Tag: คู่ครอง

เลือกสักคน ฉันหรือเขา…เราหรือเธอ

August 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,445 views 0

เลือกสักคน ฉันหรือเขา…เราหรือเธอ

ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนเมื่อเรากำลังรับบทบาทของผู้ที่กำลังจะถูกตัดสินชะตากรรมว่าจะอยู่หรือไป เราควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น

เมื่อเรามีคู่ครองที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนรู้ใจ แฟน หรือคู่แต่งงาน ซึ่งรับรู้กันโดยทั่วไปในสังคมว่าคบหากัน แต่แล้ววันหนึ่งกลับมีผู้ท้าชิงตำแหน่งเข้ามา ซึ่งในเวทีนี้ไม่มีตำแหน่งตัวสำรอง ไม่มีที่ยืนสำหรับผู้เป็นที่สอง มีแต่คนที่อยู่หรือคนที่ไป ในสถานการณ์เช่นนี้เราควรจะตัดสินใจเช่นไร?

ถ้าเรายังอยู่ในระดับคบหาดูใจ แล้วมีคนอื่นเข้ามาก็คงไม่ต้องสนใจอะไรมาก ในขั้นตอนนี้ก็พิสูจน์ใจกันไปว่าจะมั่นคงได้แค่ไหน ถ้าไม่มั่นคงก็ปล่อยไป ไม่ต้องไปเอาชนะหรือเสี่ยงลองใจใครให้เสียเวลา เพราะถ้าเขาคิดว่าจะมั่นคงกับเราจริงๆแล้วล่ะก็ เขาก็จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าจนหลงทางอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาหลงทางห่างหาย ก็ไม่จำเป็นต้องไปตามเขา ไม่จำเป็นต้องพยายามเอาชนะ บังคับ บีบคั้น ยั่วยวนหรือเอาไปอะไรไปแลกเพื่อให้เขากลับมาเลย

ถ้าเรากับคู่มีความสัมพันธ์กันมาก แล้วคนที่เข้ามาใหม่มีความสัมพันธ์ที่เกือบจะใกล้เคียงกัน เช่นในคู่รักที่อยู่ในลักษณะของแฟนหรือสามีภรรยา แล้วมีใครอีกคนโผล่เข้ามาในชีวิต ในระดับความสัมพันธ์ที่คู่ของเราต้องเลือก ระหว่างเราหรือคนใหม่ที่เข้ามา ถ้าในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเลือกที่รอคอยการตัดสินชะตากรรม แต่ควรเป็นคนที่ตัดสินใจ

เพราะถ้าเขามั่นคงจริงก็จะไม่มีสถานการณ์เช่นนี้ คู่ที่ดีย่อมมีความยับยั้งชั่งใจ มีความละอายต่อบาป มีความเกรงกลัวต่อบาป โดยทั่วไปแล้วคนในยุคนี้ยังมีความรู้ศีลธรรมพื้นฐานในเรื่องการครองคู่ว่าอะไรดีหรือชั่ว แต่จะทำดีหรือชั่วนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นการมีคนใหม่หรือมือที่สามเข้ามานั้นเป็นสัญญาณของการผิดศีล

ในศีลข้อ ๓ นั้นในระดับหยาบๆว่าด้วยการไม่นอกใจคู่ของตน การนอกใจนั้นมีตั้งแต่ระดับกายกรรม คือไปข้องแวะ แตะตัวสมสู่กัน วจีกรรม คือการหยอกเย้า ป้อนคำหวาน แซวกัน จีบกัน มโนกรรม คือมีจิตคิดอยากจะได้คนที่ไม่ใช่คู่มาเสพ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เมื่อจิตเกิดนอกใจ เกิดความอยากได้อยากเสพในคนที่ไม่ใช่คู่ของตนแล้ว การหยอกล้อ การจีบ จนเกินเลยไปถึงการนอกกายไปสมสู่กับคนที่ไม่ใช่คู่ ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้

คนที่ผิดศีลข้อ ๓ ในระดับนี้ถือว่าหยาบมาก เพราะมีการเบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจผู้อื่นอย่างรุนแรง เพราะไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาคำสัญญาที่ตัวเองให้ไว้ ทำให้ผิดศีลข้ออื่นๆไปด้วย เหตุเพราะมีความใคร่อยากเสพจนตามืดบอด รักชั่วเกลียดดี เอากิเลสไม่เอาธรรมะ ยอมทำลายศีลธรรมขอเพียงแค่ได้เสพสุข และที่สำคัญที่สุดคือทำร้ายจิตใจคนที่ตนเองนั้นเคยบอกว่ารักที่สุด เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมที่หนักหนาคนที่ผิดศีลในระดับเช่นนี้ ถึงจะถูกเรียกว่าชั่วก็ไม่แปลกอะไร

ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องไปเป็นตัวเลือกใดๆเลย เพราะเขาได้เลือกไปแล้ว เขาเลือกที่จะเสพคนใหม่ดีกว่าเสพคนเก่า หรือในขั้นโลภมากก็รั้งไว้เพื่อเสพทั้งสองคน แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร จะปล่อยคนชั่วให้ออกไปจากชีวิต หรือจะเก็บคนชั่วไว้ก็เป็นสิทธิ์ที่เราเลือกจะรับไว้ได้ทั้งสองทาง

มงคล ๓๘ คือสิ่งที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ เป็นความเจริญในชีวิต ข้อแรกที่ควรทำก็คือการห่างไกลคนพาล คนชั่วคนผิดศีลนี่เอาให้ห่างจากชีวิตก่อนเลย จึงจะเป็นมงคลในชีวิต คนที่ยินดีรับคนผิดศีล คนผิดสัจจะไว้ในชีวิต การจะหวังความสุขความเจริญที่แท้จริงนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่หวังได้

แล้วเรายังจะรออะไรอีก รอให้คนผิดศีล รอให้คนที่ผิดสัจจะตัดสินชะตากรรมของเราอย่างนั้นหรือ หากเขาเป็นผู้ผิดศีลแล้วเขาจะมีความเที่ยงธรรมได้อย่างไร การตัดสินใจใดๆของเขาย่อมจะเป็นไปตามระดับศีลธรรมที่เขามีนั่นเอง นั่นหมายถึงเรากำลังให้คนชั่วมาตัดสินความสุขความทุกข์และความเป็นไปในชีวิต มันดีแล้วอย่างนั้นหรือ มันถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ มันสมควรแล้วอย่างนั้นหรือ…

– – – – – – – – – – – – – – –

26.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

คู่รักไม่ยั่งยืน เป็นเพื่อนสิยาวนาน

July 27, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,442 views 0

คู่รักไม่ยั่งยืน เป็นเพื่อนสิยาวนาน

คู่รักไม่ยั่งยืน เป็นเพื่อนสิยาวนาน

….

แม้ว่าเราจะรู้ความจริงดังนี้กันแล้ว

แต่เราก็มักจะแสวงหาสิ่งที่ไม่ยั่งยืน

เมื่อเจอกับคนที่ถูกอกถูกใจเมื่อไหร่

ก็มักจะจับจ้องเอามาเป็นคู่ครองให้ได้

ไม่สนใจว่าจะยั่งยืนหรือไม่ยั่งยืน

ขอเพียงให้ตนได้เสพสิ่งที่ตนชอบใจก็พอ

….

เรามักจะแบ่งว่าอันนี้คู่รัก อันนี้เพื่อน

จัดสรรปันส่วนให้สองสถานะนี้ไม่มาปนกัน

กันขอบเขตพิเศษไว้สำหรับคู่รักเท่านั้น

ส่วนเพื่อนก็แค่เพียงคบหากันทั่วไป

เลือกเอาสิ่งที่ไม่ยั่งยืนมาเป็นหลัก

แต่กลับปล่อยสิ่งที่ยาวนานเป็นรอง

เพื่อที่จะได้รับความชอบธรรมในการมีคู่

คิดเอาเองว่าเรื่องดีๆในชีวิตทำได้เฉพาะกับคู่

ทั้งที่จริงแล้วความต่างก็คงมีแค่เรื่องสมสู่

กับการสร้างครอบครัวมีลูกมีเต้าเท่านั้น

เมื่ออยากเสพสิ่งเหล่านั้น จึงหาประโยชน์ในการมีคู่

ละทิ้งประโยชน์ของการเป็นเพื่อน หรือลดความสำคัญลง

….

ผู้ที่กำลังออกเดินทางและมีทิศทางสู่การพ้นทุกข์

ความเป็นเพื่อนกับคู่รักจะมีสภาพที่ไม่ต่างกันนัก

เพราะสามารถใช้เพื่อนแทนคู่รักได้ในหลายๆเรื่อง

โดยที่ไม่ต้องไปคิดเรื่องสมสู่ หรือการมีครอบครัว

แต่ถ้าจะให้เลือกก็จะเลือกรับมาเป็นเพื่อน

ซึ่งมีความยั่งยืน ยาวนานกว่าการเป็นคู่รัก

เพราะเพื่อนสามารถ พากันสร้างกุศลกันได้

โดยที่ไม่ต้องมีบาปใดๆมาปะปนให้เสียเวลา

ต่างจากคู่รัก ที่ต้องคอยบำเรอกิเลสกันและกัน

สร้างบาป สร้างอกุศลให้แก่กันและกัน

เป็นตัวขัดขวางการพ้นทุกข์ของกันและกัน

….

เมื่อเห็นจริงดังนั้นเราก็ควรพิจารณาตามความจริง

ให้เข้าถึงคุณประโยชน์ที่แท้จริงของเพื่อน

ให้รู้ถึงโทษภัยของการครองคู่เป็นครอบครัว

ให้ชัดเจนว่าสิ่งใดไม่ยั่งยืน สิ่งใดที่ยาวนานกว่า

ให้ปราศจากอคติ ลำเอียงใดๆในสถานะเหล่านั้น

ให้เว้นขาดจากสิ่งที่เป็นภัย เข้าถึงสิ่งที่มีประโยชน์

เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น ชั่วกาลนาน

– – – – – – – – – – – – – – –

25.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

คู่ครองกับกรรมเก่า

July 4, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,454 views 0

คู่ครองกับกรรมเก่า

เจอคู่ครองไม่ดี อย่ามัวโทษแต่กรรมเก่า

กิเลสตัวต้นเหตุ มันซ่อนอยู่ในกรรมนั้น

………….

เมื่อเราได้รับทุกข์จากคนที่คบหากัน แล้วมีทีท่าว่าจะจับมือใครดมไม่ได้ว่าต้นเหตุมันมาจากใคร สุดท้ายก็โยนความผิดทั้งก้อนไปให้กรรมเก่าของเรานั่นแหละ เพราะเราเคยทำกรรมมาก็เลยต้องมารับผลกรรม

การยอมรับกรรมที่ตนเองทำมานั้นก็เป็นเรื่องดีเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังดีไม่สุดถ้ายังไม่สืบสาวไปถึงต้นเหตุว่าเราทำกรรมอะไรมา เช่นการที่เราต้องมาทุกข์เพราะเรื่องคู่ นั้นก็เพราะเราเอาเขาเข้ามาในชีวิตเอง เราอยากได้อยากเสพเขาเอง ไม่ใช่กรรมเก่าแต่ปางก่อนที่ไหน กรรมในชาตินี้ของเราเองที่ตามใจกิเลสจนให้เขาเข้ามามีบทบาทในชีวิตจิตใจ เพราะเราหลงยึดเขาไว้เอง

เราไม่สามารถโทษกรรมเก่าได้เลยหากเราไม่โดนบังคับให้คบ ไม่โดนคลุมถุงชน หรือโดนเอาปืนกรอกปากบังคับให้แต่งงาน แต่เราโดนกิเลสมันหลอกให้หลงไปคบหา ไปแต่งงาน เพราะหวังจะได้เสพสุข

ผู้ร้ายตัวจริงมันคือกิเลสนี่เอง ถ้าเราเอาแต่โทษกรรมและยอมรับกรรมให้มันจบไป แน่นอนว่าผลของกรรมนั้นจะหมดไปในวันใดวันหนึ่ง แต่กิเลสตัวบงการมันไม่ได้หายไปกับผลของกรรมนั้นๆ มันอยู่กับเราตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ยังรอคอยโอกาสล่อลวงเราด้วยสุขหลอกๆ และทำให้เราเป็นทุกข์อยู่เสมอ

ดังนั้นถ้าโยนปัญหาทุกอย่างให้กรรมแล้วรู้ไม่ทันว่ากิเลสอยู่เบื้องหลัง ก็เหมือนกับการจับผู้ร้ายผิดตัว สุดท้ายกิเลสก็ลอยนวล และเราก็ต้องรับผลของกรรมนั้นไปโดยไม่รู้ไม่เห็นเหตุ รู้ได้แต่ผลของกรรมทำให้ทุกข์ รู้ได้แค่ทำไม่ดีกับคนนั้นคนนี้มาเลยต้องมารับกรรม แต่ไม่รู้ว่าเหตุอะไรที่ผลักดันให้ทำสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น นั่นหมายถึงไม่รู้กิเลส ไม่รู้ไปถึงเหตุแห่งทุกข์ สุดท้ายก็ไม่รู้จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร

– – – – – – – – – – – – – – –

2.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำอย่างไรดี ฉันอยากมีคู่

June 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,823 views 0

ทำอย่างไรดี ฉันอยากมีคู่

แม้ว่าจะได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับทุกข์ของการมีคู่มามากมาย ได้รู้ธรรมะที่ว่าการมีคู่นั้นสุขน้อยทุกข์มาก ทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ผูกพันเราอยู่ในวิถีโลกียะ จำที่เขาสอนได้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่สิ่งที่ว่างเปล่าไม่มีแก่นสาระอะไร แต่กระนั้นกิเลสข้างในก็ยังไม่ยอมรับความโสด ยังคงมีเหตุผลมากมายที่จะมาหักล้างความดีงามของความโสด จนความอยากมีคู่นั้นล้นทะลักออกมาเป็นความคิดที่ปักมั่นว่า “ฉันจะต้องมีคู่

แล้วเราจะทำอย่างไรในเมื่อกิเลสนั้นทรงพลังมาก แต่ธรรมะที่มีนั้นอ่อนแอเสียเหลือเกินมองไปทางไหนเห็นคนมีคู่ก็สุขใจ ได้ยินเรื่องราวความรักก็แอบอมยิ้ม อิจฉา อยากได้อยากมีแบบเขาบ้าง

ก่อนที่เราจะพลาดพลั้งเสียทีให้กับกิเลสจนตัดสินใจที่จะต้อนรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต เราก็ควรจะศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการมีคู่ เพราะการมีคู่นั้นมีความเสี่ยงสูง ผู้ที่คิดจะมีคู่ควรตัดสินใจให้ถี่ถ้วนเสียก่อน และทั้งหมดนี้ไม่ใช่การลงทุน

1).เราหลงสุขในอะไร

ความอยากมีคู่นั้นคือผลที่สุกงอมของกิเลส ซึ่งอาจจะเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นว่ามนุษย์ต้องเกิดมาเพื่อสืบพันธุ์ มีครอบครัวจึงจะสมบูรณ์ หรือไม่ก็ในมุมที่อยากเสพสุขทางกามอารมณ์ใดๆสักอย่าง

การหลงว่าการสืบพันธุ์เป็นหน้าที่ คนเราต้องมีครอบครัว การมีคนรักคือเครื่องยืนยันความสมบูรณ์ ฯลฯ ความเห็นทั้งหลายเหล่านี้เป็นความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องโลก(โลกียะ) ซึ่งไม่แปลกอะไรถ้าใครจะเห็นเช่นนี้ แต่ความเห็นที่จะพาออกจากโลก (โลกุตระ) จะไม่เห็นเช่นนี้ เพราะรู้ดีว่าความเห็นเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เลย มีแต่จะทำให้หลงในสุขลวง หลงในความเชื่อ หลงวนเวียนในวิสัยแห่งโลกไปเรื่อยๆ

ในส่วนของความอยากเสพสุขในกามอารมณ์ใดๆ สักอย่าง อยากเสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรืออยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สนองอัตตาใดๆก็ตาม เป็นสาเหตุหลักที่ผูกคนไว้กับการมีคู่ ทำให้คนเหล่านั้นไม่ยอมปิดโอกาสในการมีคู่ของตน เพราะรู้ดีว่าถ้าโสดก็จะไม่ได้เสพ แต่ถ้ามีคู่ก็จะได้เสพอย่างที่ตนเองหวังไว้

โดยเฉพาะเรื่องของการสมสู่ เป็นเรื่องที่ติดกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะยากดีมีจน คนเลวคนดี ก็ล้วนเสพติดสุขจากการสมสู่ด้วยกันทั้งนั้น หากอยากจะลองดูว่าเราติดจริงไหมก็ให้ตั้งตบะเลิกสมสู่ทั้งชีวิตก็จะเห็นอาการของกิเลสที่ดิ้นรนหาเหตุผลให้ได้เสพ ไม่ว่าจะเป็นการสมสู่ตัวเองหรือกับคู่ครองก็ตาม

ทั้งหมดนี้คือความสุขที่เราเข้าใจว่าจะได้เสพต่อเมื่อมีคู่ครอง ดังนั้นเมื่อเราอยากเสพ เราก็ต้องหาคู่ครอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลสวยหรูงดงามแค่ไหน การมีคู่นั้นก็ยังเป็นสภาพที่จมอยู่ในกามภพ คือสภาวะที่ยังเสพสุขจากกามอยู่เป็นนิจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สมสู่กัน ก็ยังเสพสุขในการมีกันและกันอยู่ดี

2). โทษภัยของการมีคู่

แม้ว่าเราจะมองว่าการมีคู่นั้นจะทำให้เราได้เสพสุขจากกิเลสนั้นๆที่เรายึดติด จนทำให้เรามองข้าม ทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงสะสมผลของอกุศลกรรมที่ทำลงไปเรื่อยๆและรอวันให้ผล

ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ยังเป็นประโยคอมตะที่ไม่มีใครลบล้างได้ แม้เราจะหมายมั่นว่าเราสามารถยอมรับและจัดการทุกข์จากการมีคู่ได้ แต่กระนั้นก็ยังต้องวนเวียนทุกข์อยู่เรื่อยไป ไม่สามารถหนีพ้นพลังแห่งความจริงที่ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ได้ ในเมื่อยังมีความอยาก(ตัณหา) เกิดขึ้น ก็ยังมีอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) ภพ(ที่อาศัย) ชาติ(การเกิด) ชรา(ความแก่) มรณะ(ความตาย) โสกะ(ความเศร้าโศก) ปริเทวะ(คร่ำครวญรำพัน) ทุกข์ โทมนัส(เสียใจ) อุปายาส(ความคับแค้นใจ) เกิดขึ้นตามไปด้วย

และแท้จริงแล้วความสุขจากกิเลสนั้นเป็นความสุขลวง เป็นพลังงานที่เราสร้างขึ้นมาหลอกตัวเอง สร้างรสสุขให้ตัวเอง สร้างเองเสพเอง เสียพลังงานไปเปล่าๆ ทำให้ต้องแสวงหาสิ่งอื่นมาบำเรอเพื่อที่จะได้เสพสุขที่ตนหลงยึดมั่นถือมั่นว่าจะได้เสพจากสิ่งนั้น นั่นหมายถึงการมีคู่แท้จริงแล้วไม่มีรสสุขใดๆเลย สุขที่เห็นและเข้าใจว่ามีนั้น เป็นรสสุขที่เกิดจากพลังของกิเลสทั้งสิ้น

ถึงรสสุขจะเป็นสิ่งลวง แต่ทุกข์นั้นกลับเป็นของจริง ทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นทุกข์จริงๆที่ต้องรับทั้งหมด เพราะเป็นผลที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกิเลส เราอาจจะเคยชั่งน้ำหนักว่า ถ้ามีคู่ก็สุขครึ่งหนึ่ง ทุกข์ครึ่งหนึ่ง หรือไม่ก็สุขมากทุกข์น้อย ซึ่งในความเป็นจริงแท้ๆแล้วนั่น สุขไม่มีจริงเลย มีแต่ทุกข์แท้ๆอย่างเดียวเท่านั้น

การมีคู่นั้นสร้างทุกข์ให้มากมาย ทั้งการต้องคอยบำเรอคู่ วิบากกรรมที่ต้องร่วมรับ เช่นเขาไปทำความผิด ทำให้เราและครอบครัวต้องเดือดร้อน เขาต้องเป็นภาระให้เราคอยดูแล เป็นห่วงกังวล เขาล้มป่วยหรือตายก่อนถึงวันที่พร้อม ทำให้เราต้องประสบทุกข์อย่างมาก และยังมีเรื่องราวทุกข์จากการมีคู่ให้ได้เห็นอีกมากมายในสังคม

โทษภัยที่ร้ายที่สุดของการมีคู่คือการดึงรั้งกันไว้ในโลกีย์ ไม่ยอมให้ออกไปง่ายๆ ใช่ว่าคนหนึ่งปฏิบัติธรรมแล้วอีกคนจะยอมให้ทำได้อย่างอิสระ หรือถ้าปฏิบัติธรรมทั้งคู่ก็ใช่ว่าจะสลัดกันออกได้ง่ายๆ เพราะสิ่งที่ผูกกันไว้ใช่ว่าจะตัดกันได้ง่ายๆ สายสัมพันธ์ที่ถูกสอดร้อยด้วยกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นและยากจะแกะออกได้ แม้ว่าเป้าหมายของทั้งคู่คือการบรรลุธรรม แต่การครองคู่นั่นเองคือสิ่งที่ถ่วงและเหนี่ยวรั้งไม่ให้พบกับความเจริญ

3). ประโยชน์ของความโสด

หากเราจะกล่าวถึงประโยชน์ของความโสด ก็เรียกได้ว่ามีประโยชน์กว่าการมีคู่อย่างหาประมาณไม่ได้ แต่คนมักจะไม่ให้ค่าความโสด เพราะหากโสดแล้วก็จะไม่ได้เสพสุขจากการครองคู่ ทั้งที่จริงแล้วความโสดมีคุณประโยชน์มากมาย

ในชีวิตทั่วไป ความโสดทำให้เราคล่องตัวในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องผูกพันกับใครมากจนเป็นภาระ เปิดโอกาสให้เพื่อนได้เข้ามาช่วยเหลือจุนเจือ เป็นสังคมเกื้อกูลมากกว่าต้องพึ่งพากันในสภาพของคู่ครองอย่างที่สังคมมักจะทำกัน โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นประโยชน์ตนที่ทุกคนควรทำเป็นอันดับแรก

ความคล่องตัวในชีวิตหมายถึงความสามารถไขว่คว้าโอกาสในการเจริญได้ง่าย เช่นถ้ามีเพื่อนชวนไปทำสิ่งที่ดี คนโสดแทบจะไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เห็นประโยชน์แล้วปัจจัยพร้อมก็ไปได้ทันที แต่คนคู่นั้นมีปัจจัยที่ผูกพันมากกว่า จึงอาจเสียโอกาสในการเข้าถึงสิ่งที่ดีได้

ความโสดยังลดโอกาสในการสร้างวิบากกรรมชั่ว ที่หากยังครองคู่อยู่คงจะต้องสร้างบาปและอกุศลเช่นนี้เรื่อยไป เช่น สมสู่กันอยู่เป็นนิจ พากันเสพสุขลวงจากของอร่อย สถานที่ท่องเที่ยว การสะสม ฯลฯ ซึ่งเมื่ออยู่เป็นโสด จะไม่มีกำลังของกิเลสมากพอจะผลักดันให้ไปทำชั่ว แต่เมื่ออยู่เป็นคู่ คนมีกิเลสสองคนจะรวมพลังกิเลสกันแล้วร่วมใจกันเสพ จึงมีโอกาสทำชั่วได้ง่าย

ทั้งนี้การมองเห็นความดีความชั่วขึ้นอยู่กับฐานศีล ถ้าศีลต่ำก็มองไม่เห็นชั่ว ถ้าศีลสูงก็จะเห็นชั่ว แต่ถึงแม้เห็นหรือไม่เห็น ชั่วก็ยังเป็นชั่ว กิเลสก็ยังเป็นกิเลส มันก็เป็นพลังงานอกุศลของมันอยู่แบบนั้น

4). พรากออกห่าง

เมื่อศึกษาเหตุจากความหลงสุข โทษ และประโยชน์แล้ว แต่ยังไม่สามารถหักห้ามใจได้ ก็พยายามออกห่างจากสถานการณ์ที่ชวนให้กำหนัด ให้รู้สึกหลงรัก ให้เกิดความอยากมีคู่ สร้างระยะห่างขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองพลาดพลั้งให้กับพลังของกิเลสได้ง่าย

เพราะยิ่งอยู่ใกล้สิ่งที่อยากเสพมากเท่าไหร่ หากเราไม่มีกำลังสติมากพอ ก็อาจจะข่มใจไม่ไหว หลวมตัวหลงรัก ตกลงปลงใจคบหากันก็ได้ ยิ่งถ้าพูดถึงปัญญานี่ไม่ต้องห่วงเลย มันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะถ้ามีปัญญา ต่อให้มีกำลังสติน้อยมันก็ไม่คิดจะไปเอาใครเข้ามาเป็นคู่ครอง เพราะมันรู้แจ้งในโทษชั่วของการมีคู่แล้ว แต่โดยทั่วไปนั้นจะต้องใช้กำลังสติเป็นเครื่องยับยั้งใจ และใช้ศีลเป็นกำแพงขวางกั้น

5). กำแพงศีลธรรม

เราอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าผู้ที่จะคบหาเป็นมิตรกันได้นานนั้น จะต้องมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาเสมอกัน ซึ่งความเสมอนั้นไม่ว่าดีหรือชั่ว ต่ำหรือสูง เพียงแค่เสมอก็ทำให้สามารถเป็นมิตรผูกภพผูกชาติไปด้วยกันได้แล้ว

คนชั่วก็จะมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาระดับคนชั่ว คนดีก็จะมีระดับของคนดีเช่นกัน แล้วเราอยากให้คนชั่วหรือคนดีเข้ามาในชีวิตของเรา ถ้าเราอยากให้คนดีเข้ามาในชีวิตของเรา เราก็จะต้องพัฒนาองค์ประกอบทั้งหมดให้ยกระดับขึ้นไปอีก ถ้าในไตรสิกขาก็จะเริ่มด้วยอธิศีล คือศึกษาศีลให้ยิ่งกว่าเดิม

เช่นเราไม่เคยกินมังสวิรัติเลย แต่ก็ไม่อยากเจอคนไม่ดีเลยถีบตัวเองขึ้นไปกินมังสวิรัติด้วยกำลังของศรัทธาที่เห็นประโยชน์ในการลดเนื้อกินผักและเกิดปัญญาว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งดี มีจาคะพอที่จะสละความสุขลวงในความติดรสของตน

ถ้ารู้สึกว่ายังดีไม่พอ ยังเจริญไม่พอ กินมังสวิรัติแล้วยังเจอคนชั่วอยู่ ก็ให้ขยับอธิศีลขึ้นอีก มาศึกษาการกินมื้อเดียว พอมาฐานนี้จะเริ่มมีคนตามได้ยากแล้ว ใครจะปีนกำแพงศีลธรรมมาต้องแกร่งพอสมควร แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนทำได้ เราก็ก่อกำแพงขึ้นมาอีกเป็นศีล “อพรหมจริยา เวรมณี” คือละเว้นการประพฤติที่ไม่ใช่พรหม ที่เข้าใจได้ง่ายๆคืองดเว้นการสมสู่แตะเนื้อต้องตัวกัน พอมาฐานศีลนี้ก็จะป้องกันตัวเองจากคนกิเลสหนาและกามจัดได้มากขึ้นอีก ถ้าอยากปลอดภัยอีกก็มีศีลระดับสูงอีกมากมายที่จะป้องกันไม่ให้เราต้องเจอกับตัวเวรตัวกรรม

ทั้งนี้การศึกษาศีล หรือศึกษาไตรสิกขานั้นไม่ใช่จะกระทำได้ง่าย ใช่ว่าจะสำเร็จผลได้ง่าย หากเราถือศีลเป็นคราวๆก็จะได้กำแพงศีลเป็นคราวๆ ซึ่งไม่รู้ว่าวิบากกรรมชั่วจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราใช้การศึกษาศีลเพื่อให้เกิดปัญญาจนไปชำระกิเลสได้ ก็เรียกว่าได้กำแพงถาวร เกิดเป็นสภาพศีลที่มีโดยปกติ มีศีลได้โดยไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องพยายาม

6). กิเลสนี้เองคือไส้ศึก

แม้ว่ากำแพงศีลธรรมจะมีอยู่ แต่ก็มักจะมีผู้พลาดพลั้งเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเพราะมีไส้ศึก คือกิเลสซึ่งเป็นศัตรูร้ายที่อยู่ภายในจิตใจเรา ซึ่งจะคอยชักนำสิ่งที่ดีไม่งามเข้าสู่ชีวิตเรา

การที่มีใครสักคนหลุดทะลุเข้ากำแพงศีลธรรมมาได้โดยไม่ได้ผ่านมาตรฐานอะไรเลยนั้น ดังเช่นสภาพที่ว่า ไม่ได้ชอบแบบนี้แต่สุดท้ายก็ไปคบกับเขา ก็มักจะเกิดจากกิเลสซึ่งเป็นไส้ศึกลากศัตรูเข้ามาในช่องลับ หรือไม่ก็ทำลายกำแพงศีลธรรมเข้ามาเองเลย

การลากศัตรูเข้ามาในช่องลับคือการที่กิเลสของเราหาช่องทางเล็ดรอดให้พ้นกำแพงของศีลเพื่อที่จะให้ได้เสพสุขจากคนที่หมายนั้นโดยไม่ต้องผ่านการคัดครองของศีลแต่อย่างใด ทั้งนี้มักจะเกิดจากความอยากเสพในคนนั้นที่มากเกินควบคุมแล้วจึงหาข้ออ้าง หาช่องให้ได้เสพโดยที่ตนไม่ต้องรู้สึกผิดบาป

การทำลายกำแพงศีลก็คือเมื่อเจอกับคนที่ชอบแล้วก็ยอมลดศีลตนเอง เช่นปกติแล้วเป็นคนกินมังสวิรัติ แต่พอเจอกับคนที่ถูกใจแต่เขายังกินเนื้อสัตว์ก็จะเริ่มอนุโลมไปกินเนื้อสัตว์กับเขา ยอมลดศีลยอมเสพเนื้อสัตว์ไปพร้อมๆกับเสพสุขจากเขาเป็นต้น

7). วิบากกรรมเพื่อเรียนรู้

สุดท้ายเมื่อพยายามอย่างที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับพลังของกิเลส ซึ่งมาในรูปรวมของคำว่า”วิบากกรรม” หรือกรรมเก่า ซึ่งหมายรวมไปถึงกิเลสที่สะสมมาจนมีกำลังมากพอที่จะพาให้รู้สึกหลงรักจนคบหาได้เช่นกัน

สรุปได้ว่าเราไม่สามารถโทษกรรมเก่าแต่ปางก่อนได้เสมอไป เพราะมีกิเลสเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย แต่ถ้าคิดว่ากำจัดกิเลสได้จนสิ้นเกลี้ยงหรือไม่มีความอยากเสพใดๆปรากฏให้รู้ได้ทั้งสามภพ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพแล้ว การต้องรับคู่เข้ามาในชีวิตก็คือเรื่องของวิบากกรรมที่จำเป็นต้องรับไว้ด้วยองค์ประกอบทางโลกบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นภาระ แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องแบกไว้เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นบางอย่างเช่นกัน

คนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่ต้องรับใครเข้ามาในชีวิต ถึงเราจะมีคู่ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรที่สังคมให้ความสนใจ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดสิ่งดีงามอะไรขึ้นมา

นั่นหมายความการพ่ายแพ้ต่อแรงของกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการไปมีคู่ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ยากจะห้ามได้ ในเมื่อเขาเหล่านั้นไม่ได้มีกรรมดีที่ทำไว้มากพอที่จะช่วยดึงเขาออกจากนรกคนคู่ ซ้ำยังมีกรรมชั่วที่สั่งสมอุปาทานว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสุขไว้อย่างมากมาย เขาเหล่านั้นจึงต้องไปทดลองมีคู่เพื่อเรียนรู้วิบากกรรมกิเลสที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมานั่นเอง

มีคนจำนวนไม่น้อย มีคู่แล้วประสบทุกข์อย่างมาก ในตอนแรกก็คาดหวังไว้ว่านี้คือคู่ชีวิตที่จะรักและดูแลกันไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งคู่แต่งงานก็มักจะประกาศถ้อยคำที่มีนัยเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่สุดท้ายต้องตะเกียกตะกายออกมาจากนรกคนคู่ แม้จะพยายามปีนป่ายก็จะโดนวิบากกรรมลากกลับไปทุกข์อยู่ไม่จบไม่สิ้น

คนที่หลุดออกมาได้ก็จะมีสภาพบาดเจ็บ ถูกทำร้ายจิตใจ บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกายด้วย ส่วนคนที่ทุกข์แต่ยอมทนเพราะไม่กล้าพอจะแบกรับผลก็อยู่กันทั้งรักทั้งชัง หวานก็ไม่ค่อยมี ขมก็ต้องฝืนกลืน

คนบางพวกที่ยังประสบทุกข์น้อยสุขมากยิ่งน่ากลัว เพราะจะหลงว่าความรักดีๆสามารถสร้างได้ เช่นในกลุ่มคนดีก็มักจะสร้างกุศลกรรมเป็นแรงหนุนให้ได้เสพสุขอยู่ในรักร่วมกันจนแก่เฒ่า เป็นความประมาทที่ร้ายสุดร้าย เพียงเพราะหลงสุขลวงในชาตินี้เท่านั้น เหตุจากไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จึงมองการเสพสุขแบบโลกีย์เช่นนี้เป็นเป้าหมายในชีวิต

สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การรับใครเข้ามาในชีวิตด้วยกิเลสคือการสร้างหนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบไว้ว่า กามฉันทะ คือความเป็นหนี้ กามฉันทะนั้นกินความหมายกว้างมากไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเพศ แต่หมายรวมไปถึงความสุขจากการได้เสพทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะของกามภพ

นั่นหมายความว่าหากเรายังต้องคอยเสพสุขลวงจากการมีคู่อยู่ เราก็ต้องคอยใช้หนี้กรรมอยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น…

– – – – – – – – – – – – – – –

20.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)