กรณีศึกษา
อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่าแค่รักกัน
อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่าแค่รักกัน…
ได้ดูพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกตอนที่ 31 มีฉากหนึ่งที่หยิบยกมาเตือนใจลูกศิษย์พระพุทธเจ้าที่กำลังอยากมีคู่ นั่นคือฉากที่นำเสนอว่าท่านไม่เก็บแม้แต่ของที่ระลึกจากนางยโสธรา โดยมีบทพูดว่า “หากข้าเก็บมันไว้ มันจะผูกมัดข้ากับกบิลพัสดุ์ตลอดกาล”
…จะเห็นได้ว่าแม้แต่รอยอาลัยเพียงเล็กน้อย ก็จะไม่เก็บไว้กับตน ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจ แต่เพราะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีค่ามากกว่าจะต้องทำ หากยังเก็บรอยอาลัยเหล่านั้นไว้ ก็จะเป็นเครื่องผูกจิตไว้กับโลกีย์ตลอดกาล
เราจะได้เห็นคู่ตัวอย่างของการพ้นทุกข์นั่นคือการมีรักเพื่อทิ้ง พระพุทธเจ้าท่านผูกกับนางพิมพาแล้วก็ทิ้งมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ การพบกันนั้นก็เพื่อการพราก และท่านทำให้เราเห็นเลยว่าหากต้องการความเจริญจะต้องยอมพรากไปจากสิ่งที่เรารักที่สุด ไม่ใช่การเสพสุขไปปฏิบัติธรรมไป
เราไม่สามารถประมาณความยากหรือรู้วาระจิตของพระพุทธเจ้าได้เลย เพราะสิ่งนั้นเป็นหนึ่งในอจินไตย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือความเข้าใจ เหล่าลูกศิษย์จึงทำได้เพียงเข้าใจแนวคิดว่า จะต้องยอมพรากจากสิ่งที่ตนรักตนหวงแหนให้ได้ ไม่ใช่ว่ารักกันไปจนตายแล้วทำใจได้นะ แต่คือการปล่อยทั้งๆที่ยังรักนี่แหละ
ในตอนก่อนหน้านี้มีบทพูดของพระเจ้าพิมพิสารในเรื่องที่เข้ากันดีกับบทความนี้นั่นคือ “คนที่เสียสละทุกอย่าง จะได้ทุกอย่าง” จึงทำให้สรุปความได้ว่า หากอยากจะพบรักที่มากกว่า จงสละรักที่ผูกพันด้วยกิเลสนี้เสีย ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “พึงสละสุขพอประมาณ เพื่อความสุขอันไพบูลย์”นั่นคือหากไม่ยอมสละความสุขในการมีคู่แล้ว จะไม่มีวันได้พบกับสุขที่มากกว่าเลย
ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ยาก มันเหมือนกับคนที่มีความสุขด้วยปัจจัยมากมายแล้วจะให้พรากสุขออกไปยังที่ที่ไม่มีอะไรเลย เขาไม่ยอมพรากกันหรอก เพราะมันไปสู่ความไม่มีอะไร และเขาก็ไม่เคยสัมผัสสุขนั้นจึงไม่มั่นใจว่าจะมีสุขอันไพบูลย์จริง จึงไม่กล้าทิ้งสุขที่ได้เสพอยู่ ทีนี้จริงๆแล้วที่ไม่มีอะไรเลยนี่มันก็มีนะ มันมีสุขอันไพบูลย์ที่เกิดจากปัญญารู้แจ้งในกิเลส มันไม่มีกิเลส มันก็เลยไม่มีอะไรเลย
สรุปความได้ว่า ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ยิ่งควรพรากออกมา เพราะสิ่งที่รักนั้นจะผูกเราไว้กับเรื่องโลก ให้หลงวนอยู่ในโลก ให้เสพสุขอยู่ในโลกตลอดกาล
โชคดีของคนที่ยังโสด เพราะไม่ต้องไปลองบทเรียนที่ยากสุดยาก ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าทำได้แล้วเราจะทำได้นะ กำลังมันต่างกัน เรายังไม่แกร่งกล้าก็อย่าไปแตะเรื่องคู่ให้มันเหนื่อยทีหลัง ส่วนคนที่มีคู่แล้ว ใช่ว่าจะทิ้งง่ายๆนะ มันต้องมีศิลปะ กว่าจะสลัดหลุดได้ต้องสู้ทั้งกิเลสตัวเอง ทั้งพยายามไม่ให้เกิดอกุศล มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจากกันโดยไม่สร้างเวรสร้างกรรมชั่วทิ้งไว้ให้ต้องรับผลภายหลัง
– – – – – – – – – – – – – – –
20.6.2558
ประสบการณ์ความรักโลกไม่สวย
ภาพความคิดเห็นจากในเพจ ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ได้อ่านความคิดเห็นที่โพสเข้ามา ข้อความเพียงสั้นๆที่ตอกย้ำให้เห็นว่าความไม่เที่ยงนั้นมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ
สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าจะใช่ วันหนึ่งมันกลับไม่ใช่ มีคนจำนวนหนึ่งได้ทดลองไปพิสูจน์สิ่งนั้น และนำประสบการณ์อันแสนจะเจ็บปวดที่มีค่าให้ผู้อื่นได้ศึกษากัน
….ลองอ่านดูก่อนนะ
….ลองเปิดใจยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่แม้เขาจะไม่มาบอก มันก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆในสังคมอยู่ดี
….ลองสังเกตุดูว่าตนเองยอมรับความจริงนั้นได้ไหม หากวันหนึ่งจะต้องเกิดกับตน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ จะเป็นอย่างไร จะดีกว่าไหมถ้าไม่รับเขาเข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก
….แต่ถ้ารู้สึกประมาณว่า ฉันไม่มีทางเป็นแบบนี้หรอก, ฉันจะต้องทำให้ดีกว่านี้, ฉันจะเรียนรู้ความรักไปพร้อมกับการแก้ปัญหา ,ฉันเป็นคนดีต้องได้เจอสิ่งที่ดี, แม้แต่การบอกว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตน แล้วไม่สนใจศึกษาเรื่องของผู้อื่นเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ตัวเองได้เสพโดยไม่ต้องกังวล
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเจอวิบากกรรมแบบไหน ผลของกรรมชั่วทั้งหลายก็มักจะมาในรูปแบบที่ยั่วยวนให้เสพทั้งนั้น อาจจะมีมารในร่างเทวดาเข้ามาในชีวิตก็ได้ ใครจะรู้… อาจจะหนักกว่าคนอื่นเขาก็ได้นะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการโลกสวย มันก็เกิดจากอัตตา ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันเยี่ยมยอดนั่นแหละ มันจะมองเห็นคนอื่นด้อยไปหมด โดยเฉพาะคนหน้าตาดี มีฐานะ มีชื่อเสียงก็จะยิ่งประมาทมาก เพราะเข้าใจว่าจะใช้สิ่งที่ตนมีเหล่านั้น มัดใจอีกฝ่ายได้ตลอดกาล เพราะตนมีสิ่งเหล่านั้นที่เหนือกว่าคนอื่น จึงคิดว่าตนจะต้องไม่มีทางผิดหวังช้ำรักเหมือนคนอื่นๆแน่นอน…..กิเลสมันก็ พาให้คิดไปเองแบบนี้ละนะ
คนอยากมีคู่ศึกษาไว้
(ผมจะทำยังไงดี เมื่อเมียจนไม่ลง : http://pantip.com/topic/33667527)
ตอนสุขเขาสุขด้วย แต่ตอนทุกข์นี่เขาไม่เอาด้วยนะ…
พึงระวังไว้เลยสำหรับเรื่องนี้ เพราะยากนักที่จะรู้ได้ ก็ตอนจีบกันคบกันก็มีแต่สร้างภาพให้ดูดีกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ที่ได้แต่งงานกันเพราะเสพแต่สุขร่วมกันนั่นแหละ
คนที่เขาผิดใจกัน มีปัญหากันจนทำให้ต้องเลิกกันก่อนแต่งงานนี่เขาโชคดี เพราะได้ทดลองมีปัญหาก่อนจะต้องเจอกับปัญหาที่หนีไม่ได้
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วันที่เราจน วันที่เราป่วย วันที่เราดูแลตัวเองไม่ได้ เขาจะร่วมทนทุกข์กับเรา?
หรือวันที่เขาจน วันที่เขาป่วยจนดูแลตัวเองไม่ได้ จนต้องไปคอยดูแลเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้เขา เราจะดูแลเขาไหวหรือ? เราแค่คิดไปเองหรือเคยลองมาแล้ว เราเคยอดมื้อกินมื้อไหม? เราเคยดูแลคนป่วยไหม? เราเคยดูแลคนแก่ไหม?
…การมองโลกในแง่ดี หรือที่เขามักจะเรียกว่า “โลกสวย” บางครั้งก็เป็นความประมาท ที่ทำให้ชีวิตได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างที่ไม่มีวันแก้ไขได้ ทั้งหมดนั้นเพียงเพราะความอยากเสพในเรื่องคู่เท่านั้นเอง
ความรักกับการปฏิบัติธรรม
เมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่าการปฏิบัติธรรมกับการครองคู่มันไปด้วยกันได้
แม้จะได้ฟังสัจธรรมมาว่าการมีคู่นั้นเป็นทุกข์ เท่าที่ได้เรียนรู้จากพระไตรปิฎกมานี่ก็ไม่เห็นสุขเลย
แต่กิเลสข้างในมันก็ยังสั่งให้พยายามคิดหาทางจะมีคู่ไปด้วยเจริญในธรรมไป ด้วย …ดูสิกิเลสมันเก่งขนาดไหน เราว่าเราเก่งแล้ว กิเลสมันเก่งกว่าเราอีก มันหลอกเราไปอีกชั้นหนึ่ง
มาตอนนี้ก็บอกกันตรงๆอย่างไม่อายเลยว่า แต่ก่อนนี่มันหลงไปจริงๆ หลงคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสุข เข้าใจว่าสิ่งนั้นสุดยอด หาเหตุผลมากมายให้การได้มีคู่นั้นดูมีประโยชน์และไม่ต้องรู้สึกผิดบาปใดๆ มันหลงไปไกลมาก
เรามุ่งมาศึกษาธรรมแล้วเรายังแสดงกิเลสของเราออกไปโดยที่เห็นว่ามันเป็นสิ่ง ดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แสดงมิจฉาทิฏฐิเราออกมาได้แบบหน้าไม่อาย ทั้งที่จริงๆมันน่าอายมากเลยนะ
ดังนั้นจึงได้นำความรู้ที่ได้มา พิมพ์ลงในบทความ “ความรักกับวิถีทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์” เพื่อให้ทุกท่านๆได้ร่วมเรียนรู้กัน