Tag: การมีคู่

การยอมพรากจากคู่ คือที่สุดของทุกข์ในการมีคู่

January 1, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 598 views 0

พิมพ์เรื่องคนโสดมาก็มาก ตอนนี้พิมพ์ในมุมคนคู่บ้าง เชื่อไหมว่าสุดท้ายเมื่อคนมีคู่เข้าใจธรรมะ เขาก็จะหันมาเป็นโสดกันทั้งนั้น

มีหลักฐานมากมายจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระเวสสันดรชาดก ซึ่งจะมีตอนหนึ่งที่มีการสละภรรยาเป็นทาน ในชาดกบทนี้ เป็นชาดกที่ผมรับรู้มาว่าคนข้องใจกันมาก ไม่เข้าใจว่าการสละลูก เมียเป็นทานคือการบำเพ็ญบารมีตรงไหน ซึ่งจริง ๆ มันก็เข้าใจยากจริง ๆ นั่นแหละ เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไปไปแล้ว

เชื่อไหมว่าถ้าเราบำเพ็ญไปเรื่อย ๆ คู่ครองของเราก็จะมีบารมีที่มากตามไปเรื่อย (เพื่อปราบเรานั่นแหละ) เขาจะมาแบบครบเลย หน้าตา ฐานะ การศึกษา นิสัย มารยาท ธรรมะ จะดีพร้อม งามพร้อม หรือถ้าไม่พร้อมก็จะมีจุดเด่นพิเศษที่เราพ่ายแพ้ ไม่ยอมปล่อยเพราะยึดสิ่งนั้นไว้

การปฏิบัติธรรมในเรื่องคู่ในบทจบก็คือ “เขาดีขนาดนี้ ยอมสละเขาได้ไหมล่ะ” มันจะยากก็ตรงนี้นี่แหละ คนก็งง จะสละทำไม ก็เขาเป็นคนดี เขาก็ดีกับเราขนาดนี้

เจอคู่ชั่ว ๆ นี่มันทิ้งกันไม่ยากหรอก ดีไม่ดีเขาก็ทิ้งเรา แต่เจอคู่ดีนี่มันทิ้งยาก ติดสวรรค์ ติดสุข ติดความเป็นเทวดา(มีอำนาจ มีคนบำเรอ) หรือไม่ก็ติดลาภ ยศ สรรเสริญ ฯลฯ

พอคนทำดี มันจะมีกุศลกรรมให้ได้รับ บางทีมันจะมาในรูปของคู่ครอง แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้สิ่งนั้นจะเป็นลาภ แต่ก็เป็นลาภเลว ที่คนหลงดีใจได้ปลื้มกับมัน อยู่กับมัน แล้วก็แช่อยู่ในภพคู่ครองนั้น ๆ นานนนนนนนน…

ให้คิดก็คิดกันไม่ออกเลยนะ เจอคู่ดีสมบูรณ์ครบพร้อมจะออกยังไง จะถอนใจออกมายังไง ก็มีแต่จะเอาเขาเป็นที่พึ่งเท่านั้นแหละ ชีวิตติดเมถุน มันจะติดเสพความเป็นเทวดา ความเป็นคนพิเศษ ความมีอำนาจ มีการให้เกียรติ ให้ความรัก ความเอาใจ ความสำคัญ เป็นเครื่องร้อยรัดคนไว้กับทุกข์ เรียกว่าเมถุนสังโยค

แต่เชื่อไหม แม้จะดีแค่ไหน มันจะมีจุดพร่อง มีจุดพลาดเสมอ ทีนี้คนที่หลงจะมองข้ามจุดพร่องตรงนี้ไป แล้วไม่เอามาพิจารณาทุกข์ พอไม่เป็นทุกข์ มันก็ไม่เห็นโทษภัยอื่น ๆ ที่ตามมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เพราะมันเป็นกิเลสฝั่งติดสุข มันจะแกะยาก ถอนยาก

ไม่ต้องไปคิดถึงระดับพระเวสสันดรหรอก อันนั้นมันไกลไป ไม่ใช่ฐานะที่คนทั่วไปจะทำได้ แต่ก็ใช้หมวดทานมาเป็นกรรมฐานได้

เช่น คนดีนี่ใคร ๆ ก็อยากได้ใช่ไหม แล้วเราเอามาเก็บไว้คนเดียว คนอื่นเขาก็ไม่ได้ใช้ ถ้าเราสละออกไป คนอื่นเขาก็ดีใจ เพราะเราปล่อยคนดีคนหนึ่งกลับไปให้โลก เขาก็ไม่ต้องมาแย่งเรา ไม่ต้องผิดศีล

ยิ่งถ้าเราปล่อยเขาไปแล้วเขาไม่มีคู่ใหม่ ยิ่งดีใหญ่เลย เขาก็จะได้ใช้ชีวิตเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น ไม่ต้องบำเรอเรา ไม่ต้องบำเรอใครอีกให้เสียเวลาชีวิต

ที่สำคัญเราจะช่วยเขาได้ เราจะพาเขาเจริญได้ เพราะการผูกกันไว้นี่มันเจริญได้ยาก มันติดเพดาน มันมีอกุศลวิบากต่อกันมาก แต่ถ้าเราปล่อยได้ เขาจะเห็นเราเป็นตัวอย่าง อาจจะขัดข้องขุ่นใจบ้าง แต่เขาจะจำว่ามันมีสิ่งดีกว่าการอยู่เป็นคู่กันอยู่ในโลก นั่นก็คือการไม่อยู่เป็นคู่กันนั่นเอง

ยกตัวอย่างมาแล้วก็รู้สึกว่ายากโคตร ๆ แต่จะเป็นโสดอย่างผาสุกได้ต้องพิจารณาธรรมหมวดนี้เหมือนกัน มันจะเป็นกระบวนการหนึ่งในการก้าวเข้าสู่การเป็นโสดอย่างยั่งยืน มันต้องยินดีที่จะสละโควต้าของตัวเองที่จะมีคู่ไปให้คนอื่น

ไม่ต้องห่วงหรอก เราล่อลวงคนอื่นมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่วิบากกรรมเขาจะไม่มาเอาคืน ถึงจะตั้งจิตเป็นโสด แต่ก็จะมีผู้ท้าชิงอยู่นั่นแหละ

ดังนั้นอย่าไปกังวลเลยว่าจะไม่มีคู่ หรือจะสละไปแล้ว แล้วเขาจะหายไป เขาไม่หายไปไหนหรอก เขาก็วนเวียนมาอยู่นั่นแหละ ด้วยเหตุที่ทำบาปด้วยกันไว้มาก และถ้าเป็นคนดีจะมีอีกแรงหนึ่งคือเป็นที่รักของเขา เขาก็ยึดไว้

แท้จริงแล้วคู่ครองเป็นสภาพสมมุติที่คนยึดไว้ ความเป็นพ่อแม่ลูกยังดูจริงยิ่งกว่า แต่คนกลับไม่ค่อยยึดอาศัย ไม่ค่อยเห็นจะมีใครตั้งตนเป็นโสดเพื่อที่จะได้ใช้เวลาดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าสักเท่าไหร่ จริง ๆ มันก็สมมุติเหมือนกันนั่นแหละ แต่ดันไปหลงสมมุติตัวที่มันตื้น มันเบียดเบียน มันเป็นบาป แล้วดันทิ้งสมมุติที่เป็นความเกื้อกูล เป็นกุศล

สรุปกันสั้น ๆ ว่า อาการทุกข์ที่เกิดเพราะไม่อยากพราก ไม่อยากสละจากคู่ นั่นแหละคือประตู ถ้ารู้แจ้งในทุกข์นี้ก็จบ จิตจะปล่อย จะยอมพราก สละได้ ทิ้งได้ ตามเหตุปัจจัย ไม่ยึดติดว่าคนคนนั้นเป็นคู่อีกต่อไป จะเข้าใจทั้งสัญญาแบบโลก ๆ กับการไม่ยึดสัญญาแบบโลก ๆ จะตัดสินใจตามกุศลเป็นหลัก

หัดพิมพ์มุมคนคู่ เอาไว้เท่านี้ก่อน ได้เหลี่ยมหนึ่งก็ยาวแล้ว ไว้วันหลังค่อยว่ากันใหม่

จะเป็นโสดหรือมีคู่ ก็มีสุขทุกข์เหมือนกัน จริงหรือไม่?

December 17, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 614 views 0

ถาม จะเป็นโสดหรือมีคู่ ก็มีสุขทุกข์เหมือนกัน จริงหรือไม่?

ตอบ ไม่จริง

ในสมัยพุทธกาล เคยมีชาวบ้านมาเถียงพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกันในประเด็นนี้ ชาวบ้านมาอวดภูมิว่า ถึงแม้การมีความรักจะเป็นทุกข์ แต่ก็มีสุขอยู่

พระพุทธเจ้าท่านตอบเพียงว่า ความรักนั้นมีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขอยู่เลย ชาวบ้านก็ยังเถียงอยู่เช่นนั้น สุดท้ายก็เดินหนีจากพระพุทธเจ้าไปถามความเห็นกลุ่มคนที่อยู่แถวนั้น คนกลุ่มนั้นก็เห็นด้วยกับชาวบ้านคนนั้น ก็เออออกันไปว่ารักนั้นมีทั้งสุขและทุกข์ซิ ถึงจะถูกต้อง

นั่นคือความเห็นผิดของผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ จะเห็นสภาพสองสภาพเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่มันไม่เหมือนกันเลย แต่เขาจะพยายามทำให้เหมือนกัน จะได้เป็นข้ออ้างว่า จะเป็นอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำให้มันดูธรรมดา ให้มันดูเป็นธรรมชาติไป กลบเกลื่อน ๆ ไป ให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา

ความรู้โลกีย์ก็แบบนี้ โสดก็ทุกข์แบบหนึ่ง มีคู่ก็ทุกข์แบบหนึ่ง แต่เขาไม่เข้าใจดีกรี หรือระดับของความทุกข์ที่แตกต่างกัน ก็เลยตีขลุมไปว่ามันคล้าย ๆ กัน

เพราะจริง ๆ มันไม่เหมือนกันเลย ในบทธรรมที่รู้กันโดยทั่วไปเช่น มีรัก 100 ก็ทุกข์ 100 มีรัก 1 ก็ทุกข์ 1 ไม่มีรักไม่ทุกข์เลย คนเขาจะไม่เข้าใจว่าถ้าไม่มีรัก ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก มันจะไม่ทุกข์อย่างไร

นี่คือสภาพของความลึกซึ้งของพุทธ ที่เดาเอาไม่ได้ รู้ตามได้ยาก เข้าถึงได้เฉพาะบัณฑิต ดังนั้น จะเอาความรู้โลก ๆ มาเถียง มันก็เหมือนชาวบ้านมาเถียงกับพระพุทธเจ้านั่นแหละ แม้ตัวเองจะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองถูก แต่สุดท้ายมันจะไม่พ้นทุกข์ เพราะมีความคิดเห็นและปฏิบัติไปคนละทางกับที่พระพุทธเจ้าตรัส

ในความเป็นจริงแล้ว การมีคู่นั้น จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มากกว่าการอยู่เป็นโสดมากมายมหาศาลยิ่งนัก มีเหตุให้กังวลระแวงหวั่นไหวมากกว่าการอยู่เป็นโสดมากมาย

จะยกตัวอย่างเช่น เอาแค่คู่ไม่พูดด้วยตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มองหน้า ระหว่างคนที่มีคู่ กับคนโสดใครจะทุกข์กว่ากัน

หรือมีคนมาพูดไม่ถูกใจ ระหว่างคนคนนั้นเป็นเพื่อนทั่วไป กับคนนั้นเป็นคู่ครอง อันไหนเราจะมีอาการขุ่นเคืองใจมากกว่ากัน

จะสังเกตว่าคนคู่มักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่คนอื่นเขาก็งงกันว่าเรื่องแค่นี้ต้องทะเลาะ ต้องงอน ต้องโกรธกัน นี่แหละคือความโง่ของคนคู่ที่มองไม่เห็นทุกข์ที่มากกว่าการอยู่เป็นโสด เพราะในความจริงมันทุกข์มากกว่า ส่วนความสุขนั้นไม่มีเลย

เพราะความสุขเหล่านั้นเกิดจากกิเลสปั้นขึ้นมาเมื่อได้เสพสมใจ เช่นเขาสวย เขาเอาใจ เขาดีกับเราแล้วสุขใจ ถ้าคนเสพติดตรงนี้เขาจะเป็นสุข แต่ถ้าคนไม่เสพติด ไม่มีตัณหา ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่หลง เขาจะไม่เป็นสุข เพราะจริง ๆ มันไม่มีรสสุข แต่คนเขลาปั้นรสสุขขึ้นมาหลอกตัวเองและผู้อื่น คือกิเลสมันหลอกอยู่ ก็เหมือนที่ชาวบ้านเถียงพระพุทธเจ้านั่นแหละ ที่เขาเห็นว่าสุขเพราะเขาหลง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามีแต่ทุกข์ เพราะท่านเห็นความจริงตามความเป็นจริง

มันก็ต่างกันแบบนี้นี่เอง ต่างกันที่ปัญญาในการมองเห็นทุกข์ สุข ในเหตุปัจจัยที่ต่างกัน

การมีคู่ สืบพันธุ์ ออกลูกออกหลาน คือความถูกต้องตามธรรมชาติจริงหรือ?

December 17, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 567 views 0

ถาม การมีคู่ สืบพันธุ์ ออกลูกออกหลาน คือความถูกต้องตามธรรมชาติจริงหรือ?

ตอบ จริง ตามธรรมชาติของสัตว์ และไม่จริงตามธรรมชาติของบัณฑิต

การที่สัตว์นั้นจะเกิดมาเพื่อหากิน ดำรงชีวิต ดำรงเผ่าพันธุ์ มันก็เป็นปกติของมัน เพราะมันโง่ ชีวิตของมันก็มีอยู่แค่นั้น เกิด กิน ผสมพันธุ์ ดำรงอยู่ แล้วก็ตายไป ไม่ได้มีความดีงามอะไรในชีวิตมากมาย เขาถึงเรียกว่าเดรัจฉาน เป็นสภาพของความไม่มีปัญญา

คนที่จะเอาอย่างสัตว์ก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นไปตามธรรมของเขา อันนี้เราไปห้ามใครเขาไม่ได้ เขามีสิทธิ์เลือกของเขา ว่าจะอยู่เป็นโสด หรือจะไปมีคู่ดำรงเผ่าพันธุ์

การอยู่เป็นโสดไม่ได้ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ เพราะในความจริงแล้วการอยู่เป็นโสดนั้น ทำได้ยากกว่าการมีชีวิตเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ยิ่งนัก คนที่เขามีหน้าที่ผลิตลูกหลานเขาก็ทำของเขาไป เอาจริง ๆ คนผลิตลูกหลานนี่มากกว่าคนตั้งใจอยู่เป็นโสดอีกด้วย ถ้าดูจากจำนวนประชากรประเทศไทยที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น งานสร้างลูกสร้างหลาน ไม่ใช่งานที่โลกขาดแคลน โลกไม่ได้ขาดแคลนมนุษย์ แต่ขาดแคลนธรรมะ

ผู้เป็นบัณฑิตจึงเล็งเห็นประโยชน์ตรงนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์ตน เพราะตนเองก็ไม่ต้องไปเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เพิ่มพลังของความหลงไปตามธรรมชาติของสัตว์ แหวกผ่าวงล้อมโลกีย์ ออกมาปฏิบัติตนเป็นโสด ทวนกระแส ไม่ไหลไปตามกระแสโลกียะ ที่จะพาคนหมุนวนเวียนไปตามกำลังของกามและอัตตา หรือหลงไปตามกิเลสนั่นเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ โดยสรุปว่า บัณฑิตคือผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นโสด

จะเห็นได้ว่าพอคนพัฒนาไปถึงศีล ๘ จะเริ่มแปลกจากคนทั่วไปแล้ว เริ่มเป็นมนุษย์ประหลาดไปเรื่อย ๆ เพราะจะไม่ไปเสพตามโลก ไม่ไหลไปตามกระแสโลก อันนี้คือความเจริญของมนุษย์ที่พัฒนาตนจนทวนกระแสความหลง ความวน ความเป็นธรรมชาตินั่นแหละ ที่จะรั้งคนให้อยู่ในวิถีที่สังคมอุดมกิเลสสร้างมา

เอาจริง ๆ คนเขาก็ไม่ได้คิดจะสืบพันธุ์อะไรกันมากมายหรอก จริง ๆ เขาแค่อยากจะสมสู่กันนั่นแหละ แต่เอาเรื่องการสืบเผ่าพันธุ์มาบังไว้เฉย ๆ ไหน ใครที่เขามีลูกแล้ว เขาเลิกสมสู่กันบ้าง ไหนใครที่เขาไม่ได้คุมกำเนิดกันบ้าง ส่วนมากคนเขาก็เอาเรื่องใหญ่มากลบเรื่องเล็กนั่นแหละ คือพูดให้ดูเหมือนมีอุดมการณ์ แต่จริง ๆ มีอุดมกาม พูดให้โก้ ๆ ไปแบบนั้นเอง

แต่คนที่หลงเรื่องสืบพันธุ์จริง ๆ ก็มี แต่มีจำนวนน้อย ไม่มีนัยสำคัญเท่าไหร่

สุดท้ายก็เลือกเอาเองว่าจะเอาตามธรรมแบบไหน จะตามธรรมแบบสัตว์โลกทั่วไป หรือจะเอาตามธรรมของบัณฑิต ที่ปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ ก็เลือกได้ตามอัธยาศัย

คู่กรรม (สอบถาม)

August 12, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,222 views 2

ผมเคยพิมพ์เรื่องกรรมกับเรื่องคู่ไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความที่เราทนความอยากที่จะมีคู่ไม่ได้นั้นเป็นเพราะผลกรรมเก่าทุกคน เพราะจริงๆ มันมีกรรมใหม่ร่วมด้วย

ถ้ายังไม่เคยได้รับรู้ธรรมะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการมีคู่นั้นเป็นเหมือนบ่วง ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันเป็นทางที่ตรงกับข้ามกับการเป็นบัณฑิต(ผู้รู้ธรรม) แล้วไปมีคู่นั้น ก็เรียกว่าโดนโลกมอมเมา เป็นเพราะแรงกรรมส่วนหนึ่ง แรงกิเลสในขณะนั้นส่วนหนึ่ง หรือจะเรียกว่าผลของกรรมมันบังปัญญาที่เคยมี ให้ปัญญานั้นต่ำกว่ากิเลสก็เลยไปมีคู่

แต่คนที่มาศึกษาธรรมะแล้ว ได้มารู้โทษของการมีคู่แล้ว ได้รู้แล้วว่าทางหลุดพ้นจริงๆ สุดท้ายทุกคนก็จะเป็นโสด ฯลฯ คือรู้แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วดันไปเลือกมีคู่ อันนี้จะโมเมอ้างกรรมเก่าไม่ได้แล้วครับ เพราะคุณมีโอกาสตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเอาธรรมะหรือเอากิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทำกรรมของแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสเท่านั้นแหละ

ถ้าคนมีของเก่ามามาก แล้วได้รู้ธรรมจะหลุดได้ง่ายครับ แต่ถ้าไม่มีนี่อาจจะจมยาวเลย มีคู่ มีลูก มีหลานอะไรกันไปตามเรื่องตามราว

ประเด็นนี้มีใครสนใจจะเสริม หรือสอบถามอะไรเพิ่มเติมไหมครับ? คิดว่าวันหนึ่งจะเรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมาใหม่ครับ