สุขจากรักมาก กิเลสน้อยก็สุขจากรักน้อย ไม่มีกิเลส รักก็ไม่มีสุขเลย เพราะสุขมันลวงไปตามอำนาจของกิเลส

ความสุขความทุกข์ในรัก จะรุนแรงแปรผันตามกิเลส สุขเท่าใด ทุกข์เท่านั้น มีน้ำหนักที่จะเกิดแรงตามการปรุงแต่งในจิต

ถ้าจะเปรียบการมีคู่ดี ก็คงจะเหมือนได้เงินมา 100 ล้านแล้วพอใจนั่นแหละ ตามที่เขาว่า “เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร” คือคนรักนี่มันมีค่ามาก แต่เขาไม่รู้ว่า ที่ดีที่เลิศกว่าคนรักที่ดีก็ยังมีอยู่ ถ้าพ้นความอยากมีคู่ดีไปได้ ก็เทียบได้ว่ามีเงินเป็นอนันต์ ใช้ไม่มีวันหมด

แต่ 100 ล้านนี่มีหมด มันใช้หมดได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งนั่นแหละ เพราะกามราคะเปรียบเหมือนหนี้ สุดท้ายมีเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายหนี้จนหมด

คู่ดีนี่มีค่าใช้จ่ายนะ คือต้องทำกรรมดีมามากพอถึงจะเจอคนดี แต่ถ้าเอากรรมดีไปแลกตามกิเลสนี่มันจะหมดไปอย่างรวดเร็ว พวกทำดีแลกกิเลส ภาพก็จะคล้ายเศรษฐีตกอับ วันหนึ่งมี อีกวันหนึ่งหมด พอหมดแล้วหมดเลย เป็นยาจกเลย

คู่ดีก็เหมือนกัน เขามีเวลาจำกัดของเขา เขาไม่เที่ยง เขาไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน แปรผันได้ตลอดเวลา แต่ความตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดนี่สามารถทำให้ยั่งยืนไม่เวียนกลับไม่แปรผันได้ คือสามารถทำให้ความโสดนั้น “เที่ยง” ได้

พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับสภาวะนิพพาน 7 ประการ คือสภาพที่กิเลสดับ หนึ่งในนั้นคือ เที่ยง คือกิเลสดับอย่างแน่นอน ไม่แปรกลับ ไม่แปรปรวน คนที่ประพฤติตนเป็นโสดอย่างถูกมรรคผล จึงมีความผาสุกที่ยั่งยืน ยาวนาน ถาวร

ต่างจากคนมีคู่ดี ที่แม้จะดี แต่ก็จะมีความทุกข์ต่าง ๆ นา ๆ ที่เกิดด้วยเหตุแห่งคู่ครองหรือครอบครัวอยู่ทุกวี่วัน ต่างจากคนโสดที่จัดการความอยากของตนได้แล้ว เขาย่อมไม่เป็นทุกข์ อยู่ผาสุกสบายทุกวี่วัน

สรุปว่าโทษของการมีคู่ดี ก็คือมันยังพาทุกข์มากอยู่นั่นเอง เพราะสุขที่มากกว่านั้นมันยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าการมีคู่ดีคือสภาพที่เลิศยอด แต่ที่ยอดกว่าคือไม่มีคู่ชีวิตก็ยังดีอยู่ อันนี้สิดี

อาการดูดดึง (เรื่องความรัก)

March 13, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 849 views 0

ก็มีคนเขามาเล่าว่า เจอคนที่มีอาการดูดดึง แต่จากที่เล่า เขาก็ไม่ชัดในอาการของตนเองสักเท่าไหร่นัก ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดได้กับผู้ประพฤติตนเป็นโสดมือใหม่ทุกคน

เมื่อเราตั้งใจแล้วว่าจะเป็นโสด ก็เหมือนเริ่มเกมตำรวจจับผู้ร้าย ทีนี้เราก็ต้องจับโจรให้ได้ จะจับได้ก็ต้องใช้สติ เพราะโจรมันทั้งไว ทั้งพรางตัว ถ้าสติเราไม่แกร่ง ไม่แม่น เราจะจับโจรหรืออาการเหล่านั้นได้ไม่ชัด

จะย่อสติปัฏฐาน 4 ที่เป็นเครื่องมือปฏฺิบัติในการตรวจจับกิเลสสั้น ๆ ให้พอเข้าใจกัน

กายในกาย – มีสติรู้อาการที่เปลี่ยนแปลงไป ที่เกิดขึ้นในร่างกาย เช่น หัวใจเต้นแรง , หันไปมองบ่อย , ประหม่า ฯลฯ

เวทนาในเวทนา – มีสติจับอาการสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดขึ้น มันจะมีไป 3 ทาง ถ้าเราเจอคนที่ชอบ มันก็จะสุข ก็ต้องจับทางให้ได้

จิตในจิต – มีสติจับตัวตนของกิเลส ว่าที่เกิดสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์นั้น ๆ เกิดเพราะเรามีความเห็นอย่างไร เราเห็นผิดอย่างไร (มิจฉาทิฏฐิ) ประเด็นไหน มุมไหน

ธรรมในธรรม – มีสติรู้ว่าจะต้องใช้ธรรมหมวดไหน ข้อไหน ประโยคไหน มาแก้สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นดี เป็นของน่าได้น่ามี เราก็ใช้ธรรมของพระพุทธเจ้าว่า เป็นลาภเลว ไม่น่าได้ ไม่พาพ้นทุกข์ ไม่ประเสริฐ เป็นต้น

ธรรมในธรรมนี้จะเป็นลักษณะของการสอนใจ หรือการดัดจริต จากมิจฉา(ผิด) ให้เป็นสัมมา(ถูก) ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีครูบาอาจารย์และมิตรดีสหายดีที่มีธรรมในเรื่องนั้น ๆ ช่วยเป็นมาตรฐาน หรือกรอบของความดีให้ปฏิบัติตามได้

… เมื่อเราจับอาการได้ บางครั้งเราอาจจะประมาณตัวเองไม่ถูก ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะแก้ไขเหตุการณ์ตรงหน้ายังไง ก็ให้ประเมินไว้ก่อนเลยว่า “สู้ไปก็แพ้แน่นอน” ดังนั้นการหนีจึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม

หนี แล้วห่างไว้ คือห่างจากสิ่งที่ทำให้ต้องกังวลและหวั่นไหว ในเมื่อเรายังไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับโจทย์นั้น เราก็ควรจะเลี่ยงออกมาก่อน แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมในเรื่องที่พอจะทำไหว สะสมกำลัง สะสมชัยชนะไปเรื่อย ๆ จะแกร่งขึ้น อินทรีย์พละจะสูงขึ้นจากการล้างกิเลสได้เป็นเรื่อง ๆ โดยลำดับ

ถ้ากำลังสติแกร่ง ๆ จะจับอาการได้ก่อนที่คอจะหันไปมอง ก่อนจะกลอกลูกตาไปดู จะจับความรู้สึกอยากจะเสพในใจได้ รู้ว่าอยากเป็นสุข ได้มองแล้วจะเป็นสุข เพราะหลงใน ? ของเขา แล้วใช้ธรรมมากำราบความกำเริบของกิเลสได้ทันที สู้วนไปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตัดกำลังกิเลสไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ ความเด็ดขาดจะขึ้นอยู่กับปัญญา (ความรู้จริงในโทษภัยของกิเลส) ไม่ใช่ความรู้ (ความจำตามที่เรียนมา) บางทีรู้มากแต่รู้ไม่ทันกิเลสก็มี ถึงเวลาที่กระทบควักความรู้ออกมาแทบไม่ทัน เผลอ ๆ เจอเขายิ้มให้ ความรู้หล่นกระจายหมด สติแตกกระเจิง แพ้ไปได้อีก

สภาวะดูดดึง รู้สึกแปลก รู้สึกพิเศษเหล่านี้ จริง ๆ มันก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก รู้แค่ว่าให้ระวังไว้ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวไว้ว่า “เจอปุ๊ปรักปั๊บนั่นแหละตัวเวร

คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ ไปล่อลวงใครมาก็หลายคนและซ้ำซากมาหลายต่อหลายชาติ ดังนั้น ถ้ามันจะมีสัญญาณว่า “เริ่มต้นยกที่ 1” มันก็ไม่แปลกอะไร อย่าไปให้ความสำคัญ มันเป็นเรื่องธรรมดา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อย่าไปติดในใจ อย่าไปยึดไว้ ปล่อยเขาไปตามเวรตามกรรมของเขา เหมือนที่โบราณเขาว่า ได้ยินเสียงเรียกอะไรกลางค่ำกลางคืน อยากไปทักกลับ อาการพวกนี้ก็เช่นกัน อย่าไปหาสาระอะไรกับมันมาก ไปสนใจ ไปใส่ใจ เดี๋ยวของจะเข้าตัว เดี๋ยวไปรับเขาเข้ามาในชีวิตแล้วมันจะยุ่ง

ถ้าเราไม่ชัดเจนว่าจะรับมือไหว ทำเฉย ๆ ห่าง ๆ ไว้จะดีกว่า ที่เหลือคือจะเผลอเอาตัวเองไปคลุกกับเขาเหมือนก่อนรึเปล่าเท่านั้นเอง ไปหลงงมงายอีกชาติรึเปล่า มันก็ต้องใช้ความอดทนเหมือนกัน เพราะบางคนเขาก็ตามจีบเป็นสิบ ๆ ปี การประพฤติตนเป็นโสดก็ยากตรงนี้แหละ ตรงที่เจ้ากรรมนายเวรเขาขยันมาคอยทวงหนี้บาปที่เราได้ก่อไว้

พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบ กามราคะเหมือนเป็นหนี้ ถ้าเรายังมีความอยากมีคู่ เราก็จะต้องจ่ายหนี้เรื่อยไป ไม่จบไม่สิ้น เพราะเราต้องเอาเขามาเป็นของเรา เอามาเสพ เป็นตัวเป็นตน เราก็ต้องจ่ายหนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกข์ไปเรื่อย ๆ เจ็บช้ำไปเรื่อย ๆ

ถ้าใครปลดหนี้ก้อน “คู่ครอง” ได้ ชีวิตก็สบายไปเยอะ จะเหลือหนี้ เหลือกามเรื่องอื่น ๆ มันจะเบาลงมา ก็ใช่ว่าไม่เป็นภัย เพียงแต่หนี้มันน้อยลง ก็จ่ายดอกเบาลง มันก็คล่องตัวขึ้น

ใครอยากมีชีวิตหนี้ จ่ายไม่จบไม่สิ้นก็ไม่ต้องปฏิบัติตนเป็นโสด ปล่อยไหลไปตามโลก ไปตามกิเลส เดี๋ยวก็มีเจ้าหนี้มาทวงในวันใดวันหนึ่งเอง แล้วเขาก็ไม่ได้ทวงอย่างสุภาพหรอกนะ เขาทวงกันอย่างมาเฟีย อย่างอันธพาล ไปดูเถอะ ความทุกข์ในชีวิตคู่หนักขนาดไหน เจ็บ แค้น อาฆาต ทำร้าย ฆ่ากันตาย ก็เริ่มต้นจากเหตุแห่งความหลงในรสรักทั้งสิ้น

กรณีศึกษา สารภาพบาป (เรื่องความรัก)

March 12, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 721 views 0

วันสองวันนี้ ก็มีคนที่เขามาสารภาพบาป 2 เคส ลักษณะคล้าย ๆ กัน ว่าเขาไปตกหลุมรัก ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกก็ดูเหมือนจะยินดีมาในทิศทางอยู่เป็นโสด

ก็เข้าใจเขาอยู่นะ เพราะจริง ๆ “มันยากมาก” สำหรับเรื่องคู่ ที่คนจะฝ่าไปได้ ถ้าไม่มีของเก่าสะสมมาก่อน คำว่าหืดขึ้นคอก็ดูจะเบาเกินไป

แต่ 2 เคสนี้เขาก็รอดกลับมาได้ แบบเหวอะหวะ ถ้าเป็นนักรบก็รอดกลับมาได้แบบเสียแขนเสียขาไปบ้าง คือ ตัดจบไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็ดีมากแล้วที่เอาตัวรอดมาได้ เคสหนึ่งมีกรรมเก่าตัดรอบช่วยเอาไว้ อีกเคสใช้สังฆานุสติ ระลึกถึงครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง กลับใจเอาตัวรอดมาได้

ซึ่งการที่เขาเอามาเล่านี่ เรียกว่าเขาก็มี “หิริ” (ความละอายต่อบาป) อยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งผมก็เคยเจอเคสที่หายไปเลยก็มี คือพอเขาเจอที่ถูกใจ เจอคู่ปุ๊ป ก็เหมือนจะตัดเราออกจากชีวิตไปเลย มารู้ข่าวอีกทีก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว เขาก็ปิดนั่นแหละ ปิดไม่ให้เรารู้ ไม่ให้เราไปเกี่ยวข้องกับเขา เขาก็หวังจะเสพได้โดยไม่มีใครขัดนั่นแหละ พวกนี้ก็มักจะหายแล้วหายลับ เพราะคงไม่กล้าแบกหน้ากลับมาเจอเราหรอก

ในกระบวนการกลุ่มของ แพทย์วิถีธรรม ก็มีการสารภาพบาปต่อหน้าหมู่กลุ่มเช่นกัน ว่าไปทำอะไรมา คิดยังไงถึงทำอย่างนั้น ผมเคยมีช่วงเวลาที่ศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกวันกว่า 6 เดือน ซึ่งความต่อเนื่องนี้เอง เราจะได้เห็น “การเคลื่อนไหว” ของจิตที่เปลี่ยนไปของแต่ละคน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่หาศึกษาได้ยาก หากไม่มีเวลาที่ใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน

การสารภาพบาป จะทำให้เกิดความเจริญ เพราะเป็นการทบทวนธรรมซ้ำในใจว่าทำไมถึงพลาด และยังเป็นการบอกกล่าวโดยนัยว่าจะไม่ทำอีก ซึ่งการตั้งจิตที่จะแก้ไขส่วนที่พลาดนี่แหละ คือความเจริญ เรียกว่าเจริญโดยลำดับแล้ว

แต่เป้าหมายของการหลุดพ้นจากเรื่องคู่ครองก็คือการอยู่เป็นโสดอย่างผาสุก ดังนั้น จึงยังไม่ควรหยุดที่จะพัฒนาตนเองหากยังไม่ถึงสภาพนั้น

การที่ยังไม่พลาดไปมีคู่ ก็หมายถึงยังมีโอกาสที่จะได้สู้อยู่ มันก็จะมีแพ้มีชนะไปโดยลำดับ แพ้ก็ไม่ใช่ปล่อยให้แพ้ร่วงยาวไปเลย ถ้าเผลอใจชอบเขา ก็อย่าเผลอไปตกลงคบหา ถ้าหลงตกลงคบหา ก็อย่ารีบหลงไปแต่งงาน ถ้าเผลอแต่งงานไปแล้ว ก็อย่าหลงไปมีลูก คนที่ 1 2 3 …

จริง ๆ ในเรื่องความรักนี่มันมีเวลามีโอกาสให้แก้ตัวเยอะ มีจุด check point เยอะ แต่ด้วยตัณหาคือความเร่ง ก็เหมือนคนเขาจะเดินทางจาก กรุงเทพไปถึงเชียงใหม่ด้วยความเร็วแสง อันนั้นก็เป็นธรรมดาของคนไม่มีสติ

การตั้งศีลว่าจะประพฤติตนเป็นโสด จะสร้างโอกาสให้สติได้เตือนเป็นระยะ ที่เจอคนที่ถูกใจ ที่ได้มอง ที่ได้คุย… ถ้าไม่ตั้งใจว่าจะเป็นโสด ก็เหมือนไม่ได้ตั้งเป้าหมาย ไม่ได้เขียนโครงงาน ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก มันก็จะหลงหลับใหลยาวไปเลย

ก็เหมือนกับคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมเรื่องนี้นั่นแหละ เขาก็เคลื่อนไปตามแรงเหวี่ยงของโลก แรงของกิเลส คือเจอกัน ชอบกัน คบกัน แต่งงานกัน มีลูกกัน ฯลฯ

สรุป การสารภาพบาปนั้นเป็นการยอมรับว่าสู้ไม่ได้ แต่ก็จะตั้งใจสู้ การไม่สารภาพบาปนั้น …เราก็ไม่รู้ใจเขาเหมือนกัน ส่วนการไม่ได้ตั้งจิตจะประพฤติตนเป็นโสดนั้น นอกจากจะไม่สู้แล้ว ยังไปเป็นทาสมารอีกต่างหาก

ใช่ว่าบัณฑิตจะจีบไม่เป็นนะ จริง ๆ เก่งกว่าคนเจ้าชู้เสียอีก

February 6, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 602 views 0

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เขาประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่านั่นคือบัณฑิต … ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจีบไม่เป็นเลยไปเอาดีทางธรรมนะ แต่มันตรงกันข้าม เพราะจริง ๆ เขาเข้าถึงที่สุดของการจีบและพบว่ามันไม่มีประโยชน์ต่างหาก

คนที่ปฏิบัติตนจนเข้าถึงผล ในเรื่องการปฏิบัติตนเป็นโสด จะมีความรู้ที่เกี่ยวกับการจีบ การล่อลวงให้คนรักคนหลงที่มากเป็นพิเศษ เรียกว่าเกินสามัญ เพราะสามัญเขารู้แค่จะทำอย่างไรให้จีบติด แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะรู้ไปถึงอะไรเป็นประโยชน์แท้ อะไรเป็นบาป เป็นทุกข์ โทษ ชั่วอีกด้วย

ถ้าจะให้นึกปรุงจิตมันก็ปรุงได้หมดนั่นแหละ จะล่อลวงเขายังไง จะทำให้เขามารักยังไง จะหลอกให้คนมาหลงรักหัวปักหัวปำยังไง มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย แต่ปัญหาคือมันทำแล้วไม่พาพ้นทุกข์ ตัวเองก็ต้องลำบาก เพราะทำอกุศล ส่วนคนอื่นก็หลงมัวเมา ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นเลย

ดังนั้นเมื่อรู้โทษชั่วดังนั้น ก็เลยไม่ทำชั่ว ไม่ไปจีบใคร เหมือนกับพระเจ้าอโศกมหาราช เก่งขนาดปราบทั้งแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็เลิกการฆ่า สนับสนุนการไม่กินเนื้อสัตว์ ถามว่าท่านฆ่าเป็นไหม? ตอบว่าสุดยอดนักรบเลยก็ว่าได้ จะฟันตรงไหน จะแทงตรงไหนให้ชนะ ท่านรู้หมดนั่นแหละ แต่ท่านก็เลิกทำ เพราะมันเบียดเบียนและไม่เป็นประโยชน์กับใคร

ท่านรู้แล้วว่าการเบียดเบียนมันเป็นโทษแล้วก็เลิก กลับตัวกลับใจ เอาอำนาจที่ตนมีมาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่พระพุทธศาสนา

ดังนั้น จะเรียนรู้ก็รู้ให้สุด เก่งก็เก่งให้สุด รู้ให้แจ่มแจ้งถึงหมดทุกข์หมดสุข แล้วที่เหลือก็เลือกเอาว่าจะทำอะไร

ผมท้าเลย คนเจ้าชู้ที่จีบเก่ง ๆ เนี่ย เขาไม่มีปัญญาพาคนออกจากวังวนของความรักได้หรอก พาเข้าได้ แต่พาออกไม่เป็นไง อย่างเก่งก็มอมเมาเขาไปเรื่อย ๆ แต่จะให้พ้นทุกข์ พ้นชั่ว พ้นหลงนี่เขาทำไม่ได้หรอก