Tag: ทาสกิเลส

สุดโต่ง

April 11, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,448 views 0

สุดโต่ง

สุดโต่ง : ปฏิบัติอย่างสุดโต่งนั้นเป็นอย่างไร

สุดโต่งคืออะไร?

คำว่าสุดโต่งนั้นหมายถึงสิ่งความเอนเอียงไปในทางหนึ่งอย่างเต็มที่ ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่เป็นไปตามที่สังคมยอมรับมักจะมีอาการยึดมั่นถือมั่น เคร่งเครียด ไม่ผ่อนคลาย

ความสุดโต่งนั้นเป็นเพียงความเห็นความเข้าใจ ที่หมายของคำว่าสุดโต่งนั้นต่างกันไปตามความเห็นของแต่ละคน เช่น คนดีทำดีได้ง่าย ถือศีลปฏิบัติธรรมได้เป็นเรื่องปกติ เขาก็มองว่าดีนั้นคือความเป็นกลาง ความชั่วคือทางโต่ง

คนชั่วทำดีได้ยากเพราะมีกิเลสมาขวางกั้นไว้ เขาก็มักจะมองสิ่งดีที่ทำได้ยากได้ลำบากคือความโต่ง ส่วนความชั่วเป็นเรื่องสามัญในโลกที่ใครเขาก็ทำกัน

หรือคนที่ไม่ดีไม่ชั่วคือเป็นกลางๆ ก็มักจะมองว่าสิ่งที่ตนเป็นนั้นพอดีไม่โต่งไปทั้งดีและชั่ว ดังนั้นการมองความโต่งของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไป

สุดโต่งไม่ทางสายกลาง

การกระทำที่เราเห็นว่าโต่ง เรามักจะมองว่าไม่เป็นทางสายกลาง ถ้าเป็นทางสายกลางของพระพุทธเจ้านั้นคือ ไม่เสพกามและไม่ติดอัตตา พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า “พวกเธอจงเสพกามแต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น”

สรุปในความหมายของศาสนาพุทธก็คือ คนที่ยังเสพกามและยังติดอัตตาอยู่นั่นแหละคือคนที่สุดโต่ง ส่วนคำว่าสุดโต่งในทางสมมุติโลกก็แล้วแต่ใครจะนิยาม

คนเรามักจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล พอสิ่งใดที่ทำได้ยากได้ลำบากสำหรับตนและพวกพ้องนั่นแหละคือสุดโต่ง ทั้งที่จริงๆแล้วคนอื่นเขาทำได้สบาย แล้วทีนี้ด้วยความมีอัตตาก็ยึดเอาตนนั่นแหละ เป็นตรงกลาง ใครทำมากกว่าตนสุดโต่ง ใครทำน้อยกว่าตนก็ต่ำต้อย

สุดโต่งของผู้มัวเมา (มิจฉาทิฏฐิ)

คนที่เห็นผิดและมัวเมาในกิเลสมากๆ ก็จะหมายเอาว่าการที่ทุกคนมีกิเลสเป็นเรื่องทั่วไปที่ไม่น่าใส่ใจ คนเราต่างกรรมต่างวาระถือ เป็นเรื่องธรรมดาใครๆเขาก็ทำกัน คนที่พยายามจะละทางโลกอย่างจริงจังสิที่เป็นความสุดโต่ง

การที่มีความเห็นแบบนั้นเพราะต้องการตั้งกำแพงเอาไว้ไม่ให้ใครเข้ามาล้วงกิเลสตน เอาง่ายๆ คืออย่าเอาสิ่งที่พาให้เกิดความเจริญมาข้องแวะกับกองกิเลสของฉัน ฉันจะอยู่ในภพของฉัน ฉันจะเสพของฉันไปเรื่อยๆ อย่าพยายามชี้ให้ฉันเห็นถึงกิเลส อย่าบอกว่าสิ่งที่ฉันติดฉันยึดคือสิ่งไม่ดี เพราะฉันมีความสุขกับมันอยู่ ซึ่งเป็นสภาพของผู้ติดภพที่เต็มไปด้วยกิเลส

ถ้าเขามองจากก้นเหว ปากเหวก็ดูจะสูงเทียมฟ้า แต่แท้ที่จริงแล้วปากเหวนั้นก็แค่ระดับพื้นดิน ยังมีต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า จักรวาล ดวงดาวอีกมากมายที่อยู่สูงและไกลออกไป

คนที่มัวเมาในกิเลสก็ยังคงต้องอยากจะเสพไปตามกิเลสอยู่ เหมือนกันกับคนส่วนมากในสังคมที่ใช้ชีวิตไปตามกิเลส แล้วก็ใช้ศาสนาเข้ามาช่วยเพียงแค่ทำให้จิตใจสงบ และใช้ตรรกะต่างๆเข้ามาเป็นเกราะป้องกันตัวเองไม่ให้มีสิ่งใดเข้ามากล้ำกราย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะร้ายหรือดี เขาก็เพียงแค่ต้องการจะอยู่ในภพที่เขาอยู่

ซึ่งมันก็ไม่แปลกอะไร เพราะโลกเรามีคนหลายแบบ คนกิเลสน้อยก็มี คนกิเลสหนาก็มี มันเห็นไม่ตรงกันอยู่แล้ว เพราะคนกิเลสน้อยก็ว่าคนกิเลสหนานั้นมันทุกข์ คนกิเลสหนาก็ว่าคนกิเลสน้อยนั้นสุดโต่ง ซึ่งก็ถูกของเขา เพราะเขาทำไม่ได้ ถ้าหากเขาทำเขาก็จะทุกข์ทรมาน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความคนกิเลสน้อยสุดโต่ง เพราะเขาเหล่านั้นสามารถละสิ่งที่เป็นภัยได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก เรียกว่าทำได้แบบสบายๆ แล้วถ้าทำได้แบบสบายมันจะเรียกว่าสุดโต่งได้อย่างไร?

ยิ่งถ้าบอกว่าความเจริญที่ได้ละสิ่งที่ไม่ประโยชน์นั้นว่า “สุดโต่ง” ยิ่งสะท้อนความเสื่อมโทรมของสังคมที่ตกเป็นทาสของกิเลส ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ คนส่วนมากก็ตกเป็นทาสกิเลสกันอยู่แล้ว ยิ่งกึ่งพุทธกาลแบบนี้คงไม่มีผู้มีบุญบารมีลงมาเกิดกันมากมายหรอก ที่มาเกิดนี่ก็เด็ดๆกันทั้งนั้น

ทิ้งโลกไปทางธรรมสุดโต่งจริงหรือ

ต้องเข้าใจก่อนว่าทิ้งโลกนี้ไม่ได้หนีเข้าป่า แต่เป็นการทิ้งโลกที่เคยมีกิเลสแล้วหันหน้าเข้าหาธรรมเพื่อศึกษาธรรม พระพุทธเจ้าไม่เคยสั่งให้สาวกเข้าป่าปลีกวิเวก สาวกที่บรรลุธรรมท่านก็สั่งให้ไปสร้างประโยชน์แก่หมู่ชน และให้แยกกันไป อย่าไปที่เดียวกันธรรมกับโลกจึงอยู่คู่กันด้วยประการนี้เอง

ถ้าการทิ้งเรื่องโลกมาสนใจธรรมเป็นเรื่องสุดโต่ง ศาสนาพุทธก็คงจะเป็นศาสนาที่สุดโต่งที่สุด เพราะตามประวัติศาสตร์นั้น เจ้าชายสิทธัตถะเพียงแค่รู้ว่าลูกเกิด ท่านก็หนีไปบวชแล้ว หรือปัจเจกพระพุทธเจ้าที่เพียงแค่มองผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้วรู้สึกผิด ก็ออกบวชแล้ว

ถ้าเป็นคนธรรมดาเขาไม่เข้าใจนะ เขาไม่มีปัญญารู้ว่ามันเป็นโทษอย่างไร แต่นี่ระดับพระพุทธเจ้า สะกิดนิดเดียวรู้เลย รู้แล้วออกได้ทันทีด้วย ไม่ติดไม่วนอยู่ เรียกว่าสุดโต่งไหม?

ถึงจะเป็นคนสมัยนั้นเขาก็ว่าโต่งนั่นแหละ อะไรกัน…เหตุนิดหน่อยก็ทิ้งแล้ว คนกิเลสหนาเขาไม่ทิ้งหรอก เขาก็เมาลูก มองสาวอยู่นั่นแหละ จะเห็นได้ว่าคำว่าโต่งถ้ามันมาจากความเห็นของคนกิเลสหนามันก็แสดงตัวตนเขาอยู่แล้วว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่ทางโต่งที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้นมีอยู่ นั่นคือให้เว้นขาดจากการเสพกามและการทรมานตัวเองด้วยอัตตา ความโต่งสองทางนี้ท่านให้เว้นเสีย

สุดโต่งแต่เจริญ

ดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าความโต่งที่เป็นความเห็นของบุคคลนั้นต่างกันไปตามทิฏฐิ ซึ่งจะเอามายึดมั่นถือมั่นเป็นหลักเกณฑ์วัดอะไรไม่ได้ อ้างอิงอะไรไม่ได้เลย เพราะถ้าสังคมกิเลสหนา มันก็จะว่าการลดกิเลสเป็นทางโต่ง เช่น ในยุคนี้เขาก็ว่าการสมสู่มีคู่แต่งงานนั้นดี ยิ่งผู้หญิงแต่งตอน 25-30 ยิ่งดี แต่ถ้าเป็นสังคมยุคพระศรีอริยเมตตรัย กว่าจะได้แต่งงานก็อายุ 500 ปีโน่น มันโต่งไหมล่ะ สมมุติสัจจะและศีลธรรมโดยสามัญสำนึกมันเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยนั่นแหละ เอามาวัดอะไรไม่ได้หรอก

เรื่องคู่นี่ยิ่งชัด พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าโง่ไปมีคู่ กามนั้นแสบเผ็ดร้อนยิ่งกว่าถ่านที่เผาไหม้ ยิ่งกว่าหอกแหลมที่ทิ่มแทง ยิ่งกว่ายาพิษใด แม้ในฐานศีล ๕ จะยังมีคู่ได้ แต่ท่านไม่เคยบอกว่าให้ครองคู่กันจึงจะเจริญ ท่านให้ละให้เว้นเสีย แต่ถ้าในสมัยนี้คนเขาก็มองคนที่จะเป็นคนโสดไปตลอดไม่มีคู่เป็นความโต่งนะ โต่งแต่สัมมาทิฏฐิมันน่างงไหม?

ในยุคนี้ผู้ที่ตั้งใจจะปฏิบัติเพื่อลด ละ เลิก สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ไม่ใช่คุณค่าแท้ ก็มักจะถูกมองว่าสุดโต่งทั้งๆที่นั่นคือทางสายกลางที่พาไปสู่ความเจริญ แม้คนจะมองว่าโต่งแต่มันไปเจริญ แล้วมันไม่ดีอย่างไรล่ะ

ก็มีแต่คนที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสเท่านั้นแหละที่ไม่เห็นว่าการพยายามละเว้นจะกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่ดี ยังของยอมวนเวียนเสพสมใจกันอยู่ในทะเลที่เต็มไปด้วยยางเหนียว

– – – – – – – – – – – – – – –

10.4.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

การปฏิบัติต่อกิเลส

March 1, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,139 views 1

การปฏิบัติต่อกิเลส

ดูภาพขนาดเต็มหรือดาวน์โหลด [กดที่นี่] | Download full size 1800×1976 px [Click here]

การปฏิบัติต่อกิเลส

กิเลสนี้ก็เหมือนไม้ที่ไฟกำลังลุกไหม้ มันร้อนแรง เผาทำลาย เป็นสิ่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงให้ไกล แต่ในความเป็นจริงนั้นเราไม่สามารถมองเห็นทุกข์หรือไฟของกิเลสได้ง่ายนัก กิเลสจึงเป็นเหมือนความหอมหวานของชีวิต จนหลายคนได้ใช้กิเลสเป็นเครื่องชี้นำชีวิตอีกด้วย

ในบทความนี้เราจะมาสรุปวิธีปฏิบัติต่อกิเลสโดยย่อพอให้เห็นภาพรวมในการปฏิบัติกัน

1). ทาสกิเลส

แรกเริ่มแต่ดั้งเดิมนั้น เราก็เป็นอิสระจากกิเลส หรือที่คนเรียกว่าจิตเดิมแท้ แต่ด้วยจิตเดิมมันไม่มีปัญญา หรือที่เรียกว่ามันโง่ พอได้ยิน ได้เสพอะไรเข้าก็หลงสุข หลงติดหลงยึดไปหมด เลยกลายเป็นทาสกิเลสนั่นเอง ซึ่งทาสกิเลสนี่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราเอง

2). สมถะ

สมถะคืออุบายทางใจ เป็นวิธีปฏิบัติต่อกิเลสที่มีอยู่คู่โลกมาช้านาน เป็นวิธีที่จะเข้ามาช่วยกด ต้าน ยับยั้งกิเลส แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่จะสามารถทำลายกิเลสได้ คนที่เก่งในด้านสมถะจะสามารถกดข่มกิเลสได้ในระดับอัตโนมัติ ถ้าวิปัสสนาไม่เป็นแล้วหลงเข้าใจว่าสมถะคือวิปัสสนา อาจจะกลายเป็นฤๅษีติดภพไปอีกนานแสนนานก็ได้ การฝึกสมถะเป็นเรื่องที่ดี แต่การหลงไปในสมถะเป็นเรื่องที่ทำให้เสียเวลา

2.1). สมถะทั่วไป คือการกดข่มลงไปตรงๆ กำหนดจิตไว้ที่ใดที่หนึ่ง ในสภาพใดสภาพหนึ่ง เช่นการบริกรรมพุท-โธ กำหนดรู้ตามจุดต่างๆในร่างกาย การเพิ่มตัวรู้ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายเช่น เดินจงกรม หรือกำหนดเครื่องหมายสัญลักษณ์ใดๆก็ตามให้เป็นจุดรวมของจิตนั้นๆไม่ให้ฟุ้งซ่าน

2.2). ปัญญาสมถะ คือการใช้เหตุและผลเข้ามาช่วยจัดการกับความคิดหรือจิตที่ฟุ้งซ่าน ใช้ตรรกะ ใช้ธรรมมะเข้ามาช่วยกดอาการสั่นไหวของจิตที่เกิดขึ้น เช่น มองว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มองว่าทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง สิ่งเหล่านี้คือการใช้ปัญญาเข้ามาช่วยกดจิตให้อยู่ในสภาพนิ่ง

….จุดประสงค์ของสมถะคือการดับความคิด การปรุงแต่ง หยุดความต่อเนื่องของกิเลสไว้ กดไว้ ยับยั้งไว้ ไม่ให้กิเลสกำเริบ เป็นวิธีที่จะช่วยเสริมพลังให้กับการวิปัสสนาให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่วิธีสมถะเหล่านี้มักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิปัสสนา ดังนั้นผู้ปฏิบัติควรศึกษาให้รอบด้านเพื่อความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในตนเอง

3). อริยสัจ

3.1).ทุกข์ คือการเริ่มเดือดร้อนจากผลของกิเลสนั้นๆ การเห็นทุกข์นั้นเป็นด่านแรกในการเห็นธรรม เพราะเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงโทษภัยของกิเลส ถ้าคนยังไม่เห็นทุกข์ก็ยังไม่เห็นธรรม โดยปกติแล้วคนจะเข้าใจว่ากิเลสเป็นสุข การได้เสพเป็นสุข แต่สุขเหล่านั้นเป็นของลวง เมื่อสิ้นสภาพที่ได้เสพหรือสุขลวงหาย ทุกข์ก็จะเกิดขึ้น

3.2).สมุทัย เมื่อเห็นทุกข์ก็ต้องมาหาเหตุแห่งทุกข์ ว่าสิ่งใดทำให้ทุกข์ ในขั้นตอนของสมุทัยคนจะหลงไปกับการทำสมถะเสียมากเพราะมองไปที่ผลแต่ไม่ได้มองไปที่เหตุ หรือมองเหตุก็มองแค่ตื้นๆ ซึ่งจริงๆแล้วต้องค้นไปที่รากของกิเลส ไม่ใช่ดูเพียงแค่การสั่นไหวของจิต แต่ค้นให้ลึกไปว่าเรายึดติดสิ่งนั้นเพราะเราติดรสสุขในอะไร เราติดรสสุขนั้นเพราะอะไร ต้องค้นลงไปให้เจอเหตุ

3.3).นิโรธ เมื่อเจอเหตุแล้วก็มาถึงการดับทุกข์ คือจะดับแบบไหน การดับนั้นทำได้หลายวิธีตั้งแต่ดับชั่วคราวไปถึงดับอย่างถาวร ถ้าดับชั่วคราวก็ใช้สมถะกดไปก่อน เพื่อลดพลังของกิเลส หรือจะดับให้ถาวรก็ต้องใช้ศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งได้อธิปัญญาที่จะมาต่อกรกิเลสนั้นๆ

3.4).มรรค เมื่อวางเป้าหมายของการดับแล้วก็มาถึงวิถีทางดับกิเลส ซึ่งมีกระบวนการคิด พูด ทำไปโดยลำดับ ซึ่งจำเป็นต้องทำอย่างถูกตรงตั้งแต่ความเห็นความเข้าใจ จึงจะเกิดสมาธิที่ถูกตรงได้ การปฏิบัติที่เข้าใจผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียวก็จะทำให้ไปคนละทิศละทางกับการดับทุกข์

4). ผล (วิมุตติ)

เมื่อพากเพียรปฏิบัติมรรคอย่างถูกตรงก็จะได้ผลคือวิมุตติ หรือสภาพหลุดพ้นจากกิเลส มีปัญญารู้แจ้งชำแหละกิเลสในทุกลีลาที่ได้เจอมา

แต่การปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนก็จะให้ผลเช่นกัน ดังเช่นการใช้สมถะที่เข้าใจผิดว่าตนนั้นวิปัสสนา ก็จะได้ความสงบจากกิเลสที่เกิดจากการดับแบบกดข่มเช่นกัน การปฏิบัติใดๆอย่างตั้งมั่นล้วนแต่มีผลทั้งสิ้น

แต่นัยสำคัญคือผลเหล่านั้นถูกต้องถูกตรงสู่การพ้นทุกข์หรือไม่ ดังชื่อเต็มของมรรคก็คือ “สัมมาอริยมรรค มีองค์ ๘” นั่นหมายถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องถูกตรงสู่ความเป็นผู้เจริญโดยมีองค์ประกอบครบพร้อมทั้ง ๘ ประการ คือต้องมีความเห็นความเข้าใจที่ถูก ความคิดที่ถูก การพูดที่ถูก การกระทำที่ถูก การเลี้ยงชีพที่ถูก ความเพียรที่ถูก การรู้ตัวที่ถูก และสภาพความตั้งมั่นที่ถูก

แล้วอย่างไหนจึงเรียกว่าถูก? ในเมื่อกิเลสคือความผิด นั่นหมายถึงการไม่มีกิเลสคือความถูก ดังนั้นการคิด พูด ทำใดๆที่มีผลในการลดกิเลส ไม่ส่งเสริมกิเลส ทำลายกิเลส นั่นคือสิ่งที่ถูก

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ ทางพ้นทุกข์มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี “ คือปฏิบัติตามสัมมาอริยมรรค แม้เราจะเห็นว่าเส้นทางการปฏิบัติและความเข้าใจนั้นมีหลากหลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วการพ้นทุกข์อย่างยั่งยืนนั้นมีทางนี้ทางเดียว

– – – – – – – – – – – – – – –

28.2.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง

January 31, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,045 views 0

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ... หรือฉันรักตัวเอง

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง

…ความรักที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร?

ในบทความก่อนหน้านี้ได้ขยายเหตุว่าทำไมฉันจึงไปหลงรักเขาในมุมของกรรมกันมาแล้ว ในบทความนี้ก็จะมาขยายกันในมุมของกิเลสบ้าง ซึ่งจะทำให้เห็นภาพกิเลสได้ชัดเจนแค่ไหนก็ลองอ่านแล้วค่อยๆพิจารณาตามกันดู

ความรัก นั้นคือความอยาก แต่ในความอยากนั้นก็มีมิติที่ซับซ้อนทั้งดีและร้าย ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นไปในทางร้าย คือมีกิเลสปนอยู่ในความอยากนั่นเอง กิเลสเป็นตัวที่ผลักดันให้เราหลง ทำให้เราให้โอกาสเขาเข้ามาในชีวิต ทำให้เราตัดสินใจรัก หากเรายังไม่สามารถ “เห็น” กิเลสในตัวเองอย่างชัดเจน จนมั่นใจว่าความรักของฉันครั้งนี้นี่มันเกิดจากกิเลสตัวนั้นตัวนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจความรักที่แท้จริงได้ เพราะโดนกิเลสบังไว้จนกลายเป็น “ความรัก(จากกิเลส)ทำให้คนตาบอด

ในบทความนี้เราก็จะนำเสนอเรื่องกิเลสด้วยกันสี่หัวข้อคือ

  • 1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส : เริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มหาคู่กันเลย เป็นการเกิดขึ้นของกิเลส
  • 2). ทาสกิเลส : สภาพการตั้งอยู่ของความรักจากกิเลส
  • 3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร : สภาพการดับลงไปของความรักที่เต็มไปด้วยกิเลส
  • 4). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา : เป็น “ผล” ที่เกิดขึ้นจากความรักที่มีแต่บาปและอกุศล

หัวข้อทั้งหมดที่ได้เรียบเรียงมานั้นก็เพื่อจะนำเสนอให้เห็นกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้น การดำเนินอยู่ จนกระทั่งการจบลงไป ซึ่งหากเราได้สำรวจและทบทวนดีๆก็จะเห็นได้ว่าในการคบหากันนั้นมีสภาพของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน มันเกิดขึ้นเพราะอะไร มันตั้งอยู่นานเท่าไหร่ แล้วมันดับไปได้อย่างไร เราจะมาเรียนรู้กิเลสตามหัวข้อเหล่านี้กัน

1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส

การจะมีคู่ได้นั้น บางคนก็เป็นเรื่องยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร บางคนก็ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สังเคราะห์ขึ้นมาเช่น หน้าตาดี มีความมั่งคั่ง มีชื่อเสียง พูดจาดี อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาตั้งแต่เกิดหรือสิ่งที่ฝึกฝนหรือสร้างใหม่ขึ้นในชาตินี้ก็ได้

กลยุทธ์ในการมีคู่หรือหาคนมาบำเรอกิเลสนั้น จะอธิบายกันด้วยภาพกว้างๆ 3 ลักษณะ คือ รุก , รอสวนกลับ , รับ ซึ่งจะมีลีลาอาการที่แสดงออกต่างกัน ไม่จำเป็นว่าต้องมีแผนเดียวเสมอไป สลับสับเปลี่ยนแผนได้ตามกำลังกิเลสที่มี

1.1). รุก (จีบ)

คนที่เป็นฝ่ายรุกนั้นจะเป็นใครก็ได้ จะเป็นคนหน้าตาดีก็ได้ หน้าตาไม่ดีก็ได้ การรุกคือการเข้าไปจีบ การแสดงความอยากครอบครองโดยการสนองกิเลสต่างๆให้กับเป้าหมาย เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่หวัง โดยมากมักจะเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เช่น คนสวย คนรวย คนมีชื่อเสียง แต่ถึงจะไม่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวกระตุ้น แค่ใช้แรงกระตุ้นจากธรรมชาติในแบบชายหญิงตามสัญชาติญาณของคนมีกิเลสทั่วๆไป ก็สามารถที่จะรุกได้เหมือนกัน หรือถ้าเขาหรือเธอสามารถกระตุ้นกิเลสเราได้มากพอที่เราจะอยากได้เขาจนตัวสั่นความอยากก็จะทำให้เรารุกเช่นกัน

คนที่ไม่มีวาสนาเก่ามาเช่น หน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย ก็อาจจะต้องเล่นเกมรุก เพราะคงจะหาคนมารุกตัวเองได้ยาก ตั้งรับไปก็ไม่มีใครมารุก แห้งเหี่ยวอยู่อย่างนั้น แต่กิเลสจะไม่ปล่อยให้เราแห้งตายอยู่แบบนั้น แม้จะหน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย พูดไม่เก่ง แต่พลังกิเลสจะกระตุ้นให้เราพัฒนา ออกกำลังกาย แต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดี ทำศัลยกรรม ขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างภาพ หัดพูดกับคนเยอะๆ นี่คือพลังของกิเลสที่สามารถสร้างพลังที่จะใช้ “รุก” ได้นั่นเอง

แม้คนที่มีหน้าตาดี บ้านรวย มีชื่อเสียง พูดจาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบเล่นเกมรับเสมอไป เขาหรือเธออาจจะชอบเล่นเกมรุกด้วยปัจจัยที่มีมากกว่าคนอื่น จึงสามารถรุกไปจับจิตใจของใครหลายๆคนได้โดยง่าย จึงเกิดเป็นสภาพของ “คนเจ้าชู้” เพราะเขาเหล่านั้นต้องการเสพสิ่งที่มากกว่า สิ่งที่ดีกว่าอย่างไม่จบไม่สิ้น

การรุกนั้นมักจะถูกใช้เมื่อเราต้องการได้สิ่งนั้นมากๆ ความอยากเสพสุขจากกิเลสนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เสพไปก็อยากได้เพิ่ม อยากได้มากกว่าเดิม ดังนั้นการที่เรารุกเข้าไปในชีวิตใครก็สังเกตให้ดีว่าเรากำลังอยากได้ อยากมี อยากเสพอะไรในตัวเขากันแน่

1.2). รอสวนกลับ (รอจับ)

คนที่รอสวนกลับมักจะไม่รุกในทีแรก ทำเหมือนไม่สนใจใคร แต่จะเปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาได้บ้าง ไม่ปิดตัวเองเสียทีเดียว พอมีคนหลงเข้ามา หากถูกใจก็จะรุกในทันทีจนเหยื่อตั้งรับไม่ทัน เรียกว่า “โดนจับ” มีให้เห็นโดยมาก เป็นสภาพซ้อนของการรุกที่มีชั้นเชิงของกิเลสมากขึ้น

สาเหตุของการรอสวนกลับ นั่นเพราะเขามักจะมีโลกธรรมสูง เช่นขี้อาย กลัวคนนินทา กลัวทำตัวไม่ถูก จึงมีฟอร์ม มีการวางท่า มีความลึกลับซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา ไม่จริงใจ ทีเล่นทีจริง อยากรุกแต่ก็รุกไม่เป็น กลัวว่าถ้ารุกไปแล้วจะพลาดพลั้งหรือเสียฟอร์มก็เลยวางเกมรับแล้วรอสวนกลับ

เรียกง่ายๆว่ารอคนอื่นเปิดเกมก่อนแล้วจะเล่นตาม ซึ่งกิเลสก็จะมาเสริมทัพในด้านการเพิ่มโอกาสให้มีคนเข้ามาหา เหมือนกับวิธีรุก คือทำตัวให้ดูดี น่าคบหา ยั่วกิเลสกันไป เหมือนกับดอกไม้กินแมลงที่พอเหยื่อหลงเข้ามาแล้วก็จะงับทันที

1.3). รับ (มีให้เลือก)

คนที่ใช้กลยุทธ์รับโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีพร้อมด้วยกามคุณและโลกธรรม เช่นมีรูปร่างที่สวย หน้าตาดี เสียงเพราะ ฐานะดี การงานดี มีชื่อเสียง เป็นต้น

ในสมัยนี้แค่หน้าตาดีก็รับกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว จะมีคนมาแจกขนมจีบจนแทบไม่ได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ต้องมาคอยบริหารเสน่ห์ จัดการกับผู้ที่วนเวียนเข้ามาในชีวิต

ผู้รับมักจะเป็นผู้เลือก แต่ก็มักจะไม่เลือกในทันที เพราะมีให้เลือกมาก ทำเหมือนจะเลือกแต่ก็ไม่เลือก แทงกั๊กอยู่เสมอ เหมือนแมวที่เล่นเหยื่อแต่ไม่ยอมกินเหยื่อ จนกระทั่งมั่นใจว่าคนนั้นแหละคือคนที่จะมาบำเรอกิเลสของฉันได้ ก็จะจับเหยื่อในท้ายที่สุด

การรับนั้นเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวเองเช่นกัน เพราะยิ่งมีเสน่ห์เท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่สร้างกระแสแห่งบาปมากเท่านั้น เพราะจะทำให้คนหลง คนมัวเมา ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงหน้าตาดี ถ้ายิ่งแต่งตัวโป๊คนก็จะยิ่งมอง และถ้ายิ่งมนุษย์สัมพันธ์ดีคุยกับเขาไปทั่วเขาก็จะหลงกันหมด ที่หลงนั่นคือหลงอยากเสพ จึงกลายเป็นภัยต่อตัวเองและผู้อื่น

การจะคงสภาพ “รับ“ ได้นั้นจำเป็นต้องบริหารเสน่ห์ตัวเองไปเรื่อยๆ ต้องแต่งหน้า แต่งตัว ทำผม สร้างภาพ สับราง บริหารเสน่ห์ โดยที่ต้องแข่งกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและแข่งขันกับคู่แข่งมากมายที่อาจจะมารุกใส่คนที่เราหมายตาอยู่ก็ได้

คนที่เอาแต่รับนั้นยากที่จะเปลี่ยนเป็นรุก เพราะมักจะสั่งสมกิเลสไว้มาก สร้างโลกธรรม สร้างอัตตามาครอบตัวเองไว้ ว่าฉันนี้ดีพร้อม คนอื่นต้องวิ่งเข้าหาฉัน ทำตัวเหมือนดอกไม้ที่รอแมลงเข้ามา ไม่สามารถขยับไปหาแมลงได้ กลายเป็นติดภพ จมอยู่ในภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

2). ทาสกิเลส

ไม่ว่าจะรุก รอสวนกลับ หรือตั้งรับ สุดท้ายเป้าหมายก็คือการได้มาซึ่งคู่ครองที่หมายตาไว้อยู่ดี ซึ่งอาจจะดีดังใจหวัง มากกว่าที่คาดหวัง หรือจะแย่กว่าที่หวังนั้นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ “ฉันเลือกเขามาเพราะฉันคิดว่าเขาจะสามารถบำเรอกิเลสของฉันได้

นั่นคือเราจะเลือกคนที่เราคิดว่าในอนาคตเราจะได้เสพสิ่งที่หวังไว้ สิ่งที่หวังของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน หนาบางลึกตื้นไปตามกิเลส

…บางคนแค่อยากสมสู่ก็หาใครก็ได้ที่ใจง่ายๆมาคบกันเพราะรู้ว่าในที่สุดก็จะได้สมสู่ สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาสนองความใคร่

…บางคนแค่อยากมีเพื่อนร่วมเสพในกิจกรรมต่างๆ กินเที่ยวด้วยกันก็หาคนที่คิดเหมือนกัน สุดท้ายเราก็ได้คู่มาช่วยสนองกิเลสกันและกัน

…บางคนแค่อยากรวยก็หาใครก็ได้ที่มีเงิน ไม่จำเป็นว่าต้องหล่อหรือจิตใจดีขอแค่รวยก็พอ เพราะรู้ว่ายังไงเราก็จะได้เงินใช้สุดท้ายเราก็แค่อยากรวยโดยไม่ต้องลำบาก

…บางคนแค่อยากมีลูกก็เลยหาใครก็ได้มาเป็นพ่อแม่ของลูก เอาที่ดูดีหน่อย เชื้อจะได้ดีๆ สุดท้ายเราก็แค่อยากเสพอารมณ์ในการมีลูก

…บางคนแค่อยากมีชื่อเสียง ก็เลยหาคนที่มีชื่อเสียงในสังคมแล้วก็ใช้เขาเป็นตัวกระตุ้นชื่อเสียงตัวเอง สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาเสริมโลกธรรมของเรา เพิ่มสรรเสริญให้กับเรา

…บางคนแค่ขี้เกียจทำงานอยากมีคนดูแลก็เลยหาคนที่พอจะมีศักยภาพในการดูแลทั้งชีวิตนี้ได้และเกาะเขาไปเป็นที่พึ่ง สุดท้ายเราก็แค่อยากได้คนมาเลี้ยงดูชีวิต

…บางคนแค่หลงว่าเกิดมาแล้วต้องมีคู่จึงจะมีคุณค่า ก็เลยหาใครสักคนที่พอสมน้ำสมเนื้อมาควงคู่ไม่ให้ใครเขานินทาว่าอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีใครเอา สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาปกป้องโลกธรรมของเรากลัวคนนินทา

…บางคนแค่หลงว่าชีวิตที่สมบูรณ์ต้องแต่งงานมีครอบครัว ก็เลยหาใครสักคนที่เหมาะจะมาเป็นสามีหรือภรรยา สุดท้ายเราก็แค่สนองความหลงของเรานั่นเอง

…บางคนแค่อยากหาเพื่อนร่วมชีวิต ที่จะดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ก็เลยหาใครสักคนที่ดูมั่นคงและซื่อสัตย์และพร้อมจะดูแลเราเข้ามาในชีวิต สุดท้ายเราก็แค่กลัวลำบากไม่มีใครดูแล

…บางคนแค่หลงว่าเราสามารถมีคู่ใช้ชีวิตร่วมกันทำกุศล สร้างความดี ความเจริญร่วมกันได้ ก็เลยหาคนที่ดูมีบุญบารมีที่เหมาะควร สุดท้ายเราก็แค่หลงไปในกิเลส หาเรื่องครองคู่โดยใช้ข้ออ้างที่สวยหรูมาบังหน้าเพื่อเสพกามและอัตตา

…บางคนแค่เหงาก็เลยหาใครสักคนคนเข้ามาในชีวิตเพื่อเป็นเพื่อนคุย สุดท้ายพอหายเหงา หลุดจากสภาพที่ต้องทนเหงา หรือมีคนอื่นที่ดีกว่ามาแก้เหงา ใครคนนั้นก็หมดค่าเพราะไม่จำเป็นต้องใช้เขาสนองกิเลสอีกต่อไป

สรุปแล้วคนที่เราเลือกมาเป็นคู่นี่แหละคือคนที่ซวยสุดซวย เพราะต้องมารองรับกิเลสของเรา ต้องคอยสนองกิเลสของเรา เป็นทาสกิเลสของเรา ต้องบำเรอเรา เป็นสิ่งที่มาสนองกิเลสของเรา “ฉันเลือกเธอมาเพราะฉันคิดว่าเธอจะดูแล(กิเลส) ของฉันได้

หลายคนอาจจะคิดว่า เอ๊ะ! ฉันก็รักเขา ฉันก็ดูแลเขา ฉันก็จริงใจกับเขานะ …ความรู้สึกนี้มันก็ใช่ แต่มันทำไปเพื่ออะไรล่ะ เรายอมสละ ยอดอดทน ยอมทุ่มเท แรงกาย แรงใจ พลีกายถวายชีวิต ทั้งหมดก็เพื่อเสพบางสิ่งจากคู่ครองใช่ไหม นั่นแหละคือสิ่งที่เราจ่ายไปเพื่อที่จะได้สิ่งที่เราคิดว่ามากกว่ามาเสพ “ที่ฉันทุ่มเทให้เธอเพราะฉันคิดว่าเธอจะสามารถบำเรอสุขให้ฉันได้มากกว่าที่ฉันทำไป

เมื่อใช้กิเลสเข้ามาเป็นแรงผลักดันในการครองคู่กันสุดท้ายก็จะเกิดเป็นกรรมชั่วในที่สุด กลายเป็นคู่เวรคู่กรรม สะสมกรรมชั่วกันเพิ่มในชาตินี้ เช่น ไปกินของอร่อยบำเรอกิเลสด้วยกัน ไปท่องเที่ยวตามกิเลสด้วยกัน ไปร่ำรวยสนองกิเลสด้วยกัน ไปมีชื่อเสียงเติมกิเลสของกันและกัน

ในการครองคู่นั้นยากนักที่จะหลีกเลี่ยงการสนองกิเลสให้แก่กันและกัน แทบจะทุกเหตุการณ์ของชีวิตที่เป็นการเพิ่มกิเลส ได้เสพสมใจก็กิเลสเพิ่ม อยากเสพอีก ไม่ได้เสพก็ทุกข์ใจคับแค้นใจ โกรธจนสะสมกิเลสอีก ดังนั้นการครองคู่จึงสะสมเชื้อทุกข์ สะสมกิเลสพอกไปเรื่อยๆ ออกดอกออกผลแห่งบาปไปเรื่อยๆ

3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร

ในตอนที่เราหลงติดหลงยึดจนอยากเสพ มันจะมีภาพฝันสวยๆของการครองคู่ เช่น เราจะรักกันไปจนแก่ เราจะมีลูกด้วยกัน มีบ้านน่ารักๆ ดูลูกหลานวิ่งเล่นพร้อมกับใช้ชีวิตรักอย่างเป็นสุข หรือถึงแม้เขาหรือเธอจะแก่ไปฉันก็จะรัก แม้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ป่วย พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ฉันก็จะดูแลเธอเอง

กิเลสก็จะพาให้ฝันหวานไปแบบนี้เอง เพราะจินตนาการมันถูกผลักดันด้วยกิเลส พอใจมันอยากเสพก็จะพิจารณาแต่ประโยชน์ คือจะมองเห็นแต่ข้อดีของการมีคู่ เห็นแต่สุข ไม่เห็นทุกข์เลย มันจะไม่มองความจริงตามความเป็นจริง ตามันมองเห็นแต่ก็มืดบอดมองความจริงไม่เห็น หลงอยู่ในสภาพสุขที่กิเลสหลอกไว้

แล้วก็ใช้เวลาครองคู่สนองกิเลสกันบ้าง ไม่สนองกันบ้าง เพราะความจริงแล้วคู่ที่เราเลือกมาเขาก็ใช้เราเป็นสิ่งสนองกิเลสของเขาเหมือนกัน เขาก็มีความอยากของเขา แรกๆมันก็จะยอมกันไปได้บ้าง พลัดกันเสพ ฉันยอมให้เธอ เธอยอมให้ฉัน เรารักกัน ให้อภัยกัน พลัดกันเสพสุขกันไป

แต่กิเลสมันไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อชีวิตของการครองคู่คือการสนองกิเลสของกันและกัน ก็จะมีแต่การเพิ่มกิเลสกันไปกันมา สุดท้ายวันหนึ่งกิเลสก็จะก้อนใหญ่ขึ้น อยากเสพมากขึ้นในขณะที่ประสิทธิภาพของการสนองกิเลสนั้นลดลง จึงนำมาซึ่งการผิดใจกัน ขัดใจกัน ไม่ยอมกัน

…ในตอนนี้เราจะเริ่มรู้ได้ชัดแล้วว่า ”เรารักใคร ” ในตอนที่กิเลสมันพุ่งพล่าน อยากได้อยากเสพ คิดว่าตัวเองถูกต้อง เอาแต่ใจนั่นแหละ เราจะเห็นว่าที่แท้จริงเรารักใคร

ที่เราโกรธ ไม่พอใจ ขัดใจ ขุ่นมัวในใจ เป็นเพราะเราไม่ได้เสพสมใจในสิ่งที่คาดหวังไว้ นั่นเพราะเราไม่ได้รักเขาตั้งแต่แรก เรารักตัวเองแล้วเราเอาเขามาเป็นเครื่องสนองกิเลสตัวเอง พอเขาสนองไม่ได้เราก็จะมีอาการหงุดหงิดเหล่านี้เพราะมันไม่สมใจตัวเอง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในลักษณะเหล่านี้เองเป็นตัวสรุปว่าแท้จริงแล้ว “ฉันรักตัวเอง

5). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา

เพราะความ “รักตัวเอง” นี่เองเราจึงยินดีสร้างกรรมขึ้นมา คือยินดีที่จะไปหาใครสักคนมาสนองกิเลสของเรา มาเป็นคนบำรุงบำเรอกิเลสเรา โดยใช้ข้ออ้างว่ามันคือ “ความรัก” แน่นอนว่ามันคือความรัก แต่เป็นความรักตัวเองจนต้องหาผู้อื่นมาบำเรอตน นั่นหมายถึง “ความเห็นแก่ตัว” อย่างยิ่งยวด

ความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราคิดถึงแต่ตัวเอง มองแต่ตัวเอง คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง กลายเป็นให้ความสำคัญกับตัวเองมากที่สุด เมื่อให้ความสำคัญกับตนเองมากที่สุด ก็หมายถึงมี “อัตตา” ที่มาก

นั่นจึงนำมาสู่การเบียดเบียนผู้อื่นโดยที่ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้ว่าการไปกระตุ้นกิเลสหรือการไปยั่วกิเลสของคนอื่นเป็นบาปแค่ไหน เพราะตนนั้นหลงเสพสุขในอัตตาของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นมาเติมเต็มความเป็นตัวของตัวเอง เช่นฉันเป็นคนแบบนี้, ต้องแต่งตัวแบบนี้, กินอาหารแบบนี้, เธอต้องปฏิบัติกับฉันแบบนี้, วันพิเศษต้องทำแบบนี้, เวลาฉันโกรธต้องง้อฉันก่อน ฯลฯ เหล่านี้คือสภาพของความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง ซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใต้ภาพสวยๆในอุดมคติของสิ่งที่เรียกว่าความรัก

ความฝันที่สวยงามในชีวิตคู่ คงไม่จริงเท่าความเห็นแก่ตัวที่เห็นกันอยู่ชัดๆ จนกระทั่งสามารถเอาชีวิตอื่นมาบำเรอกิเลสตนได้ นั่นจึงเป็นการสะสมบาปและอกุศลกรรมร่วมกัน สร้างทุกข์ โทษ ภัยสะสมไว้ส่งผลกับตัวเองทั้งในชาตินี้ ชาติหน้าและชาติอื่นๆต่อไป

เป็นกรรมจากกิเลสที่ต้องรับในอนาคต เหมือนดังที่หลายคนได้เจอกับสภาพที่ต้องทุกข์เพราะความรัก ทุกข์เพราะคนรัก นั่นก็เพราะมันมีหนี้บาปกันมา เคยสนองกิเลสกันมา พอมาเจอกันในชาตินี้เชื้อชั่วในจิตใจก็จะดูดดึงกันเหมือนกับสภาพรักตั้งแต่แรกเจอ นั่นแหละ “ตัวเวรตัวกรรม” มันจะลากให้ไปทำชั่วกันต่อ ให้ไปสั่งสมกิเลสร่วมกันต่อ ให้วนเวียนอยู่ในโลกไปด้วยกันต่อ แล้วก็ต้องเจอทุกข์จากความรักวนเวียนไปไม่รู้จบ

เพราะยิ่งครองคู่ก็จะยิ่งสร้างกรรมชั่ว ไม่มีการครองคู่ใดเป็นไปในฝั่งกุศลฝ่ายเดียวอยู่แล้ว มันจะมีอกุศลหรือสิ่งชั่วปนไปด้วยเสมอ และโดยส่วนมากมันก็จะชั่วมากกว่าดี ดังนั้นยิ่งมีคู่มาก มีรักบ่อย เปลี่ยนคนรักบ่อยก็ยิ่งต้องรับผลชั่วที่ทำไว้มาก

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีคู่คนเดียวแล้วจะดีเสมอไป การมีคู่โผล่มาคนเดียวในชีวิต โดยความเข้าใจทั่วไปก็จะเหมือนคู่แท้ ที่ผูกกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ซื่อสัตย์จริงใจ ไม่เคยคบใครนอกจากคนนี้ แต่นั่นหมายถึงกรรมชั่วทุกอย่างมันก็จะมารวมที่คนนี้คนเดียวนั่นแหละ กรรมเขาก็จะจัดสรรเหตุการณ์ที่เจ็บปวด เผ็ด แสบร้อนให้ต้องทุกข์ในท้ายที่สุดทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ดี

ดังนั้น การไม่มีคู่เสียเลยยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องลากใครเข้ามาเพิ่มในบ่วงกรรมของเรา ไม่ต้องให้เขาต้องมาคอยบำเรอกิเลสเรา เราก็ไม่ต้องลำบากไปสนองกิเลสเขา เพราะเราไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว จึงยอมปล่อยให้เขาไปเผชิญกับชีวิตตามกรรมของเขา ความไม่เห็นแก่ตัวนี้เองคือความเมตตา คือความรักที่แท้จริง คือความรักที่มีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นความรักที่เต็มไปด้วยปัญญารู้แจ้งในกิเลสและกรรม เมื่อเข้าใจและปล่อยวางได้เช่นนี้ จึงจะเรียกได้ว่า “ฉันรักเธอ” ได้อย่างแท้จริง

– – – – – – – – – – – – – – –

28.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

หุ้นขึ้นใจลอย หุ้นตกใจตรม

December 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,250 views 0

หุ้นขึ้นใจลอย หุ้นตกใจตรม

หุ้นขึ้นใจลอย หุ้นตกใจตรม

….ผลกำไรที่ได้รับมานั้นคุ้มค่ากับการลงทุนจริงหรือ

การลงทุนในตลาดหุ้น เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอันมากในหมู่คนเมืองและคนทำงานในยุคสมัยนี้ เพราะนอกจากจะทำให้ภาพลักษณ์นั้นดูเหมือนว่าเป็นนักลงทุน มองการไกล วิเคราะห์เก่ง แล้วยังสามารถสร้างรายได้ขึ้นมาได้จริงๆด้วย เป็นอะไรที่ตอบโจทย์โลกธรรมทั้งในมุมของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างเต็มที่

แม้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจะสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ มากมายขนาดที่ว่าการขยันหาเงินทั้งชีวิตก็อาจจะไม่ได้เงินมากเท่าลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งก็มีบุคคลที่ประสบความสำเร็จให้เห็นเป็นตัวเป็นตนกันมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความทุกคนจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนเหล่านี้ได้

การประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น มีปัจจัยที่ส่งผลมากกว่าสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาหรือวิเคราะห์ด้วยปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจและสังคม นั่นคือพลังงานของกรรม ขึ้นชื่อว่ากรรมก็เป็นเรื่องอจินไตยยากจะคาดเดาผล แต่การจะเกิดกรรมนั้นก็มาจากการกระทำ เราสามารถมองเผินๆได้ว่าเพราะเขามีการวิเคราะห์เป็นการกระทำเขาจึงประสบความสำเร็จ แต่ในมิติของกรรมนั้นลึกซึ้งกว่านั้นมาก

เพราะการจะเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรือสิ่งที่เรียกว่าประสบผลสำเร็จ จะต้องมีกรรมทั้งในส่วนของปัจจุบันคือการวิเคราะห์และตัดสินใจ และกรรมในส่วนของอดีตที่เราเคยทำมาสังเคราะห์กันอย่างลงตัวจึงจะเป็นผลที่ว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ

ดังนั้นหากเราสังเกตดีๆว่า แม้เราจะลงทุนตามคนที่ประสบความสำเร็จแต่เราจะไม่ได้รับเหตุการณ์ดังที่เราคาดหมายตลอดไป นั่นเป็นเพราะกรรมของเรา เราไม่มีกรรมที่จะได้รับลาภจากการลงทุนในลักษณะนี้เราจึงไม่มีทางได้มัน ไม่ว่าเราจะพยายามเท่าไรเราก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เว้นเสียแต่ว่าเราสะสมกิเลสเข้ามากๆ หมกมุ่นเข้ามากๆ เราจึงจะพอประสบความสำเร็จได้บ้าง แต่นั่นก็หมายถึงเราแลกมาด้วยบาปจำนวนมาก เพราะไม่มีอะไรที่เราจะได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำ การที่เราจะได้รับอะไรสักอย่าง เราต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ และสิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เรามองเห็นก็ได้

….หุ้นขึ้นก็กิเลสขึ้น หุ้นตกก็กิเลสขึ้น

ถ้าหากเรามีเวลาทบทวนใจของเราดีๆ จะสังเกตได้ว่าเวลาที่หุ้นที่เราถือครองอยู่นั้นปรับค่าขึ้นหรือมีแนวโน้มที่จะขึ้นจิตใจของเราก็จะฟูขึ้นด้วยความดีใจ ตามติดมาด้วยความโลภที่จ้องจะขายเมื่อถึงราคาที่เราพอใจ บ่อยครั้งที่ชะล่าใจขายไม่ทันแล้วสุดท้ายราคาร่วงลงมา และบ่อยครั้งที่รีบขายทั้งที่ราคายังพุ่งขึ้นไปได้อีก ไม่มีเหตุการณ์ใดเลยที่ไม่มีกิเลสเข้าไปปนในกระบวนการเหล่านั้น ทุกความดีใจเสียใจล้วนปนไปด้วยกิเลสทั้งสิ้น

แม้ว่ายามหุ้นตก จิตใจก็ตกต่ำตาม ด้วยความเสียดายเงินที่ลงไป พยายามติดตามข่าวด้วยใจที่หวังว่ามันจะขึ้น จะได้เงินจะมากขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลในเรื่องของการลงทุนนั้นก็เป็นไปในรูปแบบของการพนันทั้งสิ้น แม้เราจะนิยามมันว่า การลงทุน มีการวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมมากมาย แม้จะดูเหมือนเป็นนักวิเคราะห์ เป็นผู้รู้ เป็นนักวางแผน แต่ก็อยู่ใต้เกมของกรรมกิเลสที่เรียกว่าอบายมุขอยู่ดี

….หุ้นคืออบายมุข

การลงทุนในหุ้นแม้จะได้รับการยอมรับในสังคม แม้จะไม่ถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ผิดในทางธรรม เป็นทางเสื่อมแห่งอบายมุขอยู่ดี ไม่ว่าเราจะสรรหานิยามมาปรุงแต่งการลงทุนให้ดูสวยหรูเพียงใด ดูดีมีประโยชน์แค่ไหน การลงทุนเหล่านี้ก็เป็นได้แค่หนึ่งในทางฉิบหายของชีวิตหรือที่เรียกว่าอบายมุข นั่นคือการพนันนั่นเอง

ลักษณะของการพนันคือการลงทุนไปหนึ่งหน่วยแต่หวังจะให้มันงอกเงยมากกว่าหนึ่งหน่อยโดยอาจจะใช้ตรรกะเข้ามาคิดคำนวณและก็มีโอกาสที่จะหนึ่งหน่วยนั้นจะหายไปด้วย ทั้งหมดนี้คือลักษณะของการพนันแบบแท้ๆ ไม่ใช่สัมมาอาชีวะ ไม่ใช่ทางที่ถูกของพุทธ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางสู่ความผาสุกในชีวิต

….หุ้นกับความผาสุกในชีวิต

เรามักจะได้รับข้อมูลว่าการลงทุนนั้นทำให้ร่ำรวยและสบายในตอนท้ายของชีวิต ทำให้ชีวิตผาสุกซึ่งเป็นค่านิยมในยุคนี้ที่คนจะลงทุนในตลาดหุ้น แต่ในยุคก่อนหน้านี้การลงทุนจะต่างออกไป คือจะลงทุนให้เวลากับหน้าที่การงาน ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน คือลักษณะที่เห็นได้ชัดในคนยุคเบบี้บูม แต่พอมาในยุคนี้เรากลับลงทุนในการพนัน โดยใช้การพยากรณ์ การวิเคราะห์ เรียกตามภาษาชาวบ้านว่าเดา การเดานี้มันก็มีข้อมูลเหมือนกันไม่ใช่ว่าไม่มี เช่นการเดาข้อสอบเราก็เดาว่าคำตอบส่วนใหญ่น่าจะเป็นข้อนี้มากที่สุด เช่นเดียวกันกับการลงทุนในตลาดหุ้น แม้ว่าจะมีข้อมูลมากมายมหาศาลวิเคราะห์กันจนหัวหมุน สุดท้ายก็สรุปลงตรงที่การเดา

เมื่อชีวิตมีแต่การคาดเดา ไม่ได้สร้างทรัพย์ขึ้นมาด้วยแรงกายแรงใจและความสามารถอย่างแท้จริง ก็ต้องวัดดวงกับเศรษฐกิจและสังคม เป็นการพนันที่อ้างอิงระบบใหญ่ขึ้นมามากกว่าการใช้ไพ่หรือลูกเต๋าเท่านั้นเอง

ดังนั้นการจะมีชีวิตผาสุกบนพื้นฐานของอบายมุขนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย ผู้ประสบความสำเร็จนั้นก็เป็นเพียงคนที่กินกุศลเก่า เอากรรมเก่าของตนเองมาใช้เสพกิเลส ส่วนคนที่โลภอยากได้ตามเขาก็ต้องเจ็บช้ำไปตามๆกันเพราะตัวเองไม่มีกุศลเก่าให้กินให้ใช้เหมือนคนอื่นเขาก็เลยต้องขาดทุนกันเรื่อยไป

ผู้ที่คิดจะเอาดีในทางธรรม หรือต้องการจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากยังข้องแวะกับอบายมุขหรือการลงทุนในตลาดหุ้นหรือการลงทุนในลักษณะอื่นๆที่ใกล้เคียงกัน ก็ยากจะพบกับความผาสุกในชีวิต เพราะกิเลสหยาบแสนหยาบในระดับอบายมุขตัวเองยังพ้นไปไม่ได้ ยังยินดีที่จะจมอยู่ในนรกโดยแลกมาด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ไม่มีวันที่จะออกจากขุมนรกนี้ได้ ไม่มีวันผาสุก ต้องวนเวียนอยู่ในความฉิบหายอีกนานแสนนาน

….ความร่ำรวยไม่ได้หมายความว่าจะสนองกิเลสได้ทุกอย่าง

การที่เรามีความร่ำรวย มีเงินทองสนองกิเลสนั้นไม่ได้หมายความจะสนองกิเลสได้ทุกอย่างเสมอไป ในมุมคนที่ไม่เคยมีลาภ มีเงินทองก็มักจะมองว่า หากฉันมีเงินฉันจะมีความสุข หากฉันร่ำรวยชีวิตของฉันจึงเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ แบบนี้มันคิดแบบคนไม่เคยมี พอไม่เคยมีก็ไม่เคยเห็นกิเลสตัวเอง

กิเลสนี่แหละคือสิ่งที่เหนือชั้นเหนือความร่ำรวยขึ้นไปอีก หากเรามีลาภเราก็จะอยากได้ยศ พอมียศเราก็จะอยากได้สรรเสริญ ทั้งหมดเพราะเราเมาในโลกียสุขนั่นเอง กิเลสไม่เคยปล่อยให้เราพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน มันจะกระตุ้นความอยากในจิตใจของเราให้ออกไปแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่แพงกว่ามาเสพเสมอ

เมื่อเรามีเงิน กิเลสก็จะชักจูงเราไปเสพสิ่งต่างๆเพื่อบำเรอกิเลส การหาเงินเก่งไม่ได้หมายความว่าจะเก็บเงินเก่ง ถึงจะเก็บเงินดีอย่างไรสุดท้ายก็ต้องเสียไปให้กิเลสอยู่ดี ถ้าจะสรุปจริงๆก็คงจะเป็นหาเงินเพราะกิเลสตั้งแต่แรก มันมีกิเลสเป็นตัวบงการแต่แรก ยอมเป็นทาสกิเลสตั้งแต่เริ่มจนจบนั่นแหละ

ซ้ำร้ายเงินและความมั่งคั่งไปด้วยยศและชื่อเสียงก็ยังไม่ใช่สิ่งที่บันดาลสุขให้ได้เสมอไป หากเราพบว่าตัวเรานั้นเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ถึงจะร่ำรวยและมีคนนับหน้าถือตาเพียงใด ก็คงจะไม่สามารถทำให้เรามีความสุขได้เท่าก่อนหน้าที่เราจะพบว่าเราป่วยอย่างแน่นอน นั่นเพราะเงินซื้อไม่ได้เสียทุกอย่าง คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นแล้วมองว่าถ้ามีเงินก็จะได้สนองกิเลสได้นั้นเป็นการประเมินกำลังของกิเลสที่ผิดอย่างมหันต์

….ความไม่เที่ยงของหุ้นและชีวิตนักลงทุน

แม้ว่าเราจะมองว่าการลงทุนในหุ้นเป็นการออมเงินที่ได้ผลกำไรดีวิธีหนึ่ง แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่เที่ยงอยู่ดี เพราะในมุมของโลกียะถ้ามีผลดีก็ต้องมีผลไม่ดีอยู่คู่กันเสมอ การออมในหุ้นจึงเป็นคำเรียกที่ดูดีเอาไว้หลอกคนโลภให้มั่นใจในการเล่นหุ้นเท่านั้นเอง

การที่เรามีเงินมากมายในตลาดหุ้นไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นหลักประกันในชีวิตของเราได้เสมอไป ยังมีเหตุปัจจัยอีกมากมายที่บีบให้เราต้องสละทรัพย์ทั้งหมดเพื่อสิ่งอื่น เช่นเมื่อเราเล่นหุ้นไปสักพักสะสมวิบากบาปได้จนเหมาะสม กรรมก็อาจจะดลบันดาลให้เราหรือคนรักของเราป่วย ทำให้เงินที่เราสะสมมาต้องถูกใช้ไปหมดในพริบตาก็ว่าได้

ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้ตลาดหุ้นมีสภาพไม่เที่ยงนั้นมีมากไปหมด ตั้งแต่เศรษฐกิจและสังคม จนถึงการปั่นหุ้นของคนมีกิเลสด้วยกันก็ทำให้เกิดสภาพเหล่านั้น เมื่อสภาพเหล่านั้นไม่เที่ยงแต่เรากลับไปยึดเกาะด้วยหมายที่จะเอาชนะ ยึดมั่นถือมั่นว่าฉันนี่แหละแน่ ฉันนี่แหละคือคนที่จะได้กำไรในสภาพไม่เที่ยงเหล่านี้ ดูสิกิเลสมันอหังการขนาดไหน ขนาดเห็นกันอยู่ชัดๆว่าเป็นการพนันบนสภาพที่แปรผันตลอดเวลายังเมามายในอบายมุขกันได้อย่างภาคภูมิใจ

คงจะเหมือนดังที่เขาเปรียบไว้ว่า “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ” แต่จะว่าเหมือนก็คงไม่ใช่ แมลงนี่มันมีปัญญาน้อย การที่มันจะหลงในแสงสีของไฟก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก แปลกตรงคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น มนุษย์ผู้ประเสริฐแต่กลับหลงเมามายอยู่ในอบายมุขและเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มองว่าการพนันอย่างการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องดีเสียอย่างนั้น

….วิบากกรรมของคนเล่นหุ้น

ขึ้นชื่อว่าอบายมุข หรือทางฉิบหายในชีวิตแล้ว วิบากกรรมหรือผลกรรมที่เกิดจากการเล่นหุ้นนั้นคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ในมุมแรกคือหากเราประสบความสำเร็จจากการเล่นหุ้น ก็จะไปเหนี่ยวนำหรือเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเล่นหุ้นตาม แล้วก็จะมีคนที่เข้าสู่อบายมุขเพิ่ม แม้เขาจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ถือว่าเป็นการชักจูงคนเข้าสู่อบายมุข แม้จะมีหน้าตาสดใส แต่งตัวดี ผูกไทด์ใส่สูทสร้างภาพดูหรูหราน่าชื่นชมอย่างไร สุดท้ายก็เป็นแค่ทูตแห่งอบายมุขเท่านั้นเอง

แล้วเงินที่เราลงทุนไปในตลาดหุ้นนั้นสร้างอะไรให้กับเรา ในมุมของนักลงทุนเขาก็จะบอกว่านำไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศชาติเจริญ แต่ในมุมของธรรมะไม่ใช่แบบนั้น เงินที่เราลงทุนไปในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งนั้นต้องดูให้ดีว่าเขามีธรรมาภิบาลหรือไม่ เขาประกอบสัมมาอาชีวะหรือไม่ ผิดมิจฉาวณิชชาหรือไม่ หากเขาทำธุรกิจบาป เราก็จะกลายเป็นคนที่สนับสนุนบาป ก็ได้บาปร่วมกันกับเขาไป แต่ถ้าหากฉากหน้าเขาเป็นธุรกิจที่ดี แต่รู้หรือไม่ว่าเงินที่ลงทุนนั้นถูกโยกย้ายไปมาอยู่เสมอ ธุรกิจของเขาอาจจะเป็นธุรกิจที่ดี แต่เขาเอาเงินลงทุนที่เราลงไปส่วนหนึ่งไปลงทุนกับอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นธุรกิจบาป เราก็ต้องรับในวิบากกรรมส่วนนี้ไปด้วย เพราะเราเป็นหนึ่งในแรงหนุนให้เขามีกำลังไปทำบาป

ทีนี้พอเราสนับสนุนธุรกิจบาปเข้ามากๆ บาปก็จะกลับมาเล่นงานเราเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเราไปลงทุนในธุรกิจอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เช่นไก่ทอด เราก็จะอยากสนับสนุนให้บริษัทที่เราลงทุนไว้มีกำไรเราจึงกินไก่ทอดนั้น พอมีคนมาชวนให้กินมังสวิรัติซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่บาปของเราจะก็จะต่อต้านในทันทีเพราะขัดแย้งกับสิ่งที่เราลงทุนไว้ เห็นไหมนี่เป็นเพียงมุมเล็กๆที่เกิดจากความเห็นผิดไปในอบายมุขเท่านั้น

วิบากบาปจากการลงทุนในตลาดหุ้นยังมีอีกมาก หากสังคมยังเคลื่อนที่ไปด้วยทุนนิยม ชีวิตจะไม่มีวันพบกับความผาสุกเลย ลองสังเกตเมืองใหญ่ที่มีเงินมากมายมหาศาล มีเม็ดเงินหมุนเวียนกันสร้างวัตถุได้ยิ่งใหญ่มากมาย แต่กลับมีความสุขไม่มากเท่าประเทศเล็กๆอย่างภูฏานซึ่งแทบจะไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เลย

คนที่หลงว่าทุนนิยมคือความสุขนี่แหละคือวิบากบาปของคนที่หลงมัวเมาในเงิน ในความมั่งคั่งจนบดบังความจริงของชีวิต กิเลสมันจะบังไว้หมด ทำให้หลงว่าเงินและความเจริญของประเทศคือความสุข มันจะไม่เห็นว่าความพอเพียงคือความสุข และความเข้าใจนี้เองที่จะผลักดันให้พวกเขาเดินหน้าสู่นรกอย่างมั่นใจ นี้เองคือพลังแห่งวิบากบาปที่ทำให้เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

….การลงทุนในโลกียะกับชาติภพที่ไม่มีวันจบสิ้น

นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นหรือในการลงทุนอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายๆกัน คือนักลงทุนที่วิเคราะห์และเข้าใจได้เพียงความเป็นอยู่ในชีวิตนี้เท่านั้น จึงตัดสินใจลงทุนแม้ว่ามันจะเป็นอบายมุข จะเป็นการพนันแค่ไหนก็ยินดีที่จะทำเพราะมองเห็นเพียงแค่ว่า ขอให้ฉันมีชีวิตที่สุขสบายในชาตินี้ก็เพียงพอ

แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้จบแค่ตาย ความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านของภพหนึ่งไปภพหนึ่ง เปลี่ยนจากคนแก่เปลี่ยนชีวิตที่ใกล้ตายไปเป็นชีวิตใหม่ โดยใช้กรรมเก่าที่ทำมาในชาติที่ผ่านมา ร่วมกับกรรมเก่าที่เก็บสะสมไว้หลายต่อหลายชาติก่อนหน้านี้ สังเคราะห์ขึ้นมาเป็นร่างใหม่ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมแก่กรรม

ดังที่เราเห็นได้ว่า เราเกิดมาพร้อมกับปัจจัยที่ไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนรวย บางคนจน บางคนหน้าตาดี บางคนธรรมดา บางคนปกติ บางคนพิการ ในเมื่อผลของกรรมคือการรับสิ่งที่เราทำมา แต่เราเกิดมาเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มีพ่อแม่มาเลี้ยงแล้ว ดังนั้นไม่ว่าการเกิดมาในภพใด จะยากดีมีจน มีคนรักมีคนดูแลหรือถูกทิ้ง ล้วนเกิดจากกรรมที่สะสมไว้ทั้งนั้น เป็นการนำกุศลกรรมเก่ามากินมาใช้ในช่วงที่ยังเป็นเด็ก

ทีนี้นักลงทุนที่มองเพียงแค่ชาติเดียวก็จะลงทุนพลาด จะลงทุนไปเพียงแค่ในเชิงโลกียะ หรือแม้จะทำกุศลก็ทำไปเพียงแค่ในเชิงโลกียะ การจะเกิดมารวยหรือจนนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งสำคัญคือการเกิดใดๆล้วนต้องประสบทุกข์ ไม่ว่าจะปุถุชนหรือพระอรหันต์ก็ต้องเจอกับทุกข์

ดังนั้นการลงทุนของนักลงทุนทั่วไปก็จะสามารถทำให้ตัวเองมีกินมีใช้ในชาตินี้หรืออย่างมากก็ชาติหน้าเท่านั้น แต่นักลงทุนที่เก่งกว่าจะมองเห็นไปถึงวัฏสงสารที่แสนยาวไกล จึงวางแผนได้ไกลกว่า วิเคราะห์ได้ลึกซึ้งกว่า เห็นไปถึงรูปและนามที่สะสมมา เห็นกิเลส เห็นภพ เห็นชาติ เห็นการเกิดและการดับใดๆก็ตามในโลกนี้ จึงสามารถจัดสรรการลงทุนให้เป็นไปทางโลกียะและโลกุตระอย่างเหมาะสม ลงทุนทั้งทางโลกและทางธรรมให้เป็นไปอย่างกุศล ทางโลกก็เพื่ออาศัย ทางธรรมก็เพื่อดับกิเลส อาศัยเกิดและดับไปอย่างนี้ทุกชาติ สร้างกุศลซึ่งเป็นกำไรแท้สะสมไปทุกชาติ

ดังนั้นนักลงทุนข้ามภพข้ามชาติจึงไม่กลัวจน แต่จะกลัวรวย เพราะการรวยนั้นหมายถึงการเบิกกุศลเก่ามาใช้เกินพอดี แต่การจนนั้นคือการออม และเก็บสะสมกุศลที่ตัวเองไว้กินใช้ภายหน้า ซึ่งเหมือนกับธนาคารกรรมที่เก็บสะสมไว้ ส่วนจะมีมากน้อยเพียงไร คงมีเพียงนักลงทุนผู้นั้นเท่านั้นที่จะรู้ได้

– – – – – – – – – – – – – – –

17.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์