Tag: คู่ครอง

ทั้งรู้ก็รัก

January 1, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,746 views 0

ทั้งรู้ก็รัก

ทั้งรู้ก็รัก

…เพราะเหตุใด ผู้คนต่างยินดีที่จะมีความรัก แม้ว่าสุดท้ายจะต้องผิดหวัง

ความรักนั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตของเราเคลื่อนไหว หลายคนสามารถทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับความรัก จนกระทั่งถึงขนาดที่ว่ายอมทิ้งชีวิตเพื่อบูชาความรักกันได้เลย

ความรักกับความหลงนั้นเป็นสิ่งที่แยกกันได้ยาก เพราะความหลงนั้นเองจะทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่คิดและทำอยู่นั้นคือความรัก ความหลงจะครอบคลุมทุกอย่างไว้ ปิดบังความจริงไว้ เหมือนกับร่มที่กันฝน เมฆที่บังแดด เหมือนกะลาที่ครอบไว้

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงก็จะพาให้เราพบกับความจริงได้เสมอ ความจริงที่ว่าเราหลงไป ความจริงที่ว่ารักของเขา หรือแม้แต่รักของตัวเราเองก็ไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งลวง เป็นสิ่งเทียมความรักเท่านั้นเอง

ทำไมต้องผิดหวัง?

ไม่มีวันที่เราจะสมหวังและสามารถเสพสุขได้ตลอดไป เพราะสุขที่เราเสพนั้นมาจากกุศลที่เราเคยสร้าง มาจากความดีที่เราเคยทำไว้ และแน่นอนว่าเมื่อใช้สิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆมันก็จะมีวันหมด และนอกจากสุขจะมีวันหมดแล้ว ยังมีทุกข์อีกมากมายที่เกิดจากความไม่ดีหรือความชั่วที่เราเคยก่อไว้

ก่อนที่เราจะตกลงปลงใจกับใครสักคนหนึ่ง เราทำร้ายใจใครมามากเท่าไรแล้ว เราเคยทำให้พ่อแม่เสียใจกี่ครั้ง เราเคยดื้อเอาแต่ใจมากี่หน เราเคยหักอกใคร ทำร้ายใจใคร นินทา ใส่ร้ายป้ายสีใครบ้างไหม ถึงแม้ชาตินี้จะไม่เคยทำ แล้วเรามั่นใจได้อย่างไรว่าชาติก่อนจะไม่เคยทำ เพราะดีในชาตินี้ที่เราได้เสพก็มักจะไม่ได้มาเพราะเราทำดีแต่เป็นกุศลเก่าที่ติดมา ใครกันที่อยู่ๆจะมีคนดีเข้ามาในชีวิต ถ้าไม่เคยทำดีร่วมกันไว้ไม่มีทางได้พบเจอสิ่งที่ดีหรอก

แน่นอนว่ามีสิ่งที่ดีก็ต้องมีสิ่งที่ชั่วด้วย โลกธรรมมันเป็นแบบนี้ มันมีสุขมีทุกข์อยู่คู่กันเสมอ ตราบเท่าที่ยังคงยินดีในโลก ในความสุขแบบโลกๆ ก็ต้องรอรับกรรมชั่วที่จะดลบันดาลความผิดหวังในวันใดก็วันหนึ่ง ในชาติใดก็ชาติหนึ่ง ด้วยลักษณะเหตุการณ์ ลีลาท่าทางอย่างใดอย่างหนึ่ง

เพราะการวนเวียนอยู่ในโลกนี้เอง จึงต้องพบกับการผิดหวังและสมหวังเป็นเรื่องธรรมดา แม้วันนี้จะสมหวังและดูเหมือนว่าจะมีแต่ความสุข แต่นั่นหมายความว่าเรากำลังจะเสพสุขให้หมดไปและเปิดทางให้ทุกข์ที่ต่อแถวรอได้เข้ามาหาเราไวขึ้น จึงเป็นเหตุให้ชีวิตต้องพบกับความผิดหวังเช่นนี้ตลอดไป

ทั้งรู้ว่าสุดท้ายต้องทุกข์แต่ทำไมยังรัก?

การมีความรักแบบคู่ครอง ไม่มีวันหนีความทุกข์พ้น ไม่ว่าคู่ครองจะดีแสนดีแค่ไหน มีศีลธรรม รับผิดชอบครอบครัว นำพาชีวิตให้มีความสุขความเจริญ แต่สุดท้ายก็ต้องทุกข์เพราะถูกพรากจากกันด้วยความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่ดี ดังนั้นยิ่งรักก็ยิ่งทุกข์

แต่ความจริงแล้วการจะหาคู่รักที่ดีแสนดีเหล่านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้ คนที่ดีมีความรับผิดชอบ มีศีลธรรม ไม่ส่งเสริมกิเลสแก่กันและกัน ที่จะไม่พาตกต่ำนั้น เป็นลักษณะของคนที่หาได้ยากยิ่งในโลก นั่นหมายถึงที่หากันได้อยู่ในทุกวันนี้ก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร แต่ถึงแม้จะไม่ได้ดีพร้อมก็ขอให้เป็นสิ่งที่ตัวเองยินดีพอใจก็พอแล้ว ก็ยังยินดีแม้จะต้องทนทุกข์มากก็ตาม

การที่เรายังยินดีที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์นั้น สาเหตุที่แท้จริงคือ “ไม่รู้” เกี่ยวกับสุขและทุกข์นั้น เรามักจะมอง เข้าใจ และมั่นใจว่าฉันยินดีจะร่วมชีวิต ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับคู่ครองคนนี้ เป็นบรรยากาศที่เห็นได้ทั่วไปตามงานแต่งงาน วันแต่งงานนี่มันก็ดูดีใช่ไหม เหมือนเจ้าหญิงเจ้าชาย จากคนที่ไม่มีใครสนใจก็ได้ขึ้นเวทีแต่งชุดสวย ได้พูดจาคมๆ ซึ้งๆ มันดูดีใช่ไหม แต่แล้วยังไง เวลาผ่านไปมีสักกี่คู่ที่ยังสามารถคงสภาพความรักให้เที่ยงแท้ ดังที่ตนเองเคยคิดว่าตนมีรักแท้ได้

นั่นเพราะว่าความจริงมันทุกข์มากกว่าสุข ในตอนแรกก่อนที่เราจะครองคู่ ไม่ว่าจะเป็นแฟน หรือแต่งงานเป็นสามีภรรยา เราก็คิดว่า ถ้าเรามีคู่มันจะต้องสุขมากกว่าทุกข์แน่นอน ได้มีคนดูแล เทคแคร์ เอาใจ คุยกัน แบ่งปัน แลกเปลี่ยนกัน บำรุงบำเรอกิเลส สมสู่กันและกัน มันจะต้องเป็นสุขแน่นอน ความเห็นผิดมันเริ่มตรงนี้ เพราะไม่รู้ความจริงในเรื่องโลก ไม่แม่นยำในเรื่องกรรม ไม่รู้จักกิเลส ก็เลยทำให้ปักใจเชื่อว่ามันจะสุขมากกว่าทุกข์

พอเชื่อว่าสุขมากกว่าทุกข์ก็เลยยินดี ตกลงปลงใจคบหาหรือแต่งงานกันเพราะหวังลึกๆในใจว่ามันจะสุขมากกว่าทุกข์นั่นเอง ปัจจัยที่ทำให้เกิดสุขก็คือกิเลส ปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ก็คือกิเลส กิเลสนั้นจะบันดาลทั้งสุขและทุกข์ให้ แต่สุขที่ได้รับจากกิเลสนั้นเราเรียกว่าสุขลวง เป็นสุขที่เสพไม่นานก็จางหาย ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพเช่นการที่เรากินของที่อร่อยแต่ถ้ากินซ้ำๆก็เบื่อ กินตอนป่วยก็ไม่สุข กินตอนทุกข์ก็ไม่สุข มันลวงแบบนี้ มันไม่แท้แบบนี้ เพราะถ้ามันแท้ มันต้องสุขทุกครั้งที่เสพ ไม่มีวันเบื่อ ไม่มีวันที่อะไรจะมาแทนที่ได้

ดังนั้นเมื่อความสุขที่ได้รับจากกิเลสมันไม่แท้ นั่นหมายถึงวันหนึ่งสุขที่เราเคยคิด เคยคาดหวังว่าจะได้รับมันจะหายไป มันจะจางไป แม้ได้เสพเหมือนเดิมแต่มันจะไม่สุขเท่าเดิม เมื่อไม่สุขมันก็เริ่มจะมีทุกข์ มันทุกข์เพราะไม่ได้เสพสุขอย่างที่เคยได้ หรือไม่ได้เสพตามที่อยากได้

เมื่อเกิดทุกข์เพราะไม่ได้เสพสมใจจะมีสภาวะเกิดขึ้นได้สองกรณีแบบกว้างๆ 1. คือเห็นทุกข์จึงเห็นธรรม เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สุขจริง แต่เป็นสุขลวง กรณีนี้เกิดขึ้นได้น้อยถึงน้อยมาก และมักจะเกิดในกรณีที่ 2. คือการหาสุขลวงมาเสพเพิ่ม เมื่อคู่ของตนปรนเปรอกิเลสไม่ได้อย่างเดิม หรือเสพเท่าไหร่มันก็ไม่สุขเหมือนเดิม จึงแสวงหาคน หรือสิ่งอื่นๆที่จะมาเติมเต็มความสุขให้อิ่มเหมือนเดิม จึงเป็นเหตุที่มาของการนอกใจที่เห็นได้ทั่วไปในทุกวันนี้

ดังจะเห็นได้ว่า การประเมินว่าการมีความรักในแบบคู่รักนั้นสุขมากทุกข์น้อย หรือสุขมากพอที่จะยอมทนทุกข์นั้น เป็นการประเมินพลังของกิเลสที่ผิด เพราะกิเลสนั้นหลอกให้เราหลง หลงว่าเราเก่ง หลงว่าเรารู้ดี หลงให้เราเชื่อในคู่ครอง หลงให้เราเชื่อว่าตัวเองจะมั่นคง มันหลอกเรามาตั้งแต่แรก แต่เราก็ทำเป็นเก่งนึกว่าไม่โดนมันหลอก นึกว่าควบคุมมันได้ นึกว่าทุกอย่างเที่ยง นึกว่าทุกอย่างจะเป็นดังฝัน รู้ทั้งรู้ว่ารักแล้วก็ทุกข์ก็ยังจะหลงไปรักแบบคู่ครอง

ความรู้เหล่านี้ไม่ใช่ความรู้จริงๆ เป็นความรู้พื้นฐานตามสามัญของสังคมทั่วไป แต่ความรู้จริงนั้นหมายถึงรู้แจ้งในทุกลีลาของกิเลส ไม่ว่ากิเลสจะมาไม้ไหนก็สามารถโต้ตอบและทำลายกิเลสได้ นั่นคือสามารถใช้ปัญญามาหักล้างเหตุผลในการเสพกิเลสได้เสมอ จนถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องสู้กับกิเลสเลย แค่ตั้งสติกิเลสก็กลัวหัวหดแล้ว ยังไม่ต้องพิจารณาธรรมใดๆกิเลสก็กระเจิงไปหมดแล้ว

ความรู้ลักษณะนี้คือความรู้แจ้งในกิเลส พอรู้ได้แบบนี้แล้วก็ไม่มีวันที่กิเลสจะมาหลอกได้ มันจะไม่รู้สึกว่าต้องไปมีคู่ครอง และไม่รู้สึกรังเกียจการมีคู่ครอง ไม่รักไม่ชัง ไม่ดูดไม่ผลัก แต่จะเห็นประโยชน์และโทษของทุกอย่างตามความเป็นจริงโดยที่ไม่มีกิเลสเข้ามายุ่งเกี่ยว แบบนี้เรียกได้ว่ารู้จริง

คนที่รู้จริงจึงไม่มีวันจะทำให้ชีวิตของตัวเองนั้นลำบากด้วยการมีคู่ครอง มีครอบครัว มีภาระ ที่ต้องแบกรับไว้ ส่วนคนที่ไม่รู้จริงนั้นก็จะหาเหตุผลต่างๆนาๆ เข้ามาทำลายความจริงเหล่านั้นและกลบมันด้วยความฝัน ความหวัง ความหลงที่เกิดจากพลังของกิเลส

– – – – – – – – – – – – – – –

26.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

อกหัก

November 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,611 views 0

อกหัก

อกหัก

…เมื่อความผิดหวังมาเยี่ยมเยียนความรัก

ความรัก การมีคู่ การครอบครอง เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่หา เฝ้าฝันว่าวันใดวันหนึ่งจะได้พบคู่รักดังที่เคยฝันไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอคู่ที่เหมาะสม คู่ที่ยินดีจะมอบกายมอบใจมอบชีวิตให้เขาครอบครอง แต่สุดท้ายความฝันทั้งหมดก็พังทลายลงเมื่อเผชิญกับความจริง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่คนที่ถูกดับความหวังหมดสิ้นความฝันหรือที่เรียกกันว่า “คนอกหัก

ในบทความนี้จะมาไขเรื่องราวของการอกหักอย่างละเอียดเท่าที่จะเกิดประโยชน์กับใครสักคนที่กำลังอกหักหรือเตรียมตัวที่จะอกหักมาสรุปเป็นหัวข้อได้ 7 หัวข้อด้วยกัน ลองอ่านกันเลย

1….ทำไมต้องอกหัก

เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีการดับ อย่างที่เรารู้กันว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เหมือนกันกับความรัก มันเกิดขึ้น มันดำเนินอยู่คงสภาพอยู่ และสุดท้ายมันก็ต้องจบลงไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ตอนที่เรากำลังไขว่คว้าหาความรักแสวงหาคู่ครองมาคบหาดูใจนั้น น้อยคนนักที่จะคิดว่าทุกอย่างจะต้องจบลง ยากนักสำหรับคนที่หลงไปกับความรักจะคิดได้ว่าเมื่อมีรักก็ต้องมีวันหมดรัก หรือจะเรียกได้ว่าเมื่อตกลงรักไปแล้วก็ยากนักที่ใครจะเตรียมพร้อมทำใจรอรับวันอกหัก เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับความรัก ได้รับคนรักเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ก็มักจะมัวแต่เมามายประมาทในกาลเวลามองว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปดังที่หวังไว้ เมื่อได้คบหาแล้วก็วางแผน วาดฝัน สร้างสวรรค์วิมานไปตามที่จะคิดจะจินตนาการได้

แต่ถึงจะวางแผนชีวิตคู่ไว้อย่างดีแค่ไหน สัจธรรมย่อมไม่เปลี่ยนแปลง คือเราจะต้องมีความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา นั่นหมายถึงเราจะต้องเสียคู่รักของเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะเลิกคบหากัน อาจจะตายจากกัน หรืออาจจะอยู่ด้วยกันโดยที่ความรักนั้นได้ตายไปแล้วก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องมาถึงในวันใดวันหนึ่ง

เมื่อเราอกหัก เรามักจะมองหาคนผิด คนที่ได้ชื่อว่าอกหักมักจะดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งก็มักจะคิดว่าตนนั้นถูกกระทำ และคิดว่าตนนั้นมีสิทธิ์ที่จะเสียใจ มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง มีสิทธิ์ที่จะทุกข์ ทั้งที่คนผิดจริงๆนั้นคือตัวเราเอง

ไม่ว่าอดีตคู่ครองจะทำอะไรและไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนกับเราก็ตาม ให้รู้และเข้าใจไว้อย่างหนึ่งคือทั้งหมดที่เขาทำนั้นคือกรรมของเราเอง เราทำมาเองเราเลยต้องรับเอง ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับ เราทำมาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราจึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นว่าเราเคยทำกรรมอันน่ารังเกียจแค่ไหน ยิ่งเราเกลียดคนที่หักอกเรามากเท่าไหร่ นั่นแหละคือเราทำมามากกว่านั้น เราเลวร้ายมากกว่านั้น เพราะกรรมเขาแบ่งมาให้เรารับในชาตินี้ส่วนหนึ่ง ชาติหน้าส่วนหนึ่ง และชาติต่อๆไปอีกจนกว่าจะหมด

นั่นหมายความว่าเรากำลังได้รับเศษกรรมที่เราเคยทำไว้ ดังนั้นเหตุที่ว่าทำไมต้องอกหัก จึงมีส่วนของกรรมเก่าส่วนหนึ่งและกรรมใหม่ที่เราทำในชาตินี้อีกส่วนหนึ่ง กรรมใหม่ก็เช่น เราดูแลเขาดีไหม เราสนองกิเลสเขาได้ไหม เราตามใจเขามากเกินไปหรือไม่ หรือเรามัวแต่สนองกิเลสตัวเองโดยไม่สนใจเขา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมใหม่ในชาตินี้ที่ส่งผลมากที่สุด ถ้าถามว่าทำไมอกหัก ก็สรุปสั้นๆได้ว่า “เราทำมา

2….ทำไมต้องทุกข์ ทำไมต้องทรมาน

ความทุกข์นั้นคือผลของกรรม และผลของกิเลส ในส่วนของกรรม กรรมที่เราทำมาจะทำหน้าที่ให้เกิดความทุกข์ ทรมาน กระวนกระวาย และอาจจะมีผลไปถึงร่างกาย เช่นไม่หิวข้าว ไม่สบาย เซื่องซึม ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการที่จิตใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดทุกข์ซ้ำซ้อนกับเราวนเวียนไปจนกว่ากรรมนั้นๆจะหมด

การที่กรรมนั้นจะหมดได้คือเราต้องยอมรับกรรมเสียก่อน ยอมรับว่าทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เราทำมา คนที่มัวแต่โทษคนอื่น โทษอดีตคู่ครอง โทษมือที่สาม โทษดินฟ้าอากาศ โทษดวงชะตา ฯลฯ คือคนที่ไม่ยอมรับกรรมที่ทำมา เมื่อไม่ยอมรับกรรมก็ยากที่จะพ้นทุกข์ เพราะมีการโกหกซ้ำซ้อนเข้าไปอีกว่าฉันไม่ได้ทำมา ทั้งที่ทำมาแท้ๆกลับไม่ยอมรับ มองเพียงแค่ตื้นๆ เห็นเพียงแค่ผิวเผินก็ตัดสินไปแล้วว่าไม่ใช่กรรมของฉัน สิ่งที่เราได้รับนั่นแหละคือกรรมของเราแน่ๆ ไม่ต้องโทษใครที่ไหน

ในส่วนของกิเลสนั้นซ้อนเข้าไปในเรื่องกรรมอีกที แต่จะเป็นส่วนที่สามารถจะแก้ไขได้ การที่เราทุกข์ทรมานจากการอกหักนั้น เกิดจากความผิดหวัง ที่ผิดหวังเพราะว่าเรามีหวัง แต่มีความหวังนั้นไม่ผิด ผิดตรงที่เราไปยึดมั่นถือมั่นกับความหวังนั้น

เราสามารถวาดฝัน คาดหวัง หรือวางแผนชีวิตคู่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อมันไม่เกิดดังที่เราคาดหวัง เราก็มักจะไม่สามารถปรับใจตัวเองได้ทัน เพราะยังยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเดิมที่เคยคาดหวังไว้ อาการเหล่านี้เรียกว่ามีอัตตา มีความยึดมั่นถือมั่น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราคาดหวังว่าแฟนจะพาไปกินข้าวเย็นสุดหรูในวันสำคัญของเรา แต่สุดท้ายกลับต้องมากินข้าวแกงถุงกัน…

กระบวนการทั้งหมดเริ่มจากเราหวังว่าจะได้กินของอร่อยดูดี แต่เมื่อกรรมได้นำพาเหตุการณ์บางอย่างเข้ามา คือบทที่ไม่สมหวังต้องมานั่งกินข้าวแกงถุง ณ ขณะนี้มีให้เลือก 2 ทางเลือกใหญ่ๆ 1. ทุกข์เพราะผิดหวัง 2.ปล่อยวางความหวัง

ถ้าเรามีทิศทางไปทางที่หนึ่งก็คือกิเลสเต็มๆ คือสิ่งที่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น ส่วนอาการทุกข์เพราะผิดหวังนั้นจะแสดงออกอย่างไรก็แล้วแต่โทสะ ซึ่งเป็นกิเลสอีกตัวที่จะโผล่มาเมื่อไม่สมหวัง คนเรารักกันเลิกกันก็ไม่พ้นเรื่องของกิเลสหรอกมันก็มีอยู่แค่นี้ ถ้าดับกิเลสได้ก็ไม่มีทางทุกข์ที่มีทุกข์เพราะมีกิเลส

ส่วนของทางเลือกที่สองนั้น คือสิ่งที่เรียกว่าอุเบกขา หรือปล่อยวางความคาดหวังเสีย แล้วมีความสุขไปกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ผู้สามารถอุเบกขาหรือปล่อยวางได้อย่างแท้จริงจะมีจิตผ่องใส โปร่งสบาย และมีไหวพริบเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์

แต่การจะอุเบกขาได้อย่างแท้จริงแล้ว จำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจธรรมะในระดับที่ล้างกิเลสเป็น ดังนั้นยากนักที่จะสามารถหนีออกจากเหตุแห่งทุกข์และความทรมานนี้ได้ พวกเขาจึงต้องจมอยู่กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งความทุกข์นั้นก็ไม่ได้เกิดจากใครที่ไหนก็เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่นทุกข์นั้นไว้ กอดทุกข์นั้นไว้ กอดความหวังที่ไม่มีจริงเอาไว้ เมื่อไม่ปล่อยวาง จึงต้องทุกข์ทรมานอยู่เรื่อยไป

3….อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม

คงเป็นเรื่องยากที่ใครจะลืมฉากรักอันแสนหวานและฉากทุกข์ทรมานที่แสนขมขื่น สิ่งที่เราจำได้นั้นเรียกว่า “สัญญา” คือการจำได้หมายรู้ทั่วไป และการที่เราคิดเรียกว่า “สังขาร” หรือการปรุงแต่งความคิด

สัญญาคือเราจำเรื่องราวจำสิ่งต่างได้ เช่น เราคบกันวันแรกที่ไหน ของขวัญชิ้นแรกคืออะไร เราพูดอะไรออกไป เราทะเลาะกันเรื่องอะไร สิ่งเหล่านี้คือความจำ ความจำนั้นไม่ใช่ตัวทำให้ทุกข์ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์นั่นคือความคิดหรือสังขารที่ปนเปื้อนด้วยกิเลส

คนทั่วไปมักจะมองหาทางลืม แต่สุดท้ายก็พบว่าอยากลืมกลับจำ อยากจำสิ่งดีใหม่ๆแต่กลับลืม พยายามสร้างเรื่องราวใหม่เพื่อมาทดแทนแต่ก็ไม่สามารถทำให้ลืมได้ นั่นเพราะสิ่งที่ทำให้เราจำได้ก็เพราะความคิดของเราที่ปรุงแต่งเรื่องราว คำพูด ฉากเหตุการณ์ต่างๆย้อนหลังซ้ำไปซ้ำมาในความคิดของเรา เมื่อคิดอยู่อย่างนั้นมันก็บันทึกเรื่องใหม่ไปด้วย นอกจากจะจำเรื่องเก่าได้แม่นขึ้น ยังมีเรื่องใหม่ที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองอย่างฟุ้งซ่านลงไปด้วย

บางครั้งอาจจะทำให้เกิดอาการ สัญญาวิปลาสได้ คือ ความจำสับสน จำสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นมาใหม่ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงทับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง เช่น เคยเลิกกับแฟนด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง แต่พอเวลาผ่านไปกิเลสได้ปรุงแต่งความคิดให้ฟุ้งซ่านเป็นทุกข์ จึงเริ่มปรุงแต่งเรื่องราวเดิมซ้ำอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาจนประโยคเดิมนั้นกลายเป็นประโยคใหม่ ซึ่งมีน้ำหนักมีความรุนแรงมากกว่าเดิม เหตุการณ์นี้หลายคนก็คงจะเคยเจอ ภาษาทั่วไปเขาเรียกกันว่า “มโนไปเอง” หรือคิดไปเองนั่นเอง คือความคิดใหม่มันไปอัดทับของเก่าไปแล้ว เหมือนกับบันทึกข้อมูลทับข้อมูลเดิมโดยไม่รู้ตัว

ซึ่งปัญหาจริงๆมันไม่ได้อยู่ที่จำหรือลืม มันอยู่ที่ทุกข์หรือไม่ทุกข์ คนที่ล้างกิเลสได้จริงมันจะไม่ลืม แต่มันจะไม่ทุกข์ มันจะยินดีกับทุกเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ว่าจะดีหรือร้าย คิดเรื่องดีก็ยินดี คิดเรื่องร้ายก็ยินดี ยินดีที่ได้รับกรรมที่ทำไปแล้วก็จบไป ยินดีที่ได้เห็นว่าตัวเรานั้นมีกิเลสขนาดไหนยินดีที่ได้ใช้เหตุการณ์นั้นมาล้างกิเลสในใจเรา

4….อกหักทำอย่างไร

ความผูกพันที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้ทำลายได้ง่ายๆเพียงแค่กดข่ม หรือพยายามเปลี่ยนเรื่องโดยหาสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ บางครั้งเราอาจจะหลงคิดไปว่าชีวิตเราเปลี่ยนไปแล้ว คิดว่าเราลืมไปแล้ว แต่จริงๆชีวิตที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกิดมาจากการอกหักที่เกิดขึ้นนั่นแหละ กิเลสที่มีจะพยายามทำให้เราผลักจากสภาพทุกข์ที่เป็นอยู่ซึ่งโดยมากจะไปในทางอกุศล

คนส่วนมากก็มักจะใช้วิธีหากิจกรรมใหม่ เปลี่ยนวิถีชีวิต เช่นไปเที่ยวคนเดียว ไปดูหนังคนเดียว ไปทำอะไรที่ไม่เคยทำ ปลดปล่อยตัวเอง ไประบายความเครียดความบ้าคลั่งที่ไหนสักที่ มันก็พอทำได้ในลักษณะของโลกียะ แต่จริงๆแล้วบางกิจกรรมมันก็ทำทุกข์ซ้อนเข้าไปอีกถ้าจะให้ดีเราควรเลือกกิจกรรมที่เป็นกุศล เช่น พบเจอเพื่อนฝูง ศึกษาธรรมะ นั่งสมาธิ สวดมนต์ ล้างจาน กวาดบ้าน จัดห้อง เก็บของบริจาค จัดสวน หรืองานจิตอาสาช่วยคนอื่น ฯลฯ และเว้นขาดจากกิจกรรมที่จะมีโอกาสเพิ่มไปกิเลสอีก เช่น ไปเที่ยวกลางคืน ดูหนังคนเดียว ฟังเพลงคนเดียว กินเหล้าของมึนเมา เสพยาเสพติด ฯลฯ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์อื่นๆตามมา

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกวิธีที่คนนิยมคือหาแฟนใหม่หาคนใหม่มาดามอก ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้ยิ่งแย่เพราะเรื่องเก่ายังทุกข์ไม่หมดยังจะไปหาทุกข์ใหม่มาซ้ำตัวเองอีก จริงอยู่ว่าแรกรักนั้นเหมือนจะหวานแต่สุดท้ายก็ขมเหมือนกันหมด การที่เราได้โอกาสกลับมาโสดนี่คือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เขาหรือเหตุการณ์ใดๆมาดลให้เราต้องพลัดพรากก่อนเวลาที่เราคิด ซึ่งความโสดนี่แหละดีที่สุด

เมื่อเราได้ความโสดแล้วยังกลับไปหาการมีคู่ก็มักจะต้องกลับไปพบทุกข์เหมือนเดิม วนกลับไปที่หัวข้อแรก ทำไมต้องอกหัก? อกหักก็เพราะอยากมีคู่ อยากมีคู่มันก็เกิดจากกิเลส ถ้าไม่ดับกิเลสมันก็ทุกข์วนเวียนไปเรื่อยๆ ดังนั้นวิธีหาคู่มาดับทุกข์จึงเป็นวิธียอดแย่ที่คนกลับนิยมใช้มากและเข้าใจว่าเป็นวิธีที่ดีทั้งๆที่นั่นคือวิธีสร้างนรกซ้อนขึ้นมาอีกขุม เพราะกิเลสในนรกขุมเดิมก็ยังไม่ได้แก้ ยังเพิ่มกิเลสไปหานรกขุมใหม่เพิ่มให้ตัวเองอีก

วิธีแก้ไขอาการอกหักเบื้องต้นในทางโลกก็ทำให้พอดี ไม่ให้ฟุ้งซ่านเกินไป ไม่ให้มัวเมาจนเลอะเทอะ เพราะวิธีแก้เหล่านั้นไม่ใช่วิธีแก้ที่ยั่งยืน ไม่ได้ดับที่เหตุ เมื่อไม่ได้ดับที่เหตุ ทุกข์ก็ไม่มีวันดับ อาจจะกดไว้ ข่มไว้ ฝังไว้แต่มันจะไม่ดับ มันจะเหลือเชื้อให้กลับมาเป็นทุกข์ได้เสมอ ดังนั้นเราจะเข้าสู่เนื้อหาสาระจริงๆของวิธีแก้ไขการอกหักกันเสียที

อย่างที่เกริ่นกันตอนต้นว่าอาการทุกข์จากการอกหักนั้นเกิดจากกิเลส ซึ่งกิเลสนี้คือความยึดมั่นถือมั่นมาเป็นของตน เมื่อเรารักใคร คบใคร ผูกพันกับใคร หรือแต่งงานกับใครเราก็จะยึดมั่นถือมั่นเขามาเป็นตัวเราของเรา เป็นอัตตาของเรา แต่ก่อนสมัยเรายังโสด คำว่า “อัตตา” นั้นมีแค่ตัวเราของเรา แต่พอเรามีคู่อัตตาของเราก็จะกลายเป็น “ตัวฉันและตัวเธอ” การเอาคนอื่นมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองนั้นเรียกว่าโอฬาริกอัตตา คือเอาวัตถุแท่งก้อน คนสัตว์ สิ่งของมาเป็นของตัว

ตอนแรกมันอยู่คนเดียวก็ปกติดี แต่พอมีคู่แล้วต้องกลับมาอยู่คนเดียวมันไม่ปกติเหมือนเก่า เพราะว่ากิเลสมันเพิ่มขึ้น แต่ก่อนอัตตามันมีแค่ฉัน พอมีคู่กลายเป็นฉันกับเธอ ก็ยึดมันไว้อย่างนั้น ยึดว่าเราต้องมีกันและกัน ต้องคู่กัน ชีวิตของฉันจะเป็นไปเมื่อมีฉันกับเธอ ฉันจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ ตามที่หนังรักมากมายได้หลอกให้เราเชื่อว่าความรักมันเป็นแบบนั้น คนเลยต้องทนทุกข์เพราะยึด เมื่อยึดแล้วโดนจับแยกก็เลยเจอสภาพขาด เพราะหลงเข้าใจไปว่าเขาหรือคู่ของเรานั้นเป็นตัวเราของเรา ทั้งๆที่จริงแล้วเขาไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทุกข์กับสุขของเราเลย ความทุกข์ ความสุขที่เราได้รับนั้น เราปั้นปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น เราสุขจากการได้เสพสมใจในกิเลสโดยใช้เขาเป็นตัวบำเรอกิเลสของเรา สุดท้ายพอโดนพรากไปเราก็ไม่มีที่บำเรอกิเลสเหมือนเดิม อัตตามันไม่ถูกสนองให้เต็มเหมือนเก่ามันก็เลยต้องทุกข์

การจะออกจากอัตตาแบบยึดคนอื่นมาเป็นตัวเราได้นั้น ในระยะแรกนั้นต้องกลับมาเป็นตัวเองให้ได้ ต้องทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองเชื่อมั่นว่าฉันอยู่คนเดียวได้ ฉันอยู่คนเดียวก็มีคุณค่า เติมอัตตาตัวเองให้เต็มด้วยความเป็นตัวเอง เติมช่องว่างที่เคยขาดหายด้วยคุณค่าของตัวเอง หรือจะใช้วิธีเติมคุณค่าด้วยการช่วยเหลือคนอื่นก็ได้ เช่นงานจิตอาสาจะสามารถถมช่องว่างของอัตตาที่เคยขาดหายไปได้ง่าย เสมือนว่าเอาคนอื่นมาแทนแฟนเก่าใช้ระงับทุกข์ได้ดีระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงรากแค่ระงับอาการทุกข์

เมื่ออัตตาได้เต็มกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้แล้ว ยืนด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์อีกแล้ว จะเกิดการยึดดี ความยึดดีนี้เองจะสร้างความเกลียด เมื่อเราเจอแฟนเก่าเราจะไม่ทุกข์เพราะเสียเขาไป แต่จะทุกข์เพราะเกลียดเขา จะเกิดอาการรังเกียจ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากร่วมโลก ไม่อยากสนใจ อันนี้เพราะเรามีอัตตาจัด

แน่นอนว่าเราเติมอัตตาให้เต็มมาเอง แต่สุดท้ายมันต้องทำลายอัตตาอีกที หลักตรงนี้คือ ต้องออกจากความทุกข์จากการอกหักด้วยการกลับมาอยู่กับตัวเองและทำลายความหลงติดหลงยึดกับตัวเองในตอนท้ายอีกที จึงจะสามารถพบกับความสุขแท้ที่เรียกได้ว่าพ้นจากทุกข์ของการเลิกราอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเรามีอัตตามาก ยึดดีมาก มั่นใจในตัวเองมาก จะไม่สนใจแฟนเก่า แม้ว่าเขาจะดีเพียงใดก็จะไม่ใยดี รังเกียจ ความรู้สึกตรงนี้เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้น การล้างทุกข์ตรงนี้ต้องล้างอัตตา ความยึดดีนั้นคือสภาพของการผลัก ผลักเขาออกจากชีวิต ไม่เอาเขาอีกต่อไปแล้ว หรือเรียกว่าเกลียด บางคนถึงกับไม่เผาผีกันเลย

ซึ่งการจะล้างการผลักนั้นต้องดูดกลับไปอีกที คือการพิจารณาคุณค่าของเขาเช่น เขาก็มาให้เราเรียนรู้ทุกข์นะ ถ้าไม่มีเขาเราจะเข้าใจความทุกข์ของคนมีคู่ได้อย่างไร ไม่มีเขาแล้วใครจะมาสะท้อนกิเลสเรา เขาเสียสละมาทำกรรมกับเราเพื่อให้เราชดใช้กรรมเชียวนะ ถ้าเขาไม่ทิ้งเราจะได้เจอกับความโสดที่แสนสุขไหม จริงๆเมื่อก่อนนั้นมันก็ดีนะ เราเองผิดเองที่เรามีกิเลส ฯลฯ

เมื่อพิจารณาไปมากๆความเกลียดเขาจะลดลง แต่ตรงนี้ต้องระวังให้มาก เพราะบางครั้งเราอาจจะออกด้วยอัตตาไม่เต็ม คือตอนมีอัตตามันยังมีเขาแทรกอยู่ในตัวเรา ในกิเลสเรา ทีนี้พอพิจารณาดูดเขากลับมันก็จะเลยเถิดกลับไปรักเขาเหมือนเดิม กลับไปคิดถึงเขาเหมือนเดิม ดีไม่ดีก็กลับไปคบเขาเหมือนเดิม นี่คือลักษณะของการล้างกิเลสที่ไม่เป็นลำดับทำให้พลาดหล่นลงนรกไปเหมือนเดิม ให้สังเกตดูดีๆว่าคิดถึงเขาแล้วเรายังแอบดีใจ แอบมีความสุข แอบคิดถึงบรรยากาศดีๆที่เคยมีให้กันอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีอยู่อย่าเพิ่งคิดไปพิจารณาดูดหรือไปพิจารณาประโยชน์ของเขา ให้พิจารณาโทษให้ติดดี ให้เกลียดการมีคู่ให้มันเต็มๆก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที

เมื่อปรับระหว่างรักกับเกลียดผลักกับดูดได้แล้ว สุดท้ายมันจะสำเร็จลงที่ความเป็นกลาง กลางในที่นี้คือไม่กลับไปเสพเรื่องคู่ หรือไม่คิดกลับไปคบหากับแฟนคนก่อนอีก และไม่ทรมานตัวเองด้วยอัตตาคือไม่ถือดี ไม่ยึดดี ไม่เกลียดใครจนตัวเองทุกข์ จึงจะพ้นสภาพของความทุกข์ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ว่าเขาจะเดินผ่าน ไม่ว่าเขาจะยิ้มให้ ไม่ว่าเขาจะเข้ามาคุย ไม่ว่าเขาจะพาแฟนใหม่มาเย้ย ไม่ว่าเขาจะต้องทุกข์ทนมานจากวิบากกรรมใดของเขา หรือไม่ว่าเขาจะต้องตายจากไปก็ตาม เราก็จะยังมีความยินดี ที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้รักกันแม้ว่าทุกอย่างจะจบไปแล้วก็ตาม โดยไม่มีทุกข์ใดๆเข้ามาเจือปนในจิตใจให้หม่นหมองเลย

5….อกหักดีอย่างไร

ข้อดีของการอกหักมีมากมาย ตั้งแต่เราได้ใช้กรรม เราได้เห็นกิเลสตัวเองทำให้เรากลับมาสำรวจตัวเองว่าเรายังบกพร่องในเรื่องใดบ้าง เราได้เห็นกิเลสของคนอื่นทำให้เราได้เห็นว่าการบำรุงบำเรอกิเลสให้ใครนั้นทำเท่าไรก็ไม่พอ เราได้เห็นทุกข์ เราได้เห็นธรรม เราได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น การอกหักครั้งหนึ่งสร้างการเรียนรู้ให้เราได้มากมาย และสิ่งที่ดีที่สุดของการอกหักก็คือ “ความโสด

คนที่ไม่อกหักก็จะไม่มีวันเข้าใจความทุกข์ของความโสด และไม่มีวันเข้าใจความสุขของการโสด ทั้งสองอย่างคือสิ่งที่เราต้องพบเจอไม่วันใดก็วันหนึ่ง ความทุกข์จากความโสดหรือโสดแล้วทุกข์เศร้าหมองนั้นเรามักจะเห็นกันเป็นประจำดังคำเรียกที่ว่า “คนอกหัก” แต่ความสุขของการโสด หรือ “โสดอย่างเป็นสุข” นั้นคือสภาพที่ใครหลายๆคนไม่ค่อยจะได้พบเห็นมากนัก แต่ถ้าจะยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพกันได้บ้างก็คือคนที่หลุดจากนรกหรือเลิกคบกับคนที่นิสัยไม่ดี ตอนแรกก็หลงรักเขาอยู่พอเขาจะทิ้งก็ไม่ยอมนะ แต่สุดท้ายพอเขาทิ้งจริงๆ ก็กลับมีความสุขขึ้น แบบนี้ก็น่าจะมีเหมือนกัน

แต่โสดอย่างเป็นสุขนั้นเป็นขั้นกว่าเป็นสิ่งที่เหนือกว่า เพราะคำว่าโสดอย่างเป็นสุขนั้นหมายถึงการยินดีในความโสดจนเกิดเป็นความสุข เพราะรู้ดีแล้วว่าไม่มีสิ่งใดจะมีความสุขเท่าความโสด ไม่มีอิสระใดจะยิ่งใหญ่เท่าความโสด เป็นความสุขแท้ที่มีเพียงผู้ที่ล้างกิเลสได้อย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงได้ ถ้าถามว่ามันสุขแบบไหน ก็คงจะตอบสั้นๆได้ว่า มีความสุขและความยินดีที่จะโสดตลอดชีวิต โสดทั้งชาตินี้และชาติหน้าและชาติอื่นๆสืบไป

6…ความรักหลังจากอกหัก

ความรักหลังจากอกหักของคนมีกิเลส ก็คงจะหาคนมาเติมเต็มช่องว่างของกิเลสที่ขาดหายไป ถมแล้วก็หาย เติมแล้วก็พร่อง แล้วก็ต้องหามาเติมอย่างนี้เริ่มไปไม่จบไม่สิ้น วนเวียนอยู่กับการมีรัก คบกัน อกหัก นานแสนนานตราบเท่าที่กิเลสนั้นจะดับไป

แต่คนที่อกหักแล้วสามารถล้างกิเลสได้จะต่างออกไป ความรักของคนที่ล้างกิเลสได้จริงจะเปลี่ยนชีวิตของเขาและเธอไปอย่างไม่มีวันกลับไปทุกข์เหมือนเดิม ความรักที่มีหลังจากนั้นจะมีความใสบริสุทธิ์กว่าที่เคย จะกลายเป็นรักที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้ว่าจะมีการให้การเกื้อกูลดูแลการเอาใจใส่ แต่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เอาตัวเขามาเป็นตัวเรา ไม่เอาใครเข้ามาเป็นกิเลสร่วมกับเรา และไม่มีตัวเรา ไม่มีคนหลงรัก ไม่มีใครให้รักจนหลง มีแต่ความรักที่พร้อมจะให้ ให้กับใครก็ได้ พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน มิตรสหาย ฯลฯ เพราะรู้ว่ารักแท้จริงนั้นเกิดจากการให้โดยไม่ยึดติด เมื่อไม่ยึดติดว่าต้องให้กับใครก็เลยยินดีที่จะให้ความรักกับทุกคน โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

7….อกหักครั้งต่อไป

โดยทั่วไปคนที่เคยอกหักแล้ว มักจะเข้าใจว่าตัวเองได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด ก็เลยมักอยากจะกลับไปลองของ เพราะความที่ตัวเองมีกิเลสอยากมีคู่ อาจจะด้วยความเหงาหรือความหื่นกระหายในสิ่งใดก็ตามแต่ เขาเหล่านั้นมักจะมั่นใจว่าครั้งต่อไปจะต้องไม่พลาด…แต่แล้วมันก็จะพลาดอีกอย่างเคย เพราะที่ใดมีรักที่นั่นก็มีทุกข์ ของมันคู่กันแบบนี้เราจะเลือกรับแต่ความสุขอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรับความทุกข์ไปด้วย แต่ที่สำคัญก็คือความสุขที่ได้รับนั้น “เป็นความสุขลวง”ที่จะล่อให้เราหลงติดอยู่ในการมีคู่ต่อไป ให้เราตามหารักแท้ไปเรื่อยๆ ให้เราอกหักไปเรื่อยๆ ผิดหวังไปเรื่อยๆ

ชีวิตนั้นยังมีเรื่องอีกตั้งมากมายให้เราผิดหวัง รอคอยให้เราล้างกิเลส หากเรายังมัวยินดีที่จะผิดหวังกับเรื่องเดิมๆ เราก็จะไม่มีวันพบกับความสุขแท้ได้ คงจะมีแต่สุขลวงๆที่กิเลสนั้นใช้ล่อเราไว้กับโลกนี้ ล่อเราไปกับการมีรัก การคบหา การเลิกรา ทั้งที่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่กิเลสจัดฉากให้เราเล่น ให้เรารัก ให้เราหลง ให้เรายึด ให้เราทุกข์ ทรมาน เศร้าโศก คร่ำครวญ รำพัน เสียใจ คับแค้นใจ อยู่เรื่อยไป

อ่านบทความมาถึงตรงนี้แล้วอกหักครั้งต่อไปจะมีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกิเลสในใจของเรา หากเรายังมีความยินดีที่จะกลับไปเสพสุขจากการมีคู่รักและพร้อมจะรับทุกข์ ก็ให้เรียนรู้ทุกข์ไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องบรรลุธรรมในชาติใดชาติหนึ่งอยู่ดีอาจจะชาตินี้หรือชาติต่อไปนานแสนนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่คนเรานั้นจะสามารถทำทุกข์ได้เท่าที่จะทนทุกข์ได้ เมื่อทุกข์สุดทนก็จะเลิกทำทุกข์ให้กับตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม

– – – – – – – – – – – – – – –

24.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

คนเจ้าชู้

November 22, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 13,306 views 7

คนเจ้าชู้

คนเจ้าชู้

…น่าอิจฉาที่สุดในโลก น่าสงสารที่สุดในธรรม

ในสังคมทุกยุคทุกสมัย ไม่มียุคไหนที่ไม่มีคนเจ้าชู้ ถ้าเรามองผ่านๆโดยใช้กิเลสเป็นตัววัด เรามักจะอิจฉาริษยาคนเจ้าชู้เสมอ ที่เขาหรือเธอมักจะได้เสพสมใจในกิเลส มักจะได้คบหา รู้จัก สมสู่กับคนมากหน้าหลายตาอยู่เสมอนั่นคือมุมมองที่เรามองจากกิเลสไปสู่กิเลส สิ่งเหล่านั้นย่อมจะดูน่าเสพ น่าได้ น่ามีเป็นธรรมดาตามประสาโลกียะ

แต่ถ้ามองกันตามจริงนั้น คนเจ้าชู้นี่แหละคือคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก เพราะตลอดเวลาที่เขาได้แสดงความเจ้าชู้ ด้วยถ้อยคำหวาน คำหยอกเย้า หว่านเสน่ห์ หรือกระทั่งนอกใจคู่ครองของตน ไม่มีการกระทำใดเลยที่เป็นบุญ ตลอดเวลาเขาได้กระทำบาปซ้ำซ้อนและบาปที่เขาทำนั้นก็ยังจะไปดูดดึงให้คนอื่นได้ร่วมบาปไปกับเขาอีก

คนเจ้าชู้นั้นจัดอยู่ในลักษณะของอบายมุข ซึ่งโดยวิถีชีวิตแล้วก็มักจะมีเรื่องของอบายมุขอื่นๆติดมาในชีวิตด้วย เช่นอบายมุขหยาบๆที่รู้กันโดยทั่วไปคือ กินเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติดให้มัวเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน ฯลฯ

และยังมีอบายมุขหยาบอีกมากมายที่คนมองไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอบายมุขเช่น หุ้น การบ้าดารา การหลงในของสะสม การแต่งรถ การชอบเที่ยวเล่นไปในที่ต่างๆ เช่นเที่ยวกินต่างประเทศ ฯลฯ ลักษณะเหล่านี้เป็นกิเลสหยาบในระดับอบายมุขทั้งสิ้นซึ่งเป็นเครื่องล่อหรือเครื่องมือให้คนเจ้าชู้ใช้กิเลสเหล่านี้มาเป็นสิ่งที่ทำให้ตนได้มาเสพสมใจในสิ่งต่างๆ

กิเลสแต่ละตัวจะเติมเต็มกันและกัน เมื่ออยากเสพสิ่งใดมากเข้าก็จะเพิ่มกิเลสตัวอื่นไปในตัว เช่นเมื่อเราอยากเที่ยว เราก็อยากกินของอร่อย พอกินของอร่อยก็อยากถ่ายรูปอวด พออยากถ่ายรูปอวดก็อยากแต่งตัวสวย พอรู้สึกว่าตัวเองสวยก็เริ่มอยากตรวจสอบความนิยม พอมีคนเข้ามาให้เลือกมากๆก็เริ่มคิดที่จะมีคู่ พอมีคู่ได้เสพสมใจบางอย่างแล้วก็ติดใจ วันใดที่เริ่มไม่ได้เสพได้ดั่งใจเหมือนก่อนหรือเบื่อรสชาติเดิมๆก็จะหาสิ่งใหม่มาเสพ นี่แหละอบายมุขกับความเจ้าชู้มันจะค่อยๆเติมเต็มกันและกัน

…ความเจ้าชู้เกิดจากอะไร

คนเจ้าชู้นั้นเป็นได้ทั้งชายและหญิง กิเลสนั้นไม่จำกัดเพศ ไม่จำเป็นว่าผู้ชายต้องมักมากมากกว่าผู้หญิงมันไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งที่ให้เกิดความเจ้าชู้ไม่ใช่เพศแต่เป็นกิเลส

ลักษณะที่เห็นได้ทั่วไปสำหรับกิเลสของคนเจ้าชู้คือความโลภ อยากครอบครอง อยากเสพมากกว่าที่ควรจะเป็น อยากมีมากกว่าคนอื่น อยากสะสม อยากอวด ฯลฯ จึงเกิดสภาพของความเจ้าชู้ขึ้น เพราะไม่รู้จักคำว่า “พอ” คำว่าพอนี้ไม่ใช่คิดเอาแล้วมันจะพอเพียงได้ กิเลสมันจะไม่ยอม มันจะหิวโหยหาและออกไปสร้างความเจ้าชู้ แม้จะรู้ตัวว่าเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ควรทำ แต่คนเจ้าชู้กลับไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปเสพสิ่งที่ไม่ควรได้ ซึ่งเขาหรือเธอเหล่านั้นตกอยู่ในกิเลสที่หนาจนแทบมองไม่เห็นแสงสว่าง แม้ว่าคิดจะหยุดเจ้าชู้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกิเลสมันสั่ง

กิเลสชั้นแรกของคนเจ้าชู้คือนักสะสม กลัวสูญเสีย กลัวไม่ได้เสพ กลัวขาด กลัวไปหมดทุกอย่าง แต่ภาพแบบนี้เราจะไม่ได้เห็นกันเพราะเขาหรือเธอนั้นจะกลบมันไว้ด้วยความมั่นใจ ภาพลักษณ์ของคนเจ้าชู้จะไม่แสดงความอ่อนแอ แต่จะเห็นในลักษณะของการบำรุงบำเรอกิเลสคนอื่น ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเพื่อการให้ตัวเองได้มาสะสม ได้มาเสพนั่นเอง

ถ้าคนไม่เจ้าชู้ก็จะไม่ต้องบำรุงบำเรอกิเลสคนอื่น ไม่ต้องพูดคำหวาน ไม่ต้องหยอกล้อ ไม่ต้องส่งสายตา ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องเอาใจ เพราะไม่ได้หวังจะเสพอะไร คนเจ้าชู้บางคนสร้างพฤติกรรมสุภาพบุรุษเสียจนกลายเป็นสามัญ คือดูแลเอาใจใส่ทุกคน แต่สุดท้ายเขาก็ทำเพื่อที่จะเลือกคนที่เขามาเสพอยู่ดีนั่นเอง ถือว่าเป็นคนเจ้าชู้ที่เก่ง เก่งในเรื่องของการสนองกิเลส ความแนบเนียนในการสร้างความเชื่อมั่นให้คนอื่นเห็นว่าตนไม่มีกิเลส ตนจริงใจ นี่คือลักษณะของคนที่เจ้าชู้มันจะหลอกซ้ำหลอกซ้อนในตัวเองแล้วหลอกคนอื่นไปด้วยในตัว พอเหยื่อหลงเชื่อก็ค่อยๆตามไปกินก็ยังไม่สาย

คนเจ้าชู้มากก็จะมีวิธีการให้ได้มาซึ่งการเสพมาก แนบเนียน น่าค้นหา น่าหลงใหล ดูอบอุ่น เหมือนใบมีดโกนเคลือบน้ำผึ้งถ้าใครเผลอหลงในรสน้ำผึ้งสุดท้ายก็จะโดนใบมีดโกนบาด ยิ่งเจ้าชู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งบาปเท่านั้น ยิ่งชั่ว ยิ่งเก่ง ยิ่งเสพก็ยิ่งใกล้นรกมากเท่านั้น

คนเจ้าชู้มือใหม่อาจจะมีวิธีการที่ไม่แนบเนียน แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี เขาอาจจะกลายเป็นนักเจ้าชู้ตัวฉกาจก็ได้ เพราะกิเลสสอนเราให้ชั่วเสมอ ชั่วล้ำลึก ชั่วซับซ้อนซ่อนเงื่อน ชั่วดูดี เมื่อเราเสื่อมจากธรรมและนำพาชีวิตด้วยกิเลส เราจะเป็นคนที่สามารถทำชั่ว หรือเจ้าชู้ได้อย่างแนบเนียน เราจะมีเหตุผลมากมายในการเจ้าชู้ เราจะยินดีในการเจ้าชู้และหลงไปว่าการเจ้าชู้นี่แหละคือคุณค่าของชีวิต การได้เสพการได้มีคู่ครองมากนี่แหละคือสิ่งที่น่าสรรเสริญ ทั้งที่จริงลักษณะที่มีคู่ครองหลายคน มั่วกันไปกันมานั้น สัตว์มันก็ทำได้ ไม่เห็นมันจะน่าภูมิใจตรงไหน

จริงๆแล้วรากลึกของความเจ้าชู้นั้นเกิดจากอัตตา เกิดจากความมีตัวมีตน อยากให้คนยอมรับ อยากให้คนเห็นคุณค่า อยากให้คนเห็นว่า นี่ไงมีคนสนใจฉันมาก ฉันทำให้คนเสพฉันได้มาก ฉันเสพคนอื่นได้มาก ยอมรับฉันสิ ดูฉันสิ ฉันเป็นที่นิยมนะ เป็นอัตตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโลกธรรม หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข เป็นกิเลสชั้นหยาบที่ทำให้คนหลงไปในกามเมถุนและเรื่องอบายมุขอีกมากมาย

ลักษณะเด่นของคนเจ้าชู้คือมักทำตัวให้เป็นที่น่าสนใจ ให้เป็นที่น่าคบหา ทั้งในทางเปิดเผยและไม่เปิดเผย กลยุทธ์ในการได้มาซึ่งการครองใจคนอื่นมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่สรุปรวมได้ว่าการสนองกิเลสคนอื่น จนเขายอมมาเสพสมใจหรือสมสู่กันนั่นแหละ เหมือนกับสัตว์ที่เวลาหาคู่ก็ต้องพยายามทำตัวเองให้เด่น พยายามทำตัวเองให้แข็งแรง มนุษย์ที่เจ้าชู้ก็ไม่ต่างจากสัตว์สักเท่าไรนัก จะให้บอกกันตรงๆก็คงจะแย่กว่าสัตว์เพราะสามารถทำชั่วได้มากกว่า ไปกระตุ้นกิเลสคนอื่นได้มากกว่า ทำร้ายจิตใจคนอื่นได้มากกว่า ทำให้เกิดทุกข์ เกิดบาป เกิดกรรมชั่วได้มากกว่า

….ทำไมเราต้องเจอกับคนเจ้าชู้

หลายคนสงสัยว่าทำไมฉันต้องมาเจอกับคนเจ้าชู้ สำหรับคนที่มารู้ทีหลังว่าคู่ของตนนั้นเจ้าชู้ก็ถือว่ารับกรรมไป เพราะไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับเราทำมาแล้วทั้งนั้น

การมีคู่ครองหรือคนที่คบหาเจ้าชู้โดยที่ไม่รู้มาก่อนนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการใช้กรรมที่เราเคยไปเจ้าชู้มาชาติใดก็ชาติหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งของเราคือเรายินดีกับการที่เขามาสนองกิเลสให้เราจนเรายอมให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราเอง มันมีทั้งกรรมในอดีตและกรรมในชาติปัจจุบันสังเคราะห์ร่วมกันจนเกิดเป็นเหตุการณ์นั้นๆขึ้น

และยังมีคนอีกมากที่มักจะชอบคิดว่าตนเองสยบความเจ้าชู้ได้ หลงไปว่าคนเจ้าชู้จะจบที่เราได้โดยเพียงเชื่อคำหวาน คำสัญญาของคนที่มีกิเลส การที่เราคิดว่าจะสยบความเจ้าชู้ได้นั้นเพราะเรามีอัตตายึดมั่นถือมั่นว่าเราดี เราเก่ง เราสวย เราหล่อ อะไรก็ว่ากันไป พอยึดมั่นถือมั่นมันก็เลยมั่นใจ ทีนี้มาเจอกับคนเจ้าชู้ พอเขาได้เสพสมใจในหลายๆสิ่ง จนเขาเริ่มเบื่อแล้วเขาก็จะเริ่มหาสิ่งใหม่เสพ เพราะกิเลสของเขามาก เราสนองกิเลสเขาไม่พอ เขาก็เลยต้องแสดงความเจ้าชู้ไปหาคนอื่นมาเสพ ถ้าเขาไม่หามาเสพ กิเลสเขาก็จะทรมานให้เขาต้องทุกข์เพราะความอยากเสพ กิเลสนั้นคือยาเสพติดชั้นดีเชียวล่ะ

….คนเจ้าชู้รับมืออย่างไร

คนเจ้าชู้นี้จัดอยู่ในหมวดของคนติดอบายมุข เป็นคนพาล พระพุทธเจ้าท่านให้ห่างไกลคนพาลก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งอาจจะไม่ได้หมายความว่าต้องเลิกคบ แต่ไม่ไปคบหาในเชิงชู้สาว ไม่เผลอใจเข้าไปเพราะเพียงแค่หวังจะเสพรสของหนุ่มสาวเจ้าชู้ เรื่องกิเลสนี้ไม่ควรลอง ไม่สมควรที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง มีคนมากมายที่มั่นใจนักหนาว่าจะปราบคนเจ้าชู้ได้แต่สุดท้ายก็แพ้ไม่เป็นท่ามาหลายรายแล้ว

ถ้าเจอคนเจ้าชู้เปิดเผยก็แล้วไป แต่ถ้าเจอคนเจ้าชู้เงียบล่ะ แบบว่าแอบติดต่อ แอบหยอดคำหวานไม่ให้ใครรู้ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำอย่างนั้นกับทุกคนหรือไม่ วิธีตรวจสอบก็คืออย่าไปรีบตามเขา คนเจ้าชู้จะมีกลยุทธ์มากมายที่เอาไว้มัดใจเรา ให้เราออกไปใกล้ชิด ให้เรายอมสมสู่ ให้เรายอมแต่งงาน สุดท้ายแม้แต่การทอดทิ้งกันไปหลังแต่งงานก็ยังมีให้เห็นเป็นปกติในสังคม เพราะฉะนั้นการแต่งงานไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบ ไม่ได้หมายความว่าคนเจ้าชู้จะหยุดเจ้าชู้ได้ ถ้าเจอคนที่จีบเก่ง เอาใจเก่งก็ให้เขารอ รอไปเรื่อยๆ 5 ปี 10 ปี ก็รอไปอย่าเพิ่งไปใกล้ชิดแนบเนื้อนัก อย่ารีบไปสมสู่ อย่ารีบไปแต่งงาน รักษาระยะห่างให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางกุศล อะไรดีก็ทำร่วมกัน อะไรไม่ดีก็ให้ห่างไว้ ถ้ารักกันจริงมันต้องรอได้ แต่คนเจ้าชู้จะรอไม่ได้ เพราะความเจ้าชู้จะทำให้เขารีบเผด็จศึก ถ้าเขารู้สึกว่ากลยุทธ์ที่เขางัดมาใช้ทั้งหมดไม่ได้ผล เขาจะเลิกลงทุนและล่าถอยไปเอง นั่นหมายความว่าไม่ได้ควรคู่ให้เขาคบหาจริง นั่นเพราะเขาไม่ได้คิดจะคบหาเราเป็นคู่ชีวิต แต่คิดจะคบหาเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต

เจ้าชู้เปิดเผยกับเจ้าชู้เงียบก็ยังพอจะป้องกันไว้ได้ แต่ถ้าเจอเจ้าชู้ที่ยังไม่กำเนิดก็ยากหน่อย หมายถึงคนที่กิเลสยังไม่แสดงตัวนั้นจะดูและป้องกันยากมาก ส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลังจากเป็นแฟนกันแล้ว สมสู่กันแล้ว หรือแต่งงานกันแล้ว นั่นเพราะแต่ก่อนไม่เคยได้เสพเรื่องสมสู่คนคู่แต่พอได้เสพหนึ่งแล้วมันก็อยากเสพอีกหนึ่ง อยากเสพแบบอื่น รสอื่น ลีลาอื่น ที่อื่น คนอื่น สุดท้ายก็เลยกลายเป็นคนเจ้าชู้ไป กลายเป็นปัญหาในครอบครัว ไม่ว่าจะมีเมียน้อยผัวน้อยหรือไปเที่ยวโสเภณีก็ตาม

ถ้าเจอแบบนี้ก็ให้ปล่อยวางเสียเพราะมันทำอะไรไม่ได้ มันพลาดไปแล้วก็ให้ทำดี ถือศีลให้มั่นคง ศึกษาธรรมะ ความดีจะจัดฉาก จัดเหตุการณ์ที่ดีให้เอง เช่น เขาหรือเธอกลับใจเลิกเจ้าชู้ , เขาหรือเธอออกไปจากชีวิตเอง , หรือมีคนอื่นเอาไปเป็นคู่ เช่นเขามีเมียน้อย เราก็ปล่อยเขาไป คนที่คิดนอกใจเจ้าชู้ไปมีคนอื่นนั้นมันก็บาปก็ชั่วพอที่เราจะปล่อยให้เขาไปตามทางของเขาแล้ว แต่ส่วนมากก็มักจะยึดคนบาปไว้กับตัวเพราะเสียดาย จะไปเสียดายคนชั่วทำไม เขานอกใจแล้วแสดงว่าเขายินดีที่จะไปเสพสิ่งอื่น ไม่อดทน ไม่มั่นคง เราก็ไม่ควรไปยึดเขาไว้ เราก็ต้องปล่อยเขาไปตามที่กิเลสและกรรมของเขาจะนำพา ให้โอกาสตัวเองได้พบกับชีวิตที่ดี จะดีกว่าให้โอกาสเขากลับมาทำทุกข์ให้ตัวเรา มันบาปทั้งคู่

คนเจ้าชู้จะหยุดที่ใครได้จริงไหม

ด้วยความเจ้าชู้นั้นมักสร้างเสน่ห์จนน่าหลงใหลอยู่เสมอ คนจำนวนมากจึงหลงไปกับคนเจ้าชู้ โดยคิดหวังลึกๆว่าเขาหรือเธอจะหยุดลงได้ที่เรา

ในความเป็นจริงแล้วความเจ้าชู้เกิดจากกิเลส การได้สนองกิเลสนั้นไม่ได้ทำให้กิเลสตาย นั่นหมายถึงว่า ถึงแม้เราจะให้เขาเสพเรา แม้ว่าเราสวย เราหล่อ เรารวย เราดีแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้กิเลสของเขาลดลงเลย เขาก็อาจจะเสพเราจนกว่าเขาจะเบื่อ สุดท้ายคนเจ้าชู้ที่เต็มไปด้วยกิเลสก็จะหาช่องทางออกไปเสพสิ่งอื่นอยู่ดี

หรือที่เห็นว่าหยุดมันก็แค่หยุดได้แค่ช่วงหนึ่ง สงบไปได้ช่วงหนึ่ง อาจจะเป็นปี สิบปี ยี่สิบปี แต่ถ้าสุดท้ายกิเลสไม่ตาย ความเจ้าชู้มันก็จะออกมาอาละวาดฟาดคนอื่นไปทั่วอยู่ดี การหยุดนั้นเป็นการหยุดเพื่อเสพ หยุดเพื่อให้คนคนหนึ่งตายใจเพื่อจะได้เสพ คนเจ้าชู้ก็คิดจะหยุดความเจ้าชู้เช่นนั้นจริงๆนะ เขาหรือเธออาจจะไม่ได้โกหกเลย ยินดีจะหยุดด้วยความเต็มใจ แต่พอถึงวันหนึ่งมันเสพจนเบื่อกิเลสมันก็จะกระตุ้นให้ผีร้ายออกไปอาหารไปเลี้ยงกิเลสอยู่ดีนั่นเอง

ผลกรรมของคนเจ้าชู้

ผลกรรมที่เห็นได้เด่นชัดของคนที่เจ้าชู้คือ ได้รับความเจ็บปวดจากความเจ้าชู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ได้เจอกับคนเจ้าชู้และแม้จะรู้ว่าสุดท้ายต้องเจ็บ แต่ก็จะหลงเชื่อมั่นจนหมดตัวหมดใจ ยอมพลีกายพลีใจให้เขาไปหมด หน้ามืดตามัว แม้ใครจะเตือนก็ไม่ฟัง แม้มีหลักฐานก็ไม่เชื่อ สุดท้ายก็ต้องโดนเขาทอดทิ้ง ปล่อยปละละเลย กลายเป็นอดีตของคนเจ้าชู้คนนั้น ดังที่หลายคนเจออยู่ในทุกวันนี้ เพราะกรรมที่เราทำมานั่นเอง

คนเจ้าชู้นี่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดเพราะเขาหลงว่าความเจ้าชู้นั่นเป็นสิ่งดีที่เขาภูมิใจโดยไม่รู้ว่ามันสร้างบาปเวรภัยให้กับเขาและผู้อื่นมากมายขนาดไหน

การเจ้าชู้เกิดขึ้นเพราะเขาไม่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม คนที่ไม่เจ้าชู้นั้นก็เพราะเขากลัวในเรื่องบาปกรรม ส่วนคนเจ้าชู้นั้นจะไม่เชื่อ ไม่ชัดเจนในเรื่องของกรรม ส่วนใหญ่มักคิดว่าเกิดมาชาติเดียวต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม เป็นความหลงผิดอย่างร้ายแรงของจิตวิญญาณดวงหนึ่ง เมื่อไม่เชื่อในเรื่องกรรม ก็ไม่มีความดีความชั่วที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ สุดท้ายก็จะเหลือแต่การหามาเสพสมใจโดยไม่สนใจกรรมชั่ว

เหมือนกับคนที่อดอยากมานานพอได้มาเจออาหาร ก็มักกินอย่างตะกละตะกลามเหมือนกันกับคนเจ้าชู้ เขาเองไม่เคยได้เสพไม่เคยได้ครอบครอง พอมีโอกาส เกิดมารวย เกิดมาหน้าตาดี ถึงแม้ไม่มีก็พยายามจะทำให้เป็นให้มีเพื่อให้ได้เสพ และพอมีโอกาสเสพก็จะเสพอย่างเต็มที่ มัวเมาในอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา เมากิเลสอยู่แบบนั้นโดยไม่รู้ว่ากรรมและผลของกรรมนั้นมีจริง เป็นเรื่องจริงที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ เป็นสิ่งทำให้เหล่าสัตว์เกิดมาดีเลว ขาวดำ สูงต่ำ รวยจน ฯลฯ แตกต่างกัน

สิ่งที่จะได้รับจากความเจ้าชู้นั้นหนักหนามากมายเหลือประมาณ เพราะผิดศีลข้อ ๓ เต็มๆ ไม่ว่าจะเจ้าชู้ทางกาย วาจา หรือแม้แต่ใจก็ยังผิด นรกนั้นเปิดประตูต้อนรับคนเจ้าชู้เสมอ ทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตอนตาย นรกเกิดทันทีในจิตของคนเจ้าชู้นั้นๆตั้งแต่เริ่มคิดทำชั่ว และเกิดไปจนกว่าจะได้รับผลกรรมชั่วที่ทำไว้หมดสิ้น แม้จะเกิดชาติใหม่เป็นคนดีไม่เจ้าชู้ แต่ก็ยังต้องมารับกรรมที่ตัวเองเคยเจ้าชู้ไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน

ความเจ้าชู้จะจบลงที่ตรงไหน

คนเจ้าชู้นั้นจะไปจบตรงไหนและจะหยุดได้เมื่อไหร่นั้น หากมองกันเพียงสั้นๆในชีวิตนี้แล้ว คนเจ้าชู้เขาก็เจ้าชู้ไปได้แค่ทุกข์สุดทุกข์นั่นแหละ คือการเจ้าชู้นี่มันต้องไปทำผิดอยู่แล้ว ไม่ว่ากาย วาจา ใจ ซึ่งวันใดวันหนึ่งพอผลกรรมที่ทำไว้สุกงอมร่วงหล่นลงมาเกิดเป็นเหตุการณ์เช่น ทำให้ใครเขาท้องหรือตัวเองท้องเอง ,ไปเจ้าชู้กับแฟนเพื่อน ,ไปเจ้าชู้กับนักเลง,ติดโรคร้ายแรง,เสียทรัพย์หมดตัวเพราะมัวเมา ฯลฯ ก็อาจจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้ ซึ่งเขาก็อาจจะสามารถหยุดความเจ้าชู้ลงในชาตินั้นๆได้

แต่หากได้โงหัวผงาดขึ้นมาใหม่ เช่นร่ำรวย หรือเปลี่ยนถิ่นที่อยู่ ก็อาจจะเป็นโอกาสที่เขาจะได้แสดงความเจ้าชู้อีกครั้ง ทำชั่วสะสมมากเข้าจนกระทั่งตาย

แม้ว่าจะตายก็ยังไม่จบเพราะกิเลสไม่ตาย ความตายในเชิงความเข้าใจของโลกนั้นดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนภพ เปลี่ยนร่างไปสู่อีกร่างหนึ่ง แต่คนที่เจ้าชู้ ยากนักที่จะได้เกิดเป็นคนอีก อาจจะกลายเป็นหมู เป็นหมา เป็นวัว เป็นควาย ให้เขาตอน ให้เขาผสมพันธุ์ ต้องรับกรรมจากการที่ไปเจ้าชู้กับคนอื่นนานแสนนานจนกว่าจะใช้กรรมหมด จนได้เกิดเป็นคนอีกครั้ง

ทีนี้พอเกิดเป็นคนแต่กิเลสยังไม่ตาย กิเลสตัวเจ้าชู้ยังมีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ ก็ทำบาปเวรภัยต่อไปอีกเรื่อยๆ เกิดแล้วตาย วนเกิดเป็นสัตว์เป็นคนเจ้าชู้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ต้องทรมานและตายเพราะความเจ้าชู้นั้นไม่รู้กี่ครั้ง จนกระทั่งชาติใดชาติหนึ่งก็เริ่มที่จะเข็ดขยาดกับความเจ้าชู้ เริ่มหันมาเป็นคนดีบ้าง แต่ก็ต้องพบกับกรรมที่ตัวเองเคยเจ้าชู้มาก่อนเข้ามาอัดซ้ำแล้วซ้ำอีก

แล้วก็วนเวียนกลับไปเป็นคนเจ้าชู้อีกเพราะกิเลสยังไม่ตาย วนกลับไปกลับมาระหว่างคนเจ้าชู้กับไม่เจ้าชู้นี่แหละ สุดท้ายก็ติดดีเกลียดเจ้าชู้วนเวียนไปนานแสนนานจนกว่าจะพบกับครูบาอาจารย์ที่สอนวิธีดับกิเลส พอได้รู้วิธีดับกิเลสแต่ก็ขี้เกียจ หวงกิเลส ไม่เชื่ออีก ก็ต้องเกิดตายเกิดตายอยู่หลายชาติจนพบว่าไม่มีทางใดพ้นทุกข์นอกจากการดับกิเลส เมื่อรู้ดังนั้นก็ต้องเพียรดับกิเลสกันอยู่หลายภพหลายชาติ ตายแล้วก็เกิดมาสู้กิเลสใหม่ กิเลสก็ยังไม่ตายสักที

จนในที่สุดวันที่เพ่งเพียรพยายามอย่างเต็มที่ได้มาถึง เมื่อได้ปฏิบัติสัมมาอริยมรรคซึ่งเป็นทางเดินสู่การพ้นทุกข์คือการดับกิเลสในจิตวิญญาณให้สิ้นเกลี้ยงก็จะได้รับผลเป็นปัญญารู้แจ้งในกิเลสเรื่องเจ้าชู้นั้นๆ รู้ทุกเหลี่ยมทุกมุม ทุกข์โทษภัย ผลเสีย รู้กรรมและผลของกรรม รู้ว่าการฆ่ากิเลสนี้ยากเพียงไร พอมีความรู้มีธรรมอันนี้จริงในวิญญาณแล้วก็ถือว่าเป็นสุดท้าย เป็นตอนจบของความเจ้าชู้แล้ว หลังจากนั้นคือเอาความรู้ที่ได้จากการปราบความเจ้าชู้ไปสอนคนอื่นเพื่อพัฒนาปัญญา เพิ่มกุศลที่ต้องใช้เพื่ออาศัยในชาติภพต่อๆไป เพื่อเป็นพลังในการทำลายกิเลสตัวอื่นที่ยังเหลืออยู่ต่อไป

คนเจ้าชู้ที่เก่ง จะทำให้คนอื่นเชื่อว่าตนไม่เจ้าชู้

คนเจ้าชู้ที่เก่งกว่า จะทำให้คนอื่นยินดียอมรับ แม้จะรู้ว่าตนนั้นเจ้าชู้

แต่ยิ่งเก่งในเรื่องเจ้าชู้เท่าไร ก็ยิ่งสร้าง บาป เวร ภัย มากเท่านั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

21.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

แฟนคนไหนดี

November 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,269 views 0

แฟนคนไหนดี

แฟนคนไหนดี

แฟนในอดีตก็ผ่านไปแล้ว แฟนในอนาคตก็ยังไม่มาสักที แฟนในปัจจุบันก็ดูจะไม่ไหว หรือจริงๆแล้วไม่มีแฟนจะดีกว่า?

เรื่องของการมีคู่เป็นหนึ่งในปัญหาโลกแตกที่วนเวียนกันไม่จบไม่สิ้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหนึ่งคนไปสองคน จากสองเพิ่มใครก็ไม่รู้มาเป็นสาม หรือจากสองลดลงมาเหลือหนึ่งก็มักจะมีความทุกข์ใจเกิดขึ้นกับใครสักคนเสมอ

ก็คงจะดีหากชีวิตของเราสามารถหยุดที่ใครคนใดคนหนึ่งได้จริงๆ ได้มาเสพสมใจแล้วไม่อยากได้เพิ่มอีก สนองกิเลสแล้วกิเลสลดจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงจะดี แต่ความจริงแล้วเมื่อคนอยากได้อยากมีมาก พอได้เสพสมใจก็จะยิ่งอยากได้เสพสิ่งที่คิดว่าดีว่าเลิศขึ้นไปอีก จึงนำมาสู่การมีบุคคลที่สามเข้ามาในชีวิตและนำมาสู่การเลิกรา

ในบทความนี้ก็จะพูดถึงแฟนที่อยู่คนละช่วงเวลา คือแฟนในอดีต แฟนในอนาคต และแฟนในปัจจุบัน โดยจะขยายเป็นข้อๆให้ได้พิจารณากันว่า…แฟนคนไหนดี

….แฟนในอดีต

คือคนที่ได้พรากจากไปแล้ว หรือคนที่กำลังจะจากไป คำว่าอดีตนั้นคือสภาพที่ความรัก ความสมใจ ความชอบใจเดิมๆนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว จางคลายไปแล้ว ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการเลิกรากันหรือการอยู่ร่วมกันในสภาพที่รักเดิมนั้นได้ตายจากไป

คนที่ถูกพรากออกจากแฟนเก่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากเจ้าตัวไม่เต็มใจที่จะเสียไป ก็ต้องทุกข์ ทรมาน คร่ำครวญ โศกเศร้า เรียกร้องหวังจะให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนดังเดิม โดยไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่ากรรมได้พรากสิ่งที่เขาหรือเธอรักและหวงแหนไปแล้ว เมื่อไม่ทำความเข้าใจก็จะวนอยู่กับทุกข์ อยู่กับฝันในวันวาน อยู่กับอดีตที่คอยหลอกหลอน อยู่กับความรักที่ไม่มีวันกลับมา วนเวียนอยู่เช่นนั้น

ส่วนคนที่ความรักได้พรากจากไป แม้ว่าตัวคู่ครองจะยังคงอยู่ ยังใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ แต่ความรักที่เคยได้เสพสมใจกลับไม่มีเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับเสื่อม จางคลาย และหายไปคนที่ไม่เข้าใจถึงธรรมชาติว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถมีอะไรคงอยู่ได้แม้แต่ความรักที่เขาเคยให้สัญญาว่าเป็นนิรันดร์และมั่นคงเพียงใด เมื่อไม่เข้าใจก็จะทุกข์ อึดอัดขัดข้องใจกับสิ่งที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เสพความรักความอบอุ่นใจดังที่เคยได้รับจึงเกิดเป็นสภาพอยู่ไปทั้งรักทั้งทุกข์ใจ

แม้ว่าเราจะหวังจะพยายามทำให้แฟนในอดีตกลับมาเป็นเหมือนเดิมดังใจเรา หรือถึงแม้จะพยายามจนทำให้กลับมาคู่กันได้ แต่มันจะไม่เหมือนเดิม สภาพเดิมที่เคยสุขสมใจจะไม่เป็นเหมือนเดิมจะเกิดก็เพียงแค่สุขจากการได้เสพอาการกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่นานมันก็จะค่อยๆจาง ค่อยๆจาก ค่อยๆพรากไปเหมือนเดิม

การมัวแต่คิดถึงแฟนเก่านั้นเหมือนกับคนเสียดายของ เสียดายสิ่งที่เคยมี เป็นคนยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยมี จมอยู่กับอดีต เสพสุขอยู่กับการเฝ้าฝันถึงวันดีๆในอดีต ไม่อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ต้องทนทุกข์กับสิ่งลวงที่ใจตัวเองสร้างขึ้น เพราะอดีตได้ผ่านไปแล้ว ความรักนั้นได้จบไปแล้ว ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่จมอยู่กับอดีตไม่มีวันที่จะพบกับความสุขแท้ ดังนั้นแฟนในอดีต ไม่มีทางเป็นตัวเลือกที่ดีได้เลย สิ่งใดที่เสียไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันจากไปตามทางของมัน ไม่ต้องไปยื้อไปรั้งจนทุกข์ เพราะถึงที่สุดแล้วหากสิ่งนั้นจะเป็นของจริง มันจะกลับมาเป็นปัจจุบันของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องพยายามจนต้องทนทุกข์ ลำบากลำบนใดๆให้มากมาย

….แฟนในอนาคต

คือคนที่ยังไม่มาถึง เป็นคนที่เฝ้าฝัน เฝ้าพยายาม ไม่ว่าจะพยายามมองหาหรือพยายามไขว่คว้ามาครอบครอง เป็นแฟนที่ไม่มีจริง ไม่อยู่ในสภาพแฟนมีอยู่แค่ในความฝัน

คนที่ยังไม่มาถึงนั้น หลายคนคงจะหวังว่าเนื้อคู่ของฉันอยู่ไหน เนื้อคู่ของฉันคือใคร จะเจอได้อย่างไร เฝ้าฝันถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงในโลก อยู่แค่ในจินตนาการ เสพสุขไปกับการปล่อยใจล่องลอยไปในอนาคตที่ไร้ขอบเขต พร้อมๆกับความทุกข์ในจิตใจจากความโหยหา อยากได้ อยากมี อยากครอบครอง อิจฉาคนอื่น ฯลฯ

ส่วนคนที่กำลังพยายามไขว่คว้ามาครอบครองนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เช่น การปรนเปรอด้วยคำหวาน คำสัญญา ด้วยทรัพย์ ด้วยความมั่นคงในชีวิต ด้วยชื่อเสียง ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ด้วยความสุขลวงๆตามแต่จะสรรหามาปรุงแต่งให้คนในอนาคตนั้นกลายมาเป็นคนในปัจจุบันของเราให้ได้ พยายามทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “แฟน” ในปัจจุบันให้ได้

ถ้าโชคร้ายก็จะไม่ได้เสพสมใจในสิ่งใดตามที่ใจหวัง ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่อนาคตที่วาดฝันไว้ก็กลับเป็นสิ่งที่ห่างไกล ยิ่งพยายามเข้าใกล้ก็ยิ่งไกลออกไป เหมือนกับว่าแฟนในอนาคตเป็นภาพลวงตาที่ไม่มีจริง จึงเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ไม่มีค่า ไม่มีราคา มีแต่ขาดทุน

แต่ถ้าโชคร้ายกว่าก็จะได้คนในอนาคตมาเป็นปัจจุบันได้จริงๆ แต่คนที่เราต้องพยายามไขว่คว้ามาด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญและสุขลวงๆนั้นดีจริงแล้วหรือ? เรากำลังเอาอะไรไปแลกกับอะไรมา? เอากิเลสเราไปล่อกิเลสเขาแล้วจะได้สิ่งที่ดีมาจริงหรือ?

สำหรับสิ่งที่เรียกว่าเนื้อคู่ หรือเจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามาให้ลำบาก ไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหา ถึงเวลาที่เหมาะที่ควรแล้วเขาก็จะมาเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็ตัวใครตัวมัน หนีให้ทันก็แล้วกันเพราะว่าไล่ก็ไม่ไป สะบัดก็ไม่หลุด แถมตัวเรายังจะไปหลงกับเขาอีก แม้คนอื่นจะว่าไม่ดีเพียงไรเราก็ยังจะหลงงมงายใครเตือนก็จะไม่ฟังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ดังคำว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” นั่นแหละนะ

การเฝ้าฝันในอนาคตนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้เราพบกับความสุขแท้ได้ เพราะถึงแม้จะฝันไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่นมาพบกับความจริงอยู่ดี ความจริงที่ว่าวันนี้ยังไม่มีใคร วันนี้เรายังโดดเดี่ยว ซึ่งก็จะทำให้ทุกข์จากความเหงาที่ตัวเองสร้างขึ้นมานั่นเอง

….แฟนในปัจจุบัน

มาถึงตรงนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือแฟนในปัจจุบันนั่นแหละ เพราะเป็นคนที่เราสามารถทำสิ่งดีให้เกิดดี หรือทำสิ่งร้ายให้เกิดร้ายจนเห็นผลทันตาได้

แม้ว่าบางครั้งในบางคน อาจจะไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นเพราะจมอยู่กับอดีตว่าทุกสิ่งจะต้องดีเหมือนดังเช่นวันเก่า หรือคิดฝันไปในอนาคตว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทำให้ไม่อยู่กับปัจจุบัน พอคนที่อยู่กับปัจจุบันแต่ไม่ทำใจให้ยอมรับว่าปัจจุบันนี่แหละคือสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นจริง เป็นของจริง ก็จะต้องอกหักอกพังกับความทรงจำในอดีตและความคาดหวังในอนาคตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องคู่ครองก็คงไม่มีคำถามในเรื่องที่ว่า แฟนคนไหนดี แต่โดยมากและทั้งหมด เมื่อมีคนมากกว่าหนึ่งคนยังไงก็ต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกิดขึ้น ความเห็นต่างนั่นไม่ใช่ประเด็นหลักในการทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้คนทะเลาะกัน

ความสัมพันธ์ของแฟนคนปัจจุบันคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเรา ถ้าเราเป็นคนดีพากันทำดี ไม่ส่งเสริมกิเลส ไม่ส่งเสริมการเสพการติดการยึด ความสัมพันธ์ก็จะเป็นไปในลักษณะที่ผ่อนคลาย เบาสบาย

แต่ถ้าความสัมพันธ์ใดเป็นไปอย่างหม่นหมอง ตรอมตรม อึดอัด กดดัน คาดหวัง บีบคั้น นั้นก็มาจากเราเองที่พากันทำสิ่งไม่ดี พากันส่งเสริมกิเลส พอคนกิเลสหนาสองคนมาอยู่ด้วยกันก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งเอาแต่ใจ ก็จะยิ่งทุกข์

ปัจจุบันเป็นตัวบอกได้ว่าความจริงในขณะนี้ ตัวเราดีแค่ไหน ดีพอหรือยัง มีอะไรที่บกพร่องหรือควรแก้ไขอีกบ้างไหม ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหน แต่คนที่ใช่ก็จะกลายมาเป็นปัจจุบันของเราอยู่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด สิ่งที่เป็นอดีตก็ปล่อยให้เลยผ่านไป ส่วนสิ่งที่ยังไม่มาถึงในอนาคตก็อย่าไปคิดเพ้อฝันไปไกล ปัจจุบันนี้เองคือโอกาสที่จะสร้างอดีตที่และอนาคตที่ดีในเวลาเดียวกัน

….ปัจจุบันแฟนไม่มี

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพบว่าตัวเองยังไม่มีแฟน นั่นคือเราโชคดีที่สุดในโลกแล้ว !!

อ่านแล้วคงจะงงกันไม่น้อย เพราะในสังคมทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าการมีแฟน การมีคู่ การได้แต่งงานคือความสมบูรณ์แบบในชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วความสุขที่แท้จริงในชีวิตนั้นเกิดจากการไม่มีคู่ ไม่ต้องมีแฟน ไม่ต้องดูแลใคร ไม่ต้องมาคอยเอาใจ คอยดูแล คอยทะเลาะ คอยระแวงระวัง หรือคอย…อะไรต่อมิอะไรกันอีกมากมาย

ในขณะที่หลายคนพากันหาความสุขในชีวิตที่เรียกกันว่าแฟน กลับมีคนไม่น้อยที่อยู่ในสภาพคนในอยากออก แต่ก็มีคนนอกที่อยากเข้ามาเรื่อยๆ นรกคนคู่นี้ไม่เคยว่างจากคนทุกข์ ยังมีคนอีกมากที่แสวงหาสุขจากการมีคู่ครองโดยไม่รู้ว่ามันคือสุขลวง มันคือสิ่งลวง มันคือรักลวงๆ

เพราะความรักที่แท้จริงนั้น จะไม่คาดหวังที่จะได้รับสิ่งใดจากคนที่เรารักเลย เรายินดีที่จะให้ได้มากเท่าที่จะเกิดกุศล แต่จะไม่รู้สึกว่าต้องการรับสิ่งใดแม้แต่การได้รับรักกลับมา การได้รับการยอมรับ การได้รับคำขอบคุณ การได้รับคุณค่า การได้รับโอกาสในการอยู่ร่วมกัน ความรักที่แท้ไม่ต้องการอะไร เมื่อไม่ต้องการอะไรก็ไม่ต้องครอบครองอะไร ไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องทำร้ายกันด้วยวิบากกรรมอันจะส่งผลซึ่งกันและกัน

หลายคนอาจจะมองในแง่ดีว่า ก็มีคู่แล้วพาเจริญไปด้วยกันไม่ได้หรือไง? ถ้าคิดแบบคนมีกิเลสมันก็พอจะได้อยู่ แต่มันก็ทุกข์อยู่ เพราะต้องมาแบกกิเลสของทั้งคู่ครองและตัวเอง ดีไม่ดีจะต้องแบกของคู่มากกว่าตัวเองเสียอีก ในบางครั้งเราอาจจะเจริญทางธรรมแต่คู่ครองไม่เจริญตามด้วยก็เหมือนเทวดากับมารอยู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ มันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงามเพียงแค่เราเห็นว่าคนที่เราคิดว่าดีได้ครองคู่กัน มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของละครกรรมบทใหม่เท่านั้นเอง และมันจะต้องเล่นละครครอบครัวเรื่องนี้ไปจนกว่าจะหน่ายคลายจากกิเลสนี้ เล่นไปทุกชาติ ทุกภพ ตลอดกาล ทุกข์ปนสุข และทุกข์สุดทุกข์อยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้นจนกระทั่งวันหนึ่งทุกข์เกินทนจากการมีคู่ ก็จะเลิกอยากมีคู่เองอยู่ดีนั่นล่ะนะ

คนที่ยินดีครอบครองความโสดด้วยใจที่เป็นสุขนั้น คือคนที่มองเห็นโทษภัยของการมีแฟน หรือการมีคู่ครอง สามีภรรยา ว่าเป็นตัวทุกข์อย่างแน่แท้ จึงจะสามารถถอนตัวออกจากนรกที่ชื่อว่า “ครอบครัว” ได้อย่างถาวร

ดังนั้นหากเรายังเป็นโสดอยู่ ยังคงเป็นคนที่ไม่มีแฟน ไม่มีเครื่องผูกมัด ก็อย่าไปวิ่งหาให้มันลำบากเลย เพราะถึงเวลาเดี๋ยวก็จะมาเอง เรื่องคนคู่นั้นไม่ขึ้นกับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับวิบากกรรม กรรมจะเป็นตัวชักนำให้เราเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝัน อาจจะเป็นสิ่งดีก็ได้ สิ่งร้ายก็ได้ แต่สุดท้ายทั้งหมดที่เราเจอนั่นแหละคือสิ่งที่เหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว

ส่วนคนที่ยังยินดีที่จะยอมรับทุกข์ เพื่อเสพสุขลวงๆ ก็ขอให้พิจารณาเลือกให้ดี เลือกคนที่มีศีลมีธรรมอย่างน้อยๆก็ศีล ๕ สามารถลดกิเลส ทำลายกิเลสเป็น ก็ยังพออยู่ในขีดที่เรียกได้ว่าเป็นทุกข์น้อยกว่าชาวบ้าน แต่ก็ยังถือว่าทุกข์มากอยู่ดีนั่นเอง

….ทำไมเราถึงอยากมีแฟน

จริงๆแล้วการที่เราอยากจะมีใครสักคนนั้น…ถ้าไม่นับเรื่องหยาบๆ แบบเรื่องกามเมถุน สมสู่คนคู่ เหตุจากการอยากมีใครสักคนนั้นเกิดจากความเหงา

ความเหงาทำให้เราอยากหาใครสักคนมาอยู่ข้างๆ มาใช้เวลาร่วมกัน คอยเป็นเพื่อน คอยเป็นที่ปรึกษา จริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการแฟนหรอก เราเพียงต้องการใครสักคนที่เราคิดว่าจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเราได้ตลอดไปเท่านั้นเอง

เมื่อเราไม่พึ่งตัวเอง แต่เอาคนอื่นเป็นที่พึ่งเราก็จะเหงา และหาใครสักคนมาเติมเต็มความเหงานั้น รากของความเหงาหรือเหตุของความเหงานั้นเกิดจากการที่เราต้องการมีตัวตน จริงๆแล้วเราต้องการให้ใครสักคนได้รับรู้ว่ามีเราอยู่ในโลกนี้ ต้องการให้ใครสักคนยอมรับในสิ่งที่เราทำ เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น รู้ใจเรา เป็นตัวตนของตน…..ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นการมีแฟน มีคู่ครองเพื่อดับความเหงาจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย มันจะสามารถบรรเทาได้ชั่วครู่เท่านั้น แต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครที่ไม่จากพรากสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ว่าเขาจะยังอยู่ แต่ความเป็นเขาอาจจะไม่ได้อยู่เหมือนกับในวันที่เราได้หมายมั่นให้สัญญากันไว้ก็ได้

เมื่อเราเห็นดังนี้ว่าเหตุแห่งความเหงานี้เอง คือตัวผลักดันให้เราหาใครสักคนมาทำให้ชีวิตของเราวุ่นวายโดยที่เราเรียกมันว่าความสุขหรือความธรรมดาในชีวิตคู่ ทั้งที่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตเลย เมื่อเห็นต้นเหตุของปัญหาดังนั้นก็ให้พิจารณาลงไปถึงทุกข์ โทษ ภัยของสิ่งที่เรายังหลงติดยังหลงยึดอยู่ เปลี่ยนหลักยึดจากยึดอัตตา ตัวตน ตัวกูของกู เป็นยึดอาศัยพระรัตนตรัยไปก่อน ยึดสามสิ่งนี้เป็นสรณะไปก่อน วันใดที่สามารถพ้นจากความเหงา ความอยากมีตัวตน ก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวได้ในแนวทางของการ “โสดอย่างเป็นสุข

….อย่ากลัวการที่จะแก่ไปคนเดียว

คนโสดมักจะกลัวการที่จะต้องแก่ไปอย่างเดียวดาย ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่คนที่มีคู่ก็สามารถแก่ไปอย่างเดียวดายได้ แม้จะมีคู่ เขาก็ไม่อยู่เป็นเพื่อนเรา แม้จะมีลูกหลาน เขาก็ไม่อยู่ดูแลเรา แม้จะมีเพื่อนมากมาย เขาก็ไม่มาอยู่ร่วมกับเราเราจึงได้เห็นว่าแม้จะมีก็เหมือนไม่มี ถึงมีอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหงา ไม่เดียวดาย ไม่ได้หมายความว่าการมีคู่ครอง การมีครอบครัว การมีลูกหลาน การมีคนรู้จักมากจะเป็นหลักประกันว่าเราจะไม่เดียวดายในตอนแก่

หลักประกันเดียวที่จะทำให้เราไม่แก่ไปคนเดียว ไม่อยู่อย่างเดียวดายนั่นก็คือ “ความมีน้ำใจ” มีจิตอาสา ช่วยเกื้อกูลดูแลคนในครอบครัว ในชุมชน ในสังคม เมื่อเราดูแลคนอื่น คนอื่นก็จะดูแลเรา การที่เราหวังหาใครสักคนมาดูแลเราโดยใช้คำว่าคู่ คำว่าลูก คำว่าเพื่อน หรือแม้แต่ลูกจ้างก็ตาม จะเป็นความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงเลยหากเราไม่ลงมือดูแลเขาก่อน

คนโสดก็เช่นกัน หากไม่มีคู่ครอง ไม่มีลูก ก็สามารถดูแลลูกพี่ลูกน้อง ดูแลญาติ ดูแลชุมชน ดูแลสังคมได้ เมื่อเราทำตัวให้เป็นประโยชน์ ทำตัวเป็นผู้ให้และให้อย่างไม่คิดจะรับอะไร เมื่อนั้นแหละเราจะกลายเป็นผู้รับ รับกรรมดีที่เราทำมา กินใช้และอาศัยกรรมของเราเลี้ยงตัวเราเองไปจนจบชีวิตได้แบบอย่างมีคุณค่าได้เลย

ความเหงาก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดความกลัวในเรื่องนี้เช่นกัน กลัวจะเหงาคนเดียวตอนแก่ …จริงๆมันก็เหงาตั้งแต่ตอนนี้นี่แหละ ถ้าทำลายความเหงาตั้งแต่ตอนนี้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวไปเหงาตอนแก่แล้ว

– – – – – – – – – – – – – – –

17.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์