Tag: ความหลง

ปฏิบัติธรรมไม่มาไม่ไป

May 5, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,216 views 0

การปฏิบัติธรรมนี่ถ้า “ไม่เห็นตัวกิเลส” จะปฏิบัติไม่ไปไหนเลยนะ ถ้าหลงไปว่า “ความคิด” นั้นคือรากของกิเลสยิ่งแล้วใหญ่ พาลจะไปดับความคิดให้มันวุ่นวายกันไปอีก

จุดที่ควรจะสนใจคือเหตุใดที่ทำให้เราเกิดความคิดนั้นๆ เราหลงเสพ หลงติด หลงยึดในอะไร ลากกิเลสที่ติดออกมาเป็นตัวๆเลย อย่าไปลากออกมาทั้งยวง ถ้าบอกว่า “ความหลง” แบบนี้มันกว้างเกินไป จัดการกิเลสไม่ได้หรอก

ต้องระบุให้ชัดเลยว่าหลงสุขใดตอนที่ได้สัมผัสสิ่งนั้น อย่างเช่นเรื่องการมีคู่ เราสุขตอนที่เขาบอกรัก จับตรงนี้ให้ได้ก่อนแล้ว ค่อยขุดหารากต่อไปอีกที

ถ้าหาเจอแล้วก็ค่อยพิจารณาธรรมกันไป ว่าสุขนั้นเกิดเพราะเรายึดมั่นถือมั่นอะไรไว้ จึงทำให้อยากได้อยากเสพสิ่งนั้น มาถึงขั้นตอนนี้ก็เพียรทำได้แล้ว จะสมถะหรือวิปัสสนาอะไร อัตราส่วนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ความถนัด

(ที่กล่าวมาคือส่วนสรุปของ สติปัฏฐาน เพื่อไปสู่ธรรมวิจัยและวิริยะ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโพชฌงค์ ๗)

= = = = = = = = = = =
**แนะนำบทความที่เกี่ยวข้อง

เหตุแห่งทุกข์

โสดไม่ได้เสพ

May 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,881 views 0

โสดไม่ได้เสพ

โสดไม่ได้เสพ

ทำไมผู้คนต่างอยากจะมีคู่ ทำไมความโสดถึงมักจะถูกผลักไส ทำไมความโสดจึงเป็นสิ่งที่ดูด้อยค่าในสายตาของคนอยากมีคู่ ความลับของความหลงทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่การเป็นโสดไม่ได้เสพนั่นเอง

คนที่มีกรรมที่จะต้องไปแต่งงาน ด้วยฐานะ ด้วยหน้าที่ ด้วยบทบาทนั้น จะขอยกไว้ไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะสภาพที่ต้องไปแต่งงานทั้งที่ใจไม่ได้มีความอยากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับกิเลสโดยตรง แต่มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลของกรรม

ทำไมคนจึงไม่เป็นโสด?

หากจะถามออกไปก็มักจะมีคำกล่าวอ้างมากมายที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น มนุษย์เกิดมาเพื่อสืบพันธุ์บ้างล่ะ เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิตบ้างล่ะ เพื่อเป็นไปตามธรรมชาติบ้างล่ะ เพื่อพากันเจริญบ้างล่ะ หลายๆเหตุผลที่ปั้นแต่งมาเพื่อยืนยันว่า “ฉันจะไม่เป็นโสด

ด้วยเหตุผลเหล่านั้น หลายคนก็ยินดีที่จะไม่เป็นโสด ยินดีทุกข์ทนแสวงหาคู่ ยินดีลำบากลำบนคอยบำเรอกิเลสคู่ของตน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อบูชาความหลง

หลงในอะไร? ก็หลงในความสุขลวงที่กิเลสเป็นผู้ชี้นำยังไงล่ะ เพราะเขามองว่าเมื่อมีคู่ เขาก็จะได้เสพสุขดังใจหมาย สุขอย่างที่คนอื่นเขาว่ามา สุขอย่างที่ใครเขาก็ทำกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสุขลวงที่นำทุกข์แท้มาให้ สุขนั้นเป็นสุขจากการได้เสพสมใจจากกิเลส เป็นสุขอย่างเป็นทาส

เหมือนทาสที่เขาเฆี่ยนตีด้วยแส้ เพื่อให้ทำงานหนัก พอนายทาสโยนเศษอาหารให้ก็หลงดีใจ รู้สึกเป็นสุข เห็นว่านายทาสใจดี มีเมตตา เราได้เศษอาหารเช่นนี้เป็นสุขจังหนอ ว่าแล้วก็ยอมทำงาน ยอมโดนเฆี่ยนโดนตีไปเรื่อยๆ เพื่อแลกกับสุขเพียงแค่ได้เสพเศษอาหารเหล่านั้น

เพราะโสดนั้นไม่ได้เสพ

ในเมื่อการมีคู่คือการได้สุขจากเสพในความเข้าใจของผู้หลงผิด ดังนั้นการเป็นคนโสดก็คือการไม่ได้เสพอะไรเลย นั่นหมายถึงการขาดทุน การเสียผลประโยชน์ในทัศนคติของเขาเหล่านั้น

ซึ่งก็ถูกแล้วที่คนเห็นผิดจะเห็นว่าการโสดเป็นสิ่งที่ไม่สุขเอาเสียเลย และถ้าเราเจาะลงลึกไปในรายละเอียดว่าโสดแล้วไม่ได้เสพอะไรให้ชัดๆก็คือ ไม่ได้สมสู่กัน ไม่ได้เสพกามคุณ คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้เสพโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ของกันและกัน และไม่ได้เสพอัตตาของกันและกัน

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากสมสู่กันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่ซ้อนเร้น ปกปิดไว้ ไม่เปิดเผยกันง่ายๆ แต่เรื่องนี้มีกันทั้งชายและหญิงนั่นแหละ การได้เสพสุขจากการสมสู่ ได้ครอบครอง ได้บำเรอกามของกันและกันเป็นความสุขของเขานะ ถ้าจะให้เขาเป็นโสดหรือแม้แต่การตัดเรื่องสมสู่กันทั้งชีวิต เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากเสพกามคุณกันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายๆ เช่น หน้าตาดี บุคลิกดี เนื้อตัวสะอาด พูดเพราะ ผิวนุ่ม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสพกัน ถ้าได้มองก็สุขแล้ว แต่ถ้าได้เอามาเป็นคู่ เอามาเสพคนเดียวทุกคืนทุกวันมันจะสุขขนาดไหน จะให้เขาเสียสุขนี้เพียงเพื่อต้องไปเป็นโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้โลกธรรมกันนะ เช่นมีคู่เพื่อได้ลาภ ข้อนี้จะเห็นได้มาก จะแต่งงานกับใครก็ต้องมีฐานะดี หรือดียิ่งกว่า อันนี้เพราะโลภอยากได้ของเขา อยากได้ยศ คือตัวเองต้องมีตำแหน่งดีขึ้นเช่นเป็นแฟน สามี ภรรยา อยากได้สรรเสริญ คืออยากให้มีคนมาชมตนเองว่ามีคุณค่า มีคนเอาไปเป็นคู่ สุดท้ายคืออยากได้สุข สุขจากการมีคู่นั่นแหละ สุขลวงๆที่เขาว่าเป็นสุขจริงนั่นแหละ จะให้เขาทิ้งทั้งหมดนี้เพื่อแลกกับความโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้อัตตากันนะ คือมีใครสักคนมาเติมตัวเราจนเต็ม มีคนที่จะเป็นดังที่ใจเราฝัน คนนั้นคือคนที่ทำให้ฉันหายเหงา จะมีเธอมีฉันเคียงข้างกันไปชั่วนิรันดร อะไรแบบนี้ เป็นความยึดติดฝังแน่นว่าคนเราจะสุขเพราะการมีคู่ คนเราจะมีคุณค่าเพราะมีคู่ จะให้เขาละทิ้งความสุขเหล่านี้ แม้จะเป็นสุขที่หลงไปในความลวงเพื่อแลกกับความโสดที่จะไม่ได้อะไรสักอย่าง เขาจะยินดีโสดหรือ?

ทนทุกข์เพราะหลงสุขจากเสพ

ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ หลายคนจึงยินดีทนทุกข์ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสุขกว่าการที่จะต้องเป็นโสด แม้จะต้องก่อเวรก่อกรรมไว้กับคู่ของตนมากเท่าไหร่ก็ไม่สน ยินดีที่จะเบียดเบียนตนเองและคู่ของตนเพียงเพื่อจะให้ได้เสพสุขลวงเหล่านั้น เหล่านี้เองคือความร้ายกาจของกิเลส ที่ลากคนไปลงนรกมานักต่อนักแล้ว มันไม่เคยละเว้นใคร ไม่ว่าจะยากดีมีจน เรียนน้อยหรือเรียนมาก สุดท้ายถ้ายังไม่มีปัญญาพอจะก้าวข้ามความหลงนี้ ก็ยังจะต้องโดนกิเลสลากไปนรกอยู่ดี

แต่สำหรับเขาเหล่านั้นคงจะไม่เรียกการมีคู่ว่านรก ถึงจะเรียกว่าสวรรค์เขาก็คงจะเห็นดีด้วย เพราะเขายินดีที่จะได้เข้าไปเสพ ยินดีที่จะได้มีคู่ เหมือนกับคนที่เฝ้าศึกษาเส้นทาง เตรียมตัวเก็บกระเป๋า และออกเดินทางไปสู่นรกด้วยจิตใจที่เบิกบาน ดูสิ! มันหลงกันไปได้ขนาดนี้

– – – – – – – – – – – – – – –

3.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

คนรักในฝัน มีอยู่จริงหรือ?

April 25, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,364 views 0

คนรักในฝัน มีอยู่จริงหรือ?

คนรักในฝัน มีอยู่จริงหรือ?

ความรักในมุมของคู่ครองกับความฝันนั้นก็เป็นเหมือนกับเรื่องเดียวกัน หลายคนเฝ้าฝันว่าวันใดวันหนึ่งจะเจอกับคนในฝัน จินตนาการปั้นปรุงแต่งกันไปตามความอยากของแต่ละคน

ในทางโลกนั้นเขาก็ว่า ต้องเหมาะสมกันบ้าง ต้องพอดีกันบ้าง ต้องส่งเสริมกันบ้าง ต้องสร้างกุศลร่วมกันบ้าง ต้องพากันเจริญบ้าง หลายๆเหตุผลที่จะทำให้เราเฝ้าฝันถึงคู่ครองในอุดมคติ

แต่ในทางธรรมนั้นกลับบอกว่าการไม่มีคู่ครองนี่แหละดีที่สุด คนที่ปัญญายังไม่รอบ ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ยังจะพยายามแสวงหาคู่ครอง ที่ว่าดี ที่ว่าเลิศ ตามหาในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ตั้งสเปค ตั้งภพว่าอย่างน้อยๆต้องแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ถึงจะยอมเป็นคู่ มีกำแพง มีกฎเกณฑ์ มีรูปแบบ หรือเรียกรวมๆว่ายังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่

ถ้าจะให้ตรงๆเน้นๆ เลยก็คือ “การที่ยังคิดว่าคนในฝันยังมีอยู่จริง ก็คือยังโง่อยู่นั่นเอง” เพราะแท้จริงแล้วการที่เราไปแสวงหาคู่ครองในฝันนั้นก็เหมือนไปคว้าสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้มาเป็นตัวตนของเราแม้แรกเจอจะดูดี หน้าตาดี ฐานะดี การงานดี บุคลิกดี นิสัยดี ธรรมะก็มี แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ล่อให้เราเข้าไปติดกับดักของความหลง และคนที่ถูกใจเรานั่นแหละคือ “ตัวเวรตัวกรรม

กิเลสของเราจะล่อเราให้ไปติดกับดักที่ตัวเองคาดฝันไว้ มีเหตุผลมากมายที่จะยอมสละโสดหรือพลีกายให้กับคนในฝัน สุดท้ายไม่ว่าจะได้คู่ที่แย่สุดแย่หรือดีปานเทวดามาเกิด มันก็อยู่ใต้อำนาจของกิเลสอยู่ดี มันก็วนอยู่ในความหลงอยู่ดี ไม่มีหรอกที่ว่าคนมีปัญญาเต็ม สติเต็ม จะยังหลงอยู่ได้ มีแต่คนด้อยสติปัญญาเท่านั้นที่จะละเมอเพ้อพกไปกับสิ่งที่ไม่จริง

หลายคนมีข้ออ้างมากมายที่ดูเหมือน “ฉลาดฉิบหาย” เพียงเพื่อที่จะได้มีคู่ ข้ออ้างเหล่านั้นเองคือความร้ายกาจของกิเลสที่พาให้คนหลงว่าตนเองมีปัญญา ซึ่งแม้แต่นักปฏิบัติธรรมหรือนักบวชก็ต้องพลาดพลั้งเพราะพลังของกิเลสมานักต่อนักแล้ว

สุดท้ายพวกเขาก็ยอมโง่อย่างยินดีเพื่อแสวงหามาเสพให้สมกิเลส หลอกตัวเองและหลอกคนอื่นว่าคนในฝันยังมี รักที่ดีก็ยังมี หลงมัวเมาอยู่ในความลวง วนเวียนทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนไปเรื่อยๆจนกว่าจะเรียนรู้ได้เองว่า “ความเป็นโสดนี่แหละดีที่สุด

– – – – – – – – – – – – – – –

25.4.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เมื่อรักนั้นคือความหลง ก็เหมือนคนติดยาเสพติด

April 16, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,712 views 0

เมื่อรักนั้นคือความหลง ก็เหมือนคนติดยาเสพติด

เมื่อรักนั้นคือความหลง

ก็เหมือนคนติดยาเสพติด

มีให้เสพก็มีความสุข

พอไม่ได้เสพก็ทุกข์ทรมาน

 

= = = = = = = = = = =

โดยทั่วไปแล้ว…

คงยากที่ใครจะยอมรับว่า..ตนเองนั้นหลง

แต่ความจริงก็จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริง

คู่รักที่ยังดูแลเอาใจใส่แก่กันและกัน

ก็จะดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังมีความสุขดี

แต่พอคนใดคนหนึ่งลดการเอาใจใส่ ด้วยเหตุใดก็ตาม

อีกคนก็จะเกิดอาการทุกข์ในจิตใจขึ้นมาทันที

 

….

 

นี่คือความเสพติดความรักเพราะความหลง

พอได้เสพมันก็หลงว่าเป็นสุข

แล้วยึดสุขนั้นไว้ว่าต้องได้เสพตลอด

ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากความสุข

ใครที่นำความสุขนั้นออกไปจากชีวิตฉัน

ก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับฉัน…

 

…โดยไม่สำคัญว่าคนนั้นจะเป็นใคร

เคยเป็นคนที่ฉันรักที่สุดหรือไม่

เคยเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ฉัน

เคยเป็นคนที่ช่วยเหลือฉันเมื่อทุกข์ใจ

แต่ถ้าวันนี้เธอพรากความสุขของฉันไป

เราจะกลายเป็นศัตรูกัน!!

….และนี่เองคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คู่รักทะเลาะกัน

 

แท้จริงแล้วความหลงก็คือความเห็นแก่ตัวดีๆนี่เอง

มันมาในภาพที่สวยหรูที่เรียกว่าความรัก

สุดท้ายแล้วก็หวังจะให้คนอื่นมาบำเรอตนเท่านั้นเอง

 

– – – – – – – – – – – – – – –

16.4.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)